บทที่๕...เรียนรู้วันฮันนีมูน (๑)
บทที่๕...เรียนรู้วันฮันนีมูน
ห้องอาหารของทางรีสอร์ทมีผู้คนเข้ามานั่งบ้างประปราย เสียงท้องร้องประท้วงเพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักชิ้น จะบ่ายโมงแล้วด้วย คราวแรกก็คิดว่าเก็บกระเป๋าแล้วจะลงมาหาอะไรกินแต่โดนภรรยาลากไปถ่ายรูปเสียก่อน
“อย่าเพิ่งดูรูป รีบสั่งก่อน” บอกร่างบางที่เอาแต่นั่งชื่นชมรูปภาพไม่สนใจบริกรซึ่งมายืนรอได้สักพักแล้ว ดวงตาคมดุคนตรงข้ามจนหล่อนต้องเก็บกล้องเอาไว้ เงยขึ้นมายิ้มหวานให้แก่ชายหนุ่มที่รอรับออเดอร์ด้วยใจจดจ่อ
ท่าทางของหล่อนทำเอาไรวินทร์ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ รอยยิ้มแบบนั้นเขาไม่เห็นเคยได้รับสักครั้ง เจอกันมีแต่แยกเขี้ยวหรือพูดจาจิกกัด ทีกับคนอื่นหล่อนยิ้มได้ราวเป็นเรื่องปกติ
“เอาเป็นต้มยำทะเล กุ้งเผา นึ่งปลากะพง นายจะกินอะไร” สั่งของตนเองเรียบร้อยก็หันมาถามสามีบ้าง
“ข้าวผัดสับปะรดแล้วก็แกงส้มชะอมกุ้งครับ” ยื่นเมนูให้หนุ่มที่รอรับก่อนที่อีกฝ่ายจะโค้งศีรษะค่อยเดินออกไป ปล่อยสองสามีภรรยานั่งด้วยความเงียบ พรณัชชาเลือกจะแต่งรูปเพื่ออัพโหลดลงอินสตาแกรมของตนเอง
ต้องอวดเพื่อนสักหน่อยว่าชุดที่อุตส่าห์ไปเลือกซื้อได้ใช้แล้ว และก็ถ่ายออกมาได้สวยด้วย อมยิ้มน้อยอมยิ้มใหญ่มีความสุขจนชายหนุ่มที่นั่งดูบรรยากาศเรื่อยเปื่อยต้องคิ้วขมวดว่าหล่อนกำลังทำอะไร
“ทำอะไร” ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
“แต่งรูปไง” ไม่ได้อธิบายยาว ตอบเพียงสั้นๆ แล้วก้มหน้าสนใจกับจอสี่เหลี่ยมมากกว่าคนที่นั่งตรงข้าม เปิดโอกาสให้ไรวินทร์ได้สำรวจใบหน้าหวานซึ้งที่ไม่ค่อยอยากจ้องนานสักเท่าไหร่ ใจมันสั่นไหวแปลกๆ
ดวงตากลมโตราวกวางน้อย จมูกเล็กปลายเชิดรับกับริมฝีปากจิ้มลิ้ม แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนปากจัด พูดมาแต่ละคำไม่สามารถจะโต้แย้งอะไรหล่อนได้เลย คิดพลางอมยิ้มจนกระทั่งมีคนเดินเข้ามาหาถึงโต๊ะอาหาร
“คุณต้นสวัสดีค่ะ” สาวสวยอยู่ในชุดภูมิฐานเข้ามาทักทาย สองหนุ่มสาวรีบหันไปมองก่อนที่ร่างสูงจะยิ้มรับด้วยความดีใจ
“คุณกิ่งมาดูแลเองเลยเหรอครับ” เกวลินหรือกิ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ เธอได้รับที่ดินมาจากครอบครัวจึงคิดสร้างพูลวิลล่า ทำทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างถูกกฎหมาย ไม่ตัดไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติแต่กลับสร้างให้สอดรับกับความสวยงามของเกาะแห่งนี้
กลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนอยากมาเที่ยวพักผ่อน ไหนจะกิจกรรมต่างๆ น่าดึงดูดใจจนที่พักถูกจองเต็มตั้งแต่ต้นปี สร้างกำไรให้อย่างงดงามจนเจ้าของรีสอร์ทภาคภูมิใจกับความสำเร็จของตนเอง กลายเป็นเจ้าของธุรกิจที่อายุน้อย
“ใช่ค่ะ มาฮันนีมูนกันใช่ไหมคะ คุณปู่ธรณ์เทพถึงกับโทรมาจองห้องให้เองเลย ตอนแรกกิ่งว่าจะให้พักสองห้องนอน แต่คุณปู่บอกว่าคุณต้นอยากสวีทกับภรรยาเลยจองหนึ่งห้องนอนแทน” ว่าแล้วเชียว คุณปู่นะคุณปู่ อยากได้เหลนจนต้องใช้วิธีนี้เลยเหรอ
พรณัชชาเหมือนกลายเป็นคนนอกบทสนทนา นั่งมองทั้งสองคุยกันไม่รู้ว่าจะแทรกเข้าไปได้ตอนไหน จนกระทั่งหญิงสาวเจ้าของรีสอร์ทหันมายิ้มให้
“คุณหมิงใช่ไหมคะ กิ่งนะคะเป็นคนดูแลรีสอร์ทนี้ค่ะ” เธอยิ้มตอบทันที ไม่รู้จะพูดอะไรแต่แค่ได้อยู่ในบทสนทนาก็ดีแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้นั่งมองทั้งสองคุยกันอย่างเดียว
คนมันแอบหึงเล็กๆ ไม่เข้าใจเลยหรือไง
“สวัสดีค่ะคุณกิ่ง รีสอร์ทสวยมากเลยค่ะ หมิงถ่ายรูปไปตั้งเยอะ” ชมด้วยความจริงใจ คนฟังก็ปลาบปลื้มเมื่อได้ยินผลตอบรับจากลูกค้า
“พรุ่งนี้ไปดำนำดูปะการังใต้ทะเลยิ่งสวยกว่านี้อีกค่ะ อย่าลืมเอากล้องไปถ่ายใต้ทะเลด้วยนะคะ” แนะนำด้วยความหวังดี เล่นเอาหล่อนตาวาวเพราะคิดไม่ถึง ตอนแรกแค่จะถ่ายบนบกพอได้ฟังดังนั้นก็หันมองสามีอย่างรวดเร็ว
รู้ชะตากรรมของตนเองว่าต่อจากนี้ต้องเป็นคนถ่ายรูปให้เธอแน่ ถอนหายใจเล็กน้อยไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงอยากให้บอกปัดอย่างไรมีหรือพรณัชชาจะยอม ก็ตะล่อมจนต้องได้ตามใจนั่นแหละ
“ได้เลยค่ะ หมิงไม่ลืมแน่นอน” ทักทายเสร็จแล้วก็ปล่อยให้สองคนมีเวลาด้วยกัน
พอดีกับอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พวกเขาจึงลงมือรับประทานด้วยความหิว หญิงสาวหยิบกุ้งมาแกะแล้วกินอย่างมีความสุข ใบหน้าหวานยามเคี้ยวอาหารน่าเอ็นดูจนคนตรงข้ามแอบมองแล้วอมยิ้ม ทว่าไม่อยากให้เธอรู้ตัวจึงแสร้งตักอาหารเข้าปาก
“อือ” เมื่อได้ชิมข้าวผัดสับปะรดก็ตาวาว อร่อยจนเขาแทบไม่แตะอาหารชนิดอื่น กลายเป็นว่าข้าวผัดจานนั้นชายหนุ่มจองคนเดียว
“อร่อยมากเหรอ” เห็นกินไม่พูดไม่จาจึงถามด้วยความสงสัย
“อร่อย ลองชิมดูสิ” ใช้ช้อนกลางตักข้าวไปวางไว้ที่จานของหญิงสาว ซึ่งแน่นอนว่าเต็มไปด้วยเปลือกกุ้งจนต้องขออีกจานสำหรับใส่เปลือก พอได้ชิมข้าวผักสับปะรดก็พยักหน้าทันที อร่อยอย่างที่สามีบอกจริงด้วย
แต่อาจเพราะชอบกุ้งมากกว่าจึงไม่ได้สนใจจานนั้น ปล่อยให้เขากินคนเดียวจนหมดแล้วก็มีความคิดดีๆ ผุดขึ้นมา แอบอมยิ้มชื่นชมตนเอง ค่อยจัดการอาหารที่สั่งมาจนหมด ไม่รู้ว่ากินหรือยัดกันแน่เพราะแต่ละอย่างไม่ใช่น้อย
อิ่มจนแทบลุกเดินไม่ไหว ดีแล้วที่ใส่เสื้อของไรวินทร์ทับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพุงออกให้ชาวบ้านที่มองหัวเราะเยาะแน่
“เอ๊ะ นั่น เฮียปิ๊ง” พูดไม่ทันขาดคำก็ลุกจากเก้าอี้พลางเดินแกมวิ่งไปหาผู้ชายอีกคน มองตามแทบไม่ทันก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อภรรยาไปสวมกอดชายอื่นต่อหน้าต่อตาตนเอง
“เอ้า ไอ้หมิง มาเจอกันได้ไงวะ โลกกลมฉิบหาย” ผละออกมาก่อนมองร่างบางด้วยความตกใจ ใครจะคิดว่าหลานรหัสที่เรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์มาด้วยกัน แถมไม่เจอกันนานเป็นปีบทจะพบก็ง่ายจนน่าฉงน
“คิดถึงว่ะเฮีย ไม่เจอนานนุ่มนิ่มขึ้นไหมเนี่ย โอ๊ยๆๆ ไม่เคยมาหาน้องหานุ่งหรอก” ทำปากบึนจนคนโดนบ่นต้องถอนหายใจ
“คือกูก็มีงานมีเมียต้องดูแลไหม ใครจะไปเหมือนพวกมึง ได้ข่าวว่าแต่งงานใหญ่โต ไม่เห็นเชิญกูเลย ลืมพี่แล้วเหรอ เคยเลี้ยงเหล้าหมดไปกี่บาท ลืมแล้วมั้ง” แสร้งน้อยใจเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากพรณัชชาเป็นอย่างดี
พี่ชายคนนี้คือลุงรหัสที่แสนน่ารักของหล่อน การเรียนมหาวิทยาลัยสนุกขึ้นก็เพราะมีเพื่อนและพี่ที่เป็นกันเอง เรียนก็ช่วยถึงตัวเองจะเอาตัวไม่รอด ชวนไปก๊งเหล้าประจำจนหล่อนได้ฉายาเมรีขี้เมา เป็นคนสวยที่ถูกมองว่าเหมือนผู้ชายไปแล้ว
เคยถูกท้าดวลดื่มเหล้าแข่งกับรุ่นพี่ สรุปคือน็อคทั้งคู่เหมือนวาร์ปเช้าวันถัดไป เจอผู้ชายมาจีบก็ได้ลุงรหัสคนนี้ช่วยแสกนให้อีกที จนกลายเป็นว่าเธอโสดตลอดช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เพิ่งมาได้คบแฟนหลังจบปริญญาตรีและสุดท้ายก็ไปกันไม่รอด
“เฮียอยู่ญี่ปุ่นไม่ใช่หรือไง ทำมาเป็นลืม แล้วมาเที่ยวกับใคร” มองหาคนที่มาด้วยก็ไม่พบ
“เมียกูสิ ตอนนี้นอนรออยู่ห้อง กูหิวเลยกะว่าจะมาหาของกินไปให้เมีย มึงมากับใคร” ใช้สรรพนามสนิทสนมราวกับว่าหล่อนเป็นเพศเดียวกัน เพื่อนผู้ชายของหล่อนส่วนมากก็พูดกูมึง จากปีหนึ่งที่เจอกันครั้งแรกเหนียมอายอยากจีบแต่พอรู้นิสัยใจคอกันก็ต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่าหญิงสาวควรคบเป็นเพื่อน ถ้าได้เป็นเมียซวยแน่
“แล้วมึงมากับใคร ผัวเหรอ” พยักหน้าเป็นการตอบรับ รุ่นพี่เลยจ้องไปที่ชายหนุ่มท่าทางหล่อเหลาและมาดดี รู้สึกเสียวสันหลังยามจ้องมองดวงตาคมคู่นั้น
“เหี้ย ผัวมึงจ้องกูเหมือนจะฆ่า ถอยไปห่างๆ กูไปสั่งข้าวให้เมียก่อน หล่อฉิบหายมาแต่งงานกับมึงได้ไงวะ สงสารเขาจริงๆ” ผลักร่างบางออกไปก่อนจะเดินไปสั่งอาหาร พยายามหลีกให้พ้นจากสายตาของสามีพรณัชชา คนอะไรมีดวงตาเป็นมีดคม มองทีเหมือนจะหั่นร่างให้เป็นชิ้น
ร่างบางเดินมานั่งที่เดิมพอดีกับที่ไรวินทร์ลุกออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขากินอาหารอิ่มแล้วจึงคิดจะไปพักผ่อนบนห้อง ดวงตากลมมองตามแล้วค่อยลุกขึ้นเดินอยู่ข้างหลัง จนชายหนุ่มหันมาคว้าแขนเรียวเอาไว้พร้อมดึงให้มาเดินเคียงข้าง
ไม่ต้องมีคำพูดแต่ทำเอาใบหน้าหวานแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ถ้าเฮียปิ๊งมาเห็นต้องไม่เชื่อแน่ว่ายังมีคนมาหลงชอบหล่อนได้ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่แปลกหรอก แต่นิสัยจริงที่ออกห้าวและไม่ยอมลงให้ใครเนี่ยสิ ซึ่งมาคราวนี้เหมือนว่าเธอจะยอมลงให้สามีซะแล้ว
“เวลาเจอผู้ชายที่รู้จักแค่เข้าไปทักทายก็พอ ไม่ต้องกอดกันกลมขนาดไหน เธอแต่งงานมีสามีแล้วอย่าลืม” ระหว่างรอลิฟต์ก็หันมาเอ็ดเสียงขึงขัง
“ฉันไม่ทำให้นายเสื่อมเสียหรอก เห็นไหมว่าฉันไม่ได้ใส่แหวนไว้ใครจะรู้ว่าแต่งงานแล้ว” ยกมือขึ้นมาให้ดู แหวนประจำตระกูลที่ได้วันแต่งงานมีมูลค่าสูงเกินไป หล่อนไม่กล้าใส่จึงเก็บเอาไว้ในตู้เซฟอย่างดีไม่หายแน่นอน
ไรวินทร์เห็นนิ้วนางข้างซ้ายว่างเปล่าก็ไม่ใคร่ชอบใจเท่าไหร่ พอจะแย้งกลับลิฟต์ก็มาเสียก่อน จึงได้เข้าไปแล้วกดชั้นพักอาศัยของตนเอง
บางทีคงต้องคิดใหม่เรื่องแหวนหมั้น...