บทที่๒...ตกกระไดพลอยโจน (๒)
ต่างจากพ่อของหล่อนที่เผลอเป็นต้องเที่ยวกลางคืน จนมารดาโกรธนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งหลายครั้ง แต่ก็ลงเอยด้วยการคืนดีมาตลอดเห็นจนชินตาเสียแล้ว
“น้องหมิง มากับคุณพ่อด้วย น้าไม่เห็นซะนานสบายดีใช่ไหมคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานแววตาอ่อนโยนจนคนมองรู้สึกว่าตนเองได้รับความรัก รีบพยักหน้าแล้วยิ้มด้วยความจริงใจที่สุด
“สบายดีค่ะ น้าดรีมสบายดีนะคะ ยังสวยเหมือนเดิม อุ้ย ไม่สิ สวยกว่าเดิมอีกค่ะ” ยอจนคนฟังแทบตัวลอยมองดูหญิงสาวรุ่นลูกด้วยความเอ็นดู ไม่เจอกันนานโตขึ้นกว่าเดิมแถมยังสวยวันสวยคืน หากไม่ติดที่ไม่อยากยุ่งเรื่องคนรักของลูกคงขอจองไว้ให้ไรวินทร์แล้ว
“ปากหวานจริงเลยนะ น้าสวยแบบนี้น้องหมิงว่าหาแฟนเด็กเอ๊าะๆ ได้ไหมคะ” ถามลองเชิงแล้วปรายตาไปยังสามีที่เริ่มไม่สบอารมณ์เสียแล้ว เส้นเลือดปูดขึ้นที่ขมับจนคนเป็นภรรยาแอบอมยิ้ม
“ดะ เอ่อ อารัณก็หนุ่มนะคะ เหมือนวัยรุ่นเลยค่ะ หมิงว่าอารัณกับน้าดรีมเหมาะสมกันแล้วค่ะ” กำลังจะเผลอตอบว่าได้ แต่หันไปสบตากับคุณอาสุดหล่อจึงได้รีบเปลี่ยนประโยค สร้างรอยยิ้มให้ประมุขของบ้านวิมานมรกต
“พูดดีแบบนี้อยากได้มาเป็นลูกสะใภ้เลย” จากใบหน้ายิ้มแย้มค่อยหุบลง ไม่รู้จะตอบอะไรจนกระทั่งมีบุคคลที่สามเข้ามาในห้องอาหาร
“คุณลุงแม็คสวัสดีครับ” บุตรชายคนเล็กเข้ามาพร้อมยกมือไหว้คนสูงวัย มานั่งเก้าอี้ข้างมารดาก่อนลูกสาวเพียงคนเดียวจะเดินแกมวิ่งเข้าห้องอาหารด้วยความรีบ ถึงจะเป็นวันหยุดแต่หล่อนมีนัดต้องขึ้นคลินิก
“แม่มีอะไรกินไหมคะ ใส่กล่องให้หนูได้ไหมจะไม่ทันแล้ว อ่ะ คุณลุงสวัสดีค่ะ” ไม่ทันมองว่ามีแขกจึงได้เร่งเร้า พอหันไปเห็นจึงได้ยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อมก่อนจะมองหญิงสาวหน้าสวยแต่งตัวเรียบร้อย ไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่พี่หมิงจ้ะ ลูกสาวของลุงแม็ค” สองฝาแฝดยกมือไหว้อย่างรวดเร็วจนหล่อนตั้งรับแทบไม่ทัน จากจับช้อนรีบวางแล้วรับไหว้
“ไม่เคยเจอพี่หมิงเลย หนูชื่อข้างฟ่างนะคะ นี่ข้าวปั้นฝาแฝดค่ะ” แนะนำพร้อมรอยยิ้มเล่นเอาพรณัชชาเริ่มเอ็นดูหญิงตรงหน้า
“ค่ะ” ไม่รู้จะตอบอะไรเลยทำได้แค่รับคำและยิ้มให้ ว่าที่คุณหมอฟันไม่มีเวลาแล้วจึงได้หันไปมองฝาแฝดของตนเองที่เตรียมพร้อมจะรับประทานอาหารเช้าก็ฉุดแขนให้ลุกขึ้น
“อะไร” ถามด้วยความสงสัย
“ไปส่งหน่อย อีกอย่างวันนี้ปั้นเป็นเคสไง ไปได้แล้วเดี๋ยวสาย” ส่ายศีรษะทันที อุตส่าห์หนีได้แล้วเพราะอ้างเรื่องงานแต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่พ้น รีบปลดมือเล็กออกอย่างรวดเร็วแต่ไม่ทันหญิงสาวที่มือไวเหลือเกิน
รวิสุดามองการกระทำของลูกแล้วอยากกุมขมับ มาทะเลาะกันต่อหน้าแขกอีกแล้ว พอจะบอกให้เบาเสียงแม่บ้านก็เดินออกมาจากครัวพร้อมกล่องอาหารของคุณหนูข้าวฟ่าง จึงได้โอกาสนี้รีบบอกให้เด็กแฝดออกจากห้องอาหารก่อนจะอับอายคุณวศินและพรณัชชามากกว่านี้
“ปั้นไปส่งพี่เขาได้แล้ว นี่อาหารนะฟ่าง” โดนมัดมือชกแบบนี้ลูกชายก็ปฏิเสธไม่ได้ จำต้องรับถุงมาถือเอาไว้แล้วยกมือไหว้บุพการีและแขกทั้งสองค่อยเดินตามเรรินออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ไม่ได้เต็มใจไปเลยสักนิด
เดี๋ยวถึงแล้วค่อยหาทางหนีทีไล่แล้วกัน เขายังไม่พร้อมกับการถอนฟันคุด มันเจ็บหลายวันถึงจะกินยาก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักหรอก
พ้นสองแฝดเจ้าของบ้านก็ยิ้มให้แขกด้วยท่าทีอิหลักอิเหลื่อ กลับมาบ้านคงต้องบอกต้องสอนกันอีกแล้วว่าต้องสำรวมกิริยายามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น เหนื่อยใจกับลูกสองคนเหลือเกิน
“เชิญเลยครับ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด” ประมุขแห่งบ้านวิมานมรกตเอ่ยขึ้น สองพ่อลูกจึงได้รับประทานอาหารฝีมือเด็ดจากแม่ครัว พรณัชชาตาโตด้วยความอร่อย ตักข้าวเข้าปากพลางอมยิ้มมีความสุข หิวมากเนื่องจากตื่นมาแต่งตัวแต่เช้า ไม่รู้ว่าแค่มาบ้านคนอื่นจะพิถีพิถันอะไรขนาดนั้น ทำอย่างกับจะส่งตัวเข้าหอ
“แล้วคุณธรณ์เทพไม่อยู่เหรอครับ” ถามถึงประธานบริษัทคนเก่าที่ตอนนี้ไปอาศัยยังบ้านพักตากอากาศที่ต่างจังหวัดกับภรรยา โดยมีแม่บ้านสองสามคนตามไปดูแลเพราะท่านก็อายุมากแล้ว
“ไปพักอยู่เพชรบูรณ์ครับ ท่านว่าที่นั่นอากาศดี” พยักหน้าเข้าใจ หุ้นทุกอย่างถูกโอนมาเป็นของคุณศรัณหมดและให้จัดการตามเห็นสมควร ท่านไม่อยากยุ่งเกี่ยวขอไปพักผ่อนกายใจหลังเหนื่อยทำงานมาหลายสิบปี ไหนจะมีหลานคอยช่วยเหลือในธุรกิจอีก วางใจหายห่วงเพราะไรวินทร์ค่อนข้างทำงานเก่ง
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย สองหนุ่มก็พากันเข้าห้องทำงานเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการประชุมผู้ถือหุ้นที่ใกล้เข้ามา คุณน้าดรีมแยกตัวไปจัดเตรียมของว่างหล่อนจึงได้มีเวลาเดินสำรวจบ้านหลังงามที่ออกแบบมาอย่างดี
ถึงจะใหญ่แต่กลับรับรู้ถึงความอบอุ่น หล่อนออกมายืนที่ริมระเบียงของชั้นสองเพราะคุณรวิสุดาบอกว่าให้มาอ่านหนังสือที่นี่ได้ เธอไม่ได้เสียมารยาทถึงขนาดเดินขึ้นมาเอง เบิกตากว้างเมื่อเห็นวิวทะเลสาบของหมู่บ้าน สวยจนนึกว่าอยู่โซนยุโรป ไม่อยากคาดเดาว่าราคาบ้านหลังนี้จะแพงเท่าไหร่
มองกรอบรูปขนาดใหญ่ที่เป็นรูปของรชานนท์วันรับปริญญาก็อดยิ้มไม่ได้ เป็นภาพครอบครัวที่แสนอบอุ่นก่อนจะสะดุดสายกับชายรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ขอบเฟรมกำลังส่งยิ้มให้กล้อง ริมฝีปากเผลอเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง
“คุณเป็นใคร” ยังไม่ทันจะได้ประมวลผลก็ได้ยินเสียงดังขึ้นด้านหลัง มันคุ้นจนขนลุกชันกับพรหมลิขิตที่เล่นตลกกันขนาดนี้
ค่อยหันไปมองทั้งที่ใจภาวนาไม่ให้เป็นดังความคิด แต่เมื่อเห็นใบหน้าคมและอีกฝ่ายก็จ้องหล่อนไม่วางตา ต่างฝ่ายก็ตกใจเช่นเดียวกันโดยเฉพาะชายหนุ่มที่แทบหาเสียงในลำคอไม่เจอ
เพราะผู้หญิงที่อยู่ในบ้านเขา คือยายเมรีขี้เมาคืนนั้น!
“คุณ/นาย!” ร้องเรียกอย่างพร้อมเพรียง เพิ่งเจอและมีความทรงจำไม่ดีต่อกันยังไม่ทันจะลืมก็ต้องมาพบอีกครั้ง แถมสถานะไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าชายผู้นี้คือบุตรของคุณศรัณและคุณรวิสุดาแน่นอน อยากเอามือก่ายหน้าผากเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือด่าไอ้คนพรากพรหมจรรย์ตนเองก่อน รังแกคนเมาที่เป็นผู้หญิงไม่มีทางสู้ แบบนี้ไม่ปล่อยไว้ไม่ได้
“เฮ้ย ทำอะไรของเธอ” รีบหลบเมื่อหล่อนเดินเข้ามาทุบอกเขาอย่างแรง เห็นมือเล็กแบบนั้นหมัดหนักเป็นบ้า
“ไอ้คนลามก ไอ้คนฉวยโอกาส มาให้ฉันเห็นหน้าทำไม” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที เริ่มคิดแล้วว่าบางทีหล่อนอาจจะไม่ปกติ มีอย่างที่ไหนตัวเองเดินอยู่ในบ้านคนอื่นดันกล่าวหาเสียอย่างนั้น คนดีๆ ที่ไหนคิดแบบนี้กัน
“ที่นี่บ้านฉัน และฉันควรถามเธอมากกว่าว่ามาให้เห็นหน้าทำไม ไหนบอกว่าทำทานให้หมาหิวโซแล้ว อยากทำทานอีกรอบเหรอ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเผยอขึ้นด้วยความอึ้ง ไม่คิดว่าจะโดนตอกกลับหน้าตายแถมแววตาไร้อารมณ์สุดขีด
“นาย ไอ้บ้า ฉันไม่ลดตัวไปมีอะไรกับนายอีกหรอก แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ขยะแขยงชะมัดเลย” ลูบแขนตัวเองแล้วถอยห่าง แต่ใบหน้าคมกลับตึงยามได้ยินวาจาไม่ให้เกียรติแบบนั้น ย่างสามขุมเข้าหาร่างบางจนเธอต้องถอยหนี
“ขยะแขยงเหรอ ทั้งที่เธอเป็นคนเข้าหาฉันก่อนเนี่ยนะ ฉันหรือเปล่าที่ต้องเป็นคนพูดคำนั้น” ไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน กล่าวหาทั้งที่เขาเป็นคนช่วยหล่อนจากพวกฉวยโอกาส แถมยังให้คนดูแลอย่างดีสุดท้ายก็ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกหื่น
หรือบางทีจะหื่นให้มันจบ จะได้สมกับที่หล่อนว่าเขา ก้าวเข้าไปใกล้ร่างบางจนแผ่นหลังหลังติดผนังไร้ซึ่งหนทางหนี
“ถะ ถอยไปสิ จะมาใกล้ทำไม” มือหนายันกำแพงเอาไว้ทั้งสองข้าง กักกันไม่ให้หล่อนออกไปได้
“ก็อยากให้ฉันทำไม่ใช่หรือไง ไม่อย่างนั้นจะมาหาถึงที่เหรอ หืม” เอียงคอขณะถามเล็กน้อย คนตัวเล็กลอบกลืนน้ำลายลงคอยามใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ เธอยันแผงอกหนาเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจเหยียบลงบนหลังเท้าเขาเต็มแรง
“โอ๊ย นี่เธอ!” สะดุ้งสุดตัวแล้วกุมเท้าเอาไว้ด้วยความเจ็บ มองหน้าหญิงสาวราวจะกินเลือดกินเนื้อต่างจากคนกระทำที่ลอยหน้าลอยตา
“นายสมควรโดนแล้ว แค่นี้มันยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำกับที่นายข่มขืนฉัน!” สิ้นคำพูดนั้นบรรยากาศรอบห้องก็เงียบราวป่าช้า หล่อนรับรู้ได้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมา ทำเอาขนลุกชันจนค่อยหันไปมองทางบันไดก่อนจะพบสายตาทั้งสามคู่
โดยเฉพาะบิดาของตนที่จ้องเขม็งเล่นเอาลูกสาวลอบกลืนน้ำลายลงคอ อยากยกมือขึ้นกุมขมับรู้ว่าตนเองพลาดเสียแล้ว
“เมื่อกี้ หมายความว่ายังไง” ถามย้ำเสียงแข็ง มองสองหนุ่มสาวที่ยืนตัวตรงราวเคารพธงชาติ ลืมคิดไปเสียสนิทว่าไม่ได้อยู่กันสองคน และตอนนี้ตกที่นั่งลำบากเพราะคำพูดของตนเอง ค่อยหันไปมองร่างสูงที่จ้องเธอไม่ต่างกัน
ด้วยสายตาอาฆาต...
“คือว่า หนะ หนูอธิบายได้นะคะพ่อ” ว่าเสียงสั่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะดีกว่า เชิญที่โซฟาครับคุณแม็ค” เจ้าของบ้านผายมือไปยังโซฟานั่งเล่นของชั้นสอง จึงได้พากันเดินตัวลีบไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยม อยากยกมือขึ้นตีปากตัวเองเหลือเกินที่หาเรื่องให้ตนเอง
มันจบไปแล้วจะรื้อฟื้นขุดคุ้ยมาทำไม แต่จะโทษหล่อนคนเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อเขามากวนน้ำให้ขุ่นก่อน แถมยังมีท่าทีคุกคามอีก ใครจะอยู่เฉยให้รังแก
โซฟายาวถูกจับจองด้วยผู้ใหญ่ทั้งสาม โดยคุณผู้หญิงของบ้านวิมานมรกตนั่งข้างสามี ส่วนลูกทั้งสองนั่งโซฟาเดี่ยวข้างกัน ร่างบางกุมมือไว้หน้าขามองหน้าคุณอาคุณน้าก่อนจะไปหยุดลงที่บิดา ก่อนจะรีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว
“คือว่าหนูเมาจำอะไรไม่ได้ค่ะ ถามเขาเลย” คนถูกโยนเรื่องทั้งหมดมาให้ทำตาโตทันที สายตาทั้งสามคู่เลยหันมองไรวินทร์เป็นตาเดียว
เขาสูดลมหายใจลึก กำมือแน่นจนเส้นเลือดปูน ถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิงป่านนี้คงได้แลกหมัดกันไปสักตั้งแล้ว หาเรื่องมาให้ไม่หยุดตั้งแต่วันที่เจอกัน ไม่รู้ว่าเผลอไปชื่นชมความงดงามที่อาบไว้ด้วยยาพิษได้อย่างไร
“วันนั้นผมไปงานเลี้ยงของเพื่อน แล้วเจอกับ..เธอ” หันมองหล่อนแล้วคิดสรรพนามเพราะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม หญิงสาวกัดฟันกรอดเมื่อคนที่นอนด้วยกันทั้งคืนดันไม่ทราบแม้กระทั่งชื่อของตน
“เหมือนว่าเธอจะเมามาก แล้วก็โดนลวนลามผมเลยเข้าไปช่วย ตอนนั้นมันดึกมากแล้วผมเลยตัดสินใจพาไปนอนที่ห้องของคลับ” เล่าเป็นฉากอย่างละเอียดแต่คนเมาก็คลับคล้ายคลับคลา สุดท้ายก็จำไม่ได้อยู่ดี
“ตั้งแต่วันไหน” คุณวศินถามขึ้น พรณัชชาตาโตเมื่อความลับกำลังจะเปิดเผย
“คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาครับ” หญิงสาวเม้มปากแน่นพลางถอนหายใจ หล่อนตายแน่เพราะไปโกหกท่านว่านอนที่ห้องเพื่อนสนิท พอความจริงเปิดเผยบิดาก็จ้องบุตรสาวของตนเองเขม็ง
“ผมให้แม่บ้านเปลี่ยนเสื้อให้เธอ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ทุกอย่างเธอเข้าใจผิดไปเอง” สรุปปิดท้ายทำให้หล่อนกลายเป็นคนเข้าข้างตัวเองเสียอย่างนั้น
“ไม่จริงค่ะ เขาข่มขืนหมิง ไม่อย่างนั้นตื่นขึ้นมาเขาจะนอนข้างแล้วหมิงก็เจ็บตรงนั้นได้ไง” หลุดปากพูดเมื่อชายหนุ่มโยนบทคนคิดไปเองให้หล่อน จะไม่ยอมถูกคุณอามองว่าปั้นน้ำเป็นตัวเด็ดขาด คนผิดคือเขาไม่ใช่เธอ
“ไม่จริงครับ ผมไม่ได้ทำอย่างที่เธอกล่าวหา” รีบบอกปัดอย่างรวดเร็วไม่อยากให้ท่านเข้าใจผิดเหมือนคนข้างกาย
“นายจะว่าฉันโกหกเหรอ” โวยวายเสียงแข็ง หันมองร่างสูงด้วยแววตาแค้นเคือง เธอจะไม่ยอมถูกมองเป็นเด็กเลี้ยงแกะหรอก
คิดอย่างนั้นโดยลืมเสียสนิทว่ามันกำลังทำให้ตนเองเสียหาย ผู้ใหญ่ทั้งสามนั่งมองชายหญิงรุ่นลูกทะเลาะกันราวไม่มีพวกท่านอยู่ตรงนี้ด้วย คุณวศินแทบกุมขมับกับท่าทีของบุตรสาว อยากเอาปี๊บมาคลุมหัวเหลือเกิน
“ก็เธอคิดเข้าข้างตัวเอง” ตอบกลับรวดเร็วจนพ่อกับแม่ไม่อยากเชื่อว่าลูกชายคนโตที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียงจะต่อปากต่อคำกับผู้หญิงตัวเล็กได้
น่าเหลือเชื่อจนลืมฟังเรื่องที่ทั้งสองคุยกัน
“ฉันไม่ได้เข้าข้างตัวเอง หลักฐานเห็นอยู่เต็มตา นายถอดเสื้อผ้าฉันแล้วมานอนข้างกันอีก แถมตอนเดินฉันก็เจ็บน้องมากด้วย มันบ่งบอกทุกอย่างแล้วว่าคืนนั้นนายทำอะไรฉัน” เล่ารายละเอียดไม่ยอมแพ้ คุณวศินแทบจะควานหายาดมเมื่อฟังจบ
“ฉันบอกว่าไม่ได้ทำไง” ย้ำอีกครั้งก่อนจะเงียบเมื่อคิดได้ว่าไม่ได้อยู่กันสองคน พรณัชชาก็เพิ่งมีสติเลยเงียบแล้วเม้มปากแน่น
“ตกลงว่าจะเอายังไงดีครับคุณรัณ” คนเป็นพ่อของฝ่ายหญิงถามขึ้นอย่างจนปัญญา ไม่รู้จะเชื่อคำพูดของใคร แต่ถ้าปล่อยให้ลูกสาวถูกย่ำยีโดยไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ใช่วศิน เขาเลี้ยงดูมาแต่เล็กน้อยราวไข่ในหิน ถึงจะดื้อจะซนไปบ้างแต่ก็เป็นแก้วตาดวงใจของคนทั้งบ้าน
คงปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้
“คุณแม็คอยากจัดการเรื่องนี้ยังไงครับ ฝ่ายผมเป็นคนผิดให้คุณตัดสินใจได้เลย” ไรวินทร์ได้ยินเช่นนั้นก็นั่งไม่ติด
“พ่อครับ” กำลังจะขัดแต่มารดาเรียกชื่อก่อน
“ต้น” ท่านส่ายศีรษะเป็นการบอกให้หยุดพูดแทรก ร่างสูงจำต้องนั่งฟังประโยคต่อมาที่ทำเอาเขาช็อคเหมือนโดนหมัดหนักชกเข้าที่ใบหน้าเต็มแรง
“ผมต้องการให้ลูกสาวผมกับลูกชายคุณรัณแต่งงานกันครับ” สิ้นเสียงนั้นทั้งบ้านก็เงียบสนิท ไรวินทร์ชาไปทั้งร่างไม่คิดว่าความหวังดีที่ทำจะแว้งกลับมาทำร้ายตนเอง
เขาหันมองหญิงสาวด้วยสายตาอาฆาตแค้น ไม่เคยรู้สึกเกลียดผู้หญิงคนไหนเท่านี้มาก่อนเลย
เธอคือคนแรก!