บทที่๓...คืนวิวาห์ (๑)
บทที่๓...คืนวิวาห์
“แกจะแต่งงาน!” เสียงเพื่อนทั้งสามคนดังขึ้นพร้อมกันเมื่อรับรู้ว่าหนึ่งในแก็งกำลังจะสละโสด แถมเวลายังกระชั้นชิดเพราะมันคือเดือนหน้า แต่งเร็วขนาดนี้สิ่งที่คิดมีเพียงอย่างเดียว สายตาสามคู่ก้มลงมองหน้าท้องแบนราบที่ไม่อาจทราบว่ามีเด็กอยู่ในนั้นหรือไม่
พรณัชชาก้มลงมองตามสายตาเพื่อน ก่อนจะรีบปิดหน้าท้องเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทั้งสามเลยเงยขึ้นมองหน้า คิ้วขมวดแทบจะผูกเป็นโบว์ ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุว่าทำไมจึงจะแต่งงาน ปากบอกว่าขออยู่เป็นโสด แต่ไม่ทันข้ามเดือนจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว
“กับใครวะ แล้วแต่งได้ยังไง แกต้องเล่าเดี๋ยวนี้” สาวร่างท้วมเจ้าของห้องอย่างวริศราเอ่ยขึ้น หล่อนเป็นคุณครูสอนโรงเรียนอนุบาล หน้าตาใจดียามอยู่กับเด็กต่างจากเวลาไปกับเพื่อนราวหน้ามือเป็นหลังมือ
“รีบเล่าสิ ฉันอยากรู้จะแย่แล้ว” เร่งทันทีเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะเล่า เรื่องมันเกิดก็เพราะไปฉลองให้สุภัควีที่เลิกกับแฟนได้สักที ผู้ชายคนนี้เกาะเพื่อนเธอเป็นปลิงไม่ยอมเลิกทั้งที่ขอร้องอ้อนวอน จนสุดท้ายหาที่เกาะได้ใหม่เลยรีบไปแทบไม่เห็นฝุ่น
สร้างความดีใจจนต้องพากันไปฉลองที่ไนต์คลับ ซึ่งเป็นเหตุให้หล่อนต้องมาเสียความสาวแก่ชายหนุ่มหน้าหล่อ ลูกเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่
“เดี๋ยว ก่อนจะเล่าเรื่องใดๆ ก็ตาม เอาหน้าว่าที่ผัวแกมาให้ฉันดูหน่อย” เพื่อนคนสุดท้ายในกลุ่มเอ่ย เขาเป็นชายที่มีจิตใจเป็นหญิง วสุหรือชื่อเล่นคืออิมที่เพื่อนมักเรียกกันประจำ เป็นช่างตัดผมที่ค่าตัวแพงมาก เวลาก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่แต่ก็ปลีกตัวมาหาเพื่อนเสมอ
“ค้นในเน็ตเอาสิ ชื่อไรวินทร์ ลูกชายเจ้าของดริ้งสยาม” พูดจบทุกคนก็ทำตาโต โดยเฉพาะวสุที่คลุกคลีกับวงการไฮโซและดาราศิลปิน เขาลุกขึ้นไปนั่งโซฟาข้างพรณัชชาแล้วตีรัวเข้าที่แขนเล็กอย่างตื่นเต้น
“แกหมายถึงคุณต้นกล้า ลูกชายคนโตของคุณศรัณเหรอ ไอ้หมิงแกทำบุญด้วยอะไร โอ๊ยตายแล้ว ผู้ชายคนนี้พวกดาราแย่งกันจะตาย หน้าตาดี ฐานะรวย สุภาพบุรุษ ขอบอกเลยว่าไม่มีประวัติด่างพร้อย ชายแท้ร้อยเปอร์ค่ะ แถมโสดสนิทไม่มีกิ๊กไม่มีกั๊ก ไม่เคยควงใครจริงจังสักคน ขอลูบหน่อยเผื่อฉันจะมีบุญในการหาผัวเหมือนแกบ้าง” ร่ายยาวจนฟังแทบไม่ทัน
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ จากการได้ต่อปากต่อคำขอบอกเลยว่าวสุพูดเกินจริง
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้แสนดีสุภาพบุรุษเหมือนภาพที่สร้างหรอก ไม่อย่างนั้นจะข่มเหงเธอทั้งที่ยังเมามายไม่ได้สติเหรอ ก็แค่พวกชอบฉวยโอกาส แถมยังใจร้ายมากด้วย
ใจร้าย...
“คนนี้เหรออิม คนนี้ป่ะ” สองสาวค้นรูปในเน็ตแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนชายดูทันที พอได้รับคำยืนยันด้วยการพยักหน้าก็กรีดร้อง
“หล่อมาก! โอ๊ยหมิง หล่อกว่าดาราแฟนเก่าแกอีก ดูหน้านี่เทพปั้นชัดๆ เห็นแล้วอยากได้เลยอ่ะ ขอได้ไหม” ครูอนุบาลถามอย่างรวดเร็ว อยากได้ใจจะขาดแค่เห็นหน้าก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หาไม่ได้ง่ายๆ แบบนี้ต้องรีบคว้าไว้
“พวกแกฟังเรื่องของเขาแล้วจะบอกว่าสุภาพบุรุษไม่ออก” หมั่นไส้จนต้องรีบเบรก
“เล่ามา อยากรู้ว่าฉันจะเปลี่ยนใจไหม” สุภัควีสาวครีเอทีฟรูปร่างผอมบางบอกพลางตั้งใจฟังเต็มที่ ดูเหมือนพรณัชชาจะมั่นใจเหลือเกินว่าทุกคนต้องคิดเหมือนตนเอง หล่อนคว้าหมอนมากอดเอาไว้แล้วเริ่มเล่าเรื่องคืนนั้น
“จำวันที่เราไปฉลองกันได้ไหม ฉันเมามากแล้วกะจะไปเข้าห้องน้ำชั้นสองเพราะชั้นหนึ่งเต็ม มีผู้ชายมาขอเบอร์แล้วทำท่าจะฉุด ฉันเลยให้นายคนนั้นช่วย”
“ใคร คุณต้นกล้าเหรอ” วสุถามขึ้นก็ได้รับการพยักหน้า
“อืม ฉันให้เขาช่วยพอไอ้ผู้ชายคนนั้นหายไป ก็กะว่าจะกลับแต่เขาพาฉันขึ้นไปห้องนอนชั้นสาม แก! ผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะทำแบบนั้นวะ ไม่พอนะ ตื่นขึ้นมาฉันนอนใส่เสื้อผ้าของเขาอยู่บนเตียง แถมหมอนั่นยังนอนข้างฉันอีก พอลุกขึ้นเดินก็เจ็บน้องด้วย เขาลักหลับฉัน!” ฟันธงจนเพื่อนที่ฟังเริ่มขมวดคิ้ว
“แล้วตอนเขาลักหลับแกไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” ส่ายหน้าทันที
“จำไม่ได้เลย รู้ตัวก็ตอนตื่นแล้วเจ็บน้อง” บอกตามความจริงที่ตนเองรับรู้
“มีรอยมือที่นมไหม หรือรอยคิสมาร์ก ปากบวม งั้นสักเสี้ยวความรู้สึกตอนขึ้นสวรรค์กับเขาก็ได้ เมาขนาดไหนมันก็ต้องรู้บ้างสิ ขนาดตอนฉันโดนผัวเก่าลักหลับตอนเมายังรู้เลยว่ากำลังโดนเอา” วสุตั้งข้อสังเกตเพราะเท่าที่เล่ามานอกจากเจ็บน้องก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันว่าเพื่อนโดนล่วงละเมิดทางเพศ
“ปกติถ้าลักหลับเขาไม่น่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกไหมวะ” อีกคนพูดขึ้นบ้าง ทำเอาร่างบางที่มั่นใจนักหนาเริ่มเขว
“แต่ฉันเจ็บน้องนะ” บอกเสียงเบา
“จะไม่เจ็บได้ไงก็ตอนแกไปเต้นแล้วเดินกลับโต๊ะน้องแกชนเหลี่ยมโต๊ะ พวกฉันยังถามเลยว่าเจ็บไหมแกก็เอาแต่บอกไม่ๆๆๆท่าเดียว” วริศราที่จำเรื่องราวได้บอกเสียงดังแล้วถอนหายใจ เล่นเอาหล่อนตาโตเมื่อนึกออก
“จริงด้วย ฉันชนโต๊ะนี่นา” สายตาสามคู่หันมองเพื่อนที่กำลังจะแต่งงานเป็นตาเดียว หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะถามย้ำ
“ตกลงว่ายังไง ไอ้หมิง” จากที่มั่นใจว่าถูกเขาล่วงเกินตอนเมาก็เริ่มมาทบทวนใหม่อีกรอบ เธอจำกิจกรรมที่ทำร่วมกับไรวินทร์ไม่ได้เลย แม้เศษเสี้ยวก็ไม่อยู่ในความคิดทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังรับรู้ว่าเขาช่วยจากผู้ชายอีกคน
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น...
ส่วนเรื่องเลือดบนที่นอนปัดทิ้งทันทีเพราะไม่ได้สังเกต หรือต่อให้สังเกตก็ไม่เห็นเพราะผ้าปูเป็นสีเข้ม เธอไม่เจ็บทรวงอกสักนิด ปากก็ไม่ได้บวม ยิ่งรอยตามลำตัวก็ไม่มีเลย หรือความจริงแล้วเขาจะไม่ทำอะไรกับร่างกายของเธอ
ทั้งหมดเป็นเรื่องคิดไปเองอย่างนั้นเหรอ เริ่มคิดถึงคำพูดของไรวินทร์ที่พยายามปฏิเสธมาตลอด เล่นเอาหล่อนต้องยกมือกุมขมับ
“เหมือนว่าฉัน จะคิดไปเองเลย” ทุกคนตบเข่าฉาดใหญ่ คนอย่างพรณัชชาน่ะเหรอจะยอมให้ใครมารังแกได้ ถึงจะเป็นตอนเมาคนที่คิดจะแตะต้องร่างกายก็สามารถโดนน็อคได้ ขนาดเมธัชที่คบกันมานานยังไม่ได้แอ้มเลย
หล่อนจะยอมปล่อยให้คนที่เจอกันเพียงข้ามคืนน่ะเหรอครอบครองร่างกาย แต่ก็ไมแน่เพราะตอนนั้นเพื่อนเธอก็เมา แสดงว่าไรวินทร์มีความเป็นสุภาพบุรุษพอสมควรไม่รังแกคนที่ไม่ได้สติ
คิดแล้วก็อยากได้เป็นพ่อของลูกเหลือเกิน สองสาวกับหนึ่งชายใจหญิงต่างเพ้อฝันถึงหนุ่มหล่อลูกชายเจ้าของดริ้งสยาม
ในขณะที่คนถูกพูดถึงนั่งเอามือกุมขมับกับกลุ่มเพื่อนของตนเองในร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อดัง อาจารย์มหาวิทยาลัยจ้องเพื่อนรออาหารที่กำลังทยอยมาเสิร์ฟ ส่วนเพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างกันอย่างรมิตาก็ถอนหายใจยามฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ
“ปฏิเสธไม่ได้แล้วใช่ไหม” กวินทร์นายธนาคารเอ่ยถามแล้วจิบน้ำ เจ้าของเรื่องส่ายศีรษะแล้วยกมือกุมขมับ ใบหน้าอมทุกข์จนดูน่าสงสาร
“ที่จริงพ่อกับแม่ก็ไม่ได้บังคับหรอก แต่คุณวศินก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่รองจากพ่อ ถ้าเรื่องนี้ทำให้ท่านโกรธจนขายหุ้นให้บริษัทคู่แข่งมันก็น่ากลัว ฉันไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวกระทบบริษัท”
“แต่นายจะเอาเรื่องของบริษัทมาพรากความเป็นส่วนตัวไม่ได้ ตลกแล้วแต่งเพราะบริษัท นี่ฉันดูละครหลังข่าวอยู่หรือเปล่า พ่อคนแสนดี อยากเอาพวงมาลัยไหว้เหลือเกิน” สาวคนเดียวในกลุ่มพูดขึ้นบ้าง เพื่อนของหล่อนคนนี้ดีเกินไป คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง
“แล้วบอกพินอินหรือยัง รู้เรื่องเมื่อไหร่คงบินกลับไทยแทบไม่ทัน” ถามถึงเพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มที่ตอนนี้เป็นนางแบบอยู่มิลาน เธอใฝ่ฝันอยากทำงานด้านนี้มาตลอดและก็เป็นจริง
แค่ได้ยินชื่อใบหน้าคมก็หมองลง ส่ายศีรษะเชื่องช้าไม่กล้าบอก หญิงสาวคือเพื่อนสนิทที่เขาแอบชอบ และบอกความในใจไปแล้วแต่หล่อนกลับไม่ได้คิดอะไรด้วย ทุกอย่างเหมือนพังลงมาตรงหน้า พอจะเริ่มใหม่ด้วยการไปคบคนอื่นหล่อนก็กลับเข้ามาให้ความหวังจนไม่ได้เริ่มต้นกับใครสักที
ขนาดไปอยู่เมืองนอกยังหมั่นทักทาย ราวต้องการเช็คว่าตอนนี้เขาคบกับใครอยู่หรือไม่ ช่างใจร้ายเสียเหลือเกิน
“ไม่ได้บอก” กรุณพลหรือเหน่งรีบปรบมือทันที
“ไม่ต้องบอก ยังไงมึงก็ตัดสินใจแต่งแล้วก็ไปให้สุดเลย ถ้าบอกยายนั่นเดี๋ยวก็กลับมารั้งมึงอีก เสียหมาเลยนะเว้ย” คนที่คบกันมานานแนะนำบ้าง เล่นเอาเพื่อนอีกทั้งสองจ้องตาเขม็ง แต่ทุกคนก็รู้ว่ากรุณพลไม่ถูกกับดวงกมลหรือพินอินเป็นทุนเดิม
พวกเขาเพิ่งมารู้จักสองหนุ่มตอนมัธยมศึกษาตอนปลาย ขณะที่เหน่งรู้จักกับไรวินทร์ตั้งแต่เด็กจึงค่อนข้างสนิทมากกว่าใคร
“งานแต่งจัดที่ไหน” อาหารเสิร์ฟหมดแล้วจึงเริ่มลงมือรับประทาน แล้วสอบถามเพื่อนเกี่ยวกับงานแต่งที่กำลังจะมาถึง
“โรงแรม อยากให้ใหญ่ๆ ไปเลย เชิญนักธุรกิจมาพูดคุยเผื่อได้ประโยชน์จากการแต่งงาน” แต่ละคนมองหน้าว่าที่เจ้าบ่าวอย่างอึ้ง
“คือแต่งงานเพื่อธุรกิจก็กะเอาให้คุ้มเลยเหรอ” ไรวินทร์พยักหน้า
ไม่เคยมีความรักอยู่แล้วก็เขาถูกมัดมือชกขนาดนี้ ถึงบิดาจะยอมเชื่อสิ่งที่บอกว่าตนไม่ได้ล่วงเกินพรณัชชา แต่คุณวศินคงไม่ยอมเสียหน้า แถมตอนนี้บริษัทคู่แข่งยังจ้องซื้อหุ้นของดริ้งสยาม เขาไม่อาจเปิดช่องโหว่ให้อีกฝ่ายเล่นงานได้
จำต้องลงเอยด้วยการแต่งงานที่ไม่เต็มใจ...
เวลาหนึ่งเดือนอาจจะนานในความรู้สึกของคนอื่น แต่สำหรับบ่าวสาวที่กำลังยืนต้อนรับแขกนั้นมันแสนจะรวดเร็วจนทำใจรับไม่ไหว ผู้จัดการฝ่ายการตลาดแต่งชุดทักซิโด้สีขาวยืนเคียงคู่กับร่างบางซึ่งสวมชุดเจ้าสาวลายลูกไม้ยาวแนบลำตัวเน้นทรวดทรงองค์เอว แล้วติดกระโปรงหนาไว้ทางด้านหลังดูฟูฟ่องราวเจ้าหญิง
“ยิ้มจนเหงือกจะแห้งอยู่แล้ว” หล่อนพึมพำกับตนเอง แล้วยกมือไหว้แขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ตอนแรกอยากจัดเงียบๆ ไม่ต้องหวือหวา แต่ฝ่ายเจ้าบ่าวกลับบอกต้องการให้ยิ่งใหญ่อลังการ แล้วบิดาของเธอก็เห็นด้วยทุกอย่าง จึงต้องเช่าห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่จุแขกได้กว่าหนึ่งพันคน แถมการจัดแต่งอลังการเหมือนถูกดึงเข้าไปในป่าหิมพานต์จนสงสัยว่านี่งานแต่งหรือเทศกาลดอกไม้เมืองเหนือกันแน่
ไล่มาตั้งแต่ด้านหน้าทำเป็นซุ้มโค้งมนมีดอกไม้ห้อยลงมา ด้านข้างคือรูปของหล่อนกับเจ้าบ่าวซึ่งไปถ่ายกันที่สตูดิโอ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก็ได้ภาพมาเป็นร้อยเพราะพวกเขาต้องการให้เสร็จเร็วที่สุด โดยเฉพาะไรวินทร์แทบจะเร่งช่างภาพเลยด้วยซ้ำ