บทที่๒...ตกกระไดพลอยโจน (๑)
บทที่๒...ตกกระไดพลอยโจน
เวลาเช้าตรู่ที่ท้องฟ้ายังไม่ทันสางคุณหนูคนเล็กของบ้านณรงค์วิเศษค่อยย่องเข้ามาที่โถงกลาง พยายามทำเสียงให้เบาที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับบุพการีของตนเอง หล่อนมองซ้ายแลขวาดูเรียบร้อยว่าไม่มีใครจึงวิ่งไปยังบันไดอย่างรวดเร็ว
เป็นครั้งแรกที่นึกก่นด่าในใจว่าทำไมบันไดกับโถงถึงไกลกันขนาดนี้ สร้างบ้านมาให้คนหรือยักษ์อยู่กันแน่ถึงต้องใช้พื้นที่เยอะ เดินขึ้นบันไดเสียงเบาไม่อยากให้คนอื่นแตกตื่น ปกติเวลานี้มารดามักจะเข้าครัวเพื่อทำอาหารไปใส่บาตรหน้าบ้านเป็นประจำ ส่วนบิดายังคงอยู่ในห้องนอนจะออกมาอีกทีก็เจ็ดโมงเช้า
ขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้านก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก คิดว่าอย่างไรตนเองก็รอดแล้วจึงเดินไปทางปีกซ้ายเป็นห้องนอนที่อาศัยมาตั้งแต่เด็ก
“ทำไมกลับบ้านเช้า” ลำตัวแข็งทื่อ ถึงกับหยุดอยู่ที่เดิมเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันทรงพลังที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็ก หล่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างเมื่อหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับบิดาของตนเองที่อยู่ในชุดลำลอง
“อ้าวพ่อ จะไปไหนคะ” แสร้งถามราวไม่ได้ทำอะไรผิด ทว่าประมุขของบ้านกลับจ้องบุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างรู้ทัน
“ไม่ต้องถามพ่อเลย เราน่ะไปไหนมากลับซะเช้า” ก้าวตรงมาก่อนจะหยุดยืนตรงข้ามเมื่อได้กลิ่นละมุดหึ่ง คิ้วขมวดไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ บ่นเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วแต่ดูเหมือนลูกสาวตัวดีจะไม่ฟังสักครั้ง
พรณัชชา ณรงค์วิเศษบุตรสาวคนเล็กของคุณวศินและคุณวิชญา ณรงค์วิเศษ ถูกเลี้ยงเหมือนไข่ในหินแต่เป็นหินที่แตกจนประกอบกลับมาไม่ได้ บอกสอนอะไรไม่ค่อยฟังเท่าไหร่ถือตนเองเป็นใหญ่จนคร้านจะเถียงด้วย เพราะตามใจมาตั้งแต่เด็กจนเสียคน มาสอนเอาตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว อย่างที่เขาบอกไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
“อะไรคะ นี่หนูกำลังจะออกไปข้างนอกค่ะ แต่งตัวพร้อมขนาดนี้” หมุนตัวอวดโฉมจนท่านต้องส่ายศีรษะ
“พร้อมเหรอ ดูจากเสื้อผ้าแล้วใส่ตั้งแต่เมื่อคืนไม่ใช่หรือไง” กลืนน้ำลายลงคอทันที กำลังจะเข้าไปกอดแขนแล้วอ้อนท่านก็หยุดชะงักเพราะคุณวศินก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว กลิ่นละมุดบนตัวลูกสาวใช่เล่นเสียเมื่อไหร่ ยืนไกลยังได้กลิ่นเลย
“โธ่ หนูล้อเล่นค่ะ อยากให้พ่อมีรอยยิ้มในตอนเช้า คือหนูไปปาร์ตี้ห้องวี่แล้วก็นอนที่นั่นเลย ฉลองที่วี่โสดน่ะค่ะพ่อ อีกอย่างวันนี้หนูก็ว่าง หาว ง่วงจังเลยขอตัวไปนอนก่อนนะคะ” คิดเหตุผลอย่างรวดเร็วพลางทำท่าง่วงเต็มที
“จะไปนอนก็ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องไปบ้านคุณศรัณกับพ่อ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างพลางส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว เธอไม่ชอบเลยยามที่ต้องไปงานการกุศล หรือพบผู้รากมากดีตามงานสังคม มันแสนจะน่าเบื่อต้องทำตัวเรียบร้อยเป็นคุณหนูแสนน่ารักในสายตาของคนอื่น
ช่างห่างไกลจากตัวจริงของเธอเสียเหลือเกิน
“ไม่เอานะคะ” ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว แต่ก็โดนขัดจนได้
“ไม่ไปก็ตัดบัตรเครดิต ยึดรถคืน” ท่านพูดราวไม่รู้สึกแต่กำลังทำร้ายคนฟังแสนสาหัส เงินคือปัจจัยหลักและรถคือปัจจัยรองในการใช้ชีวิตในเมืองหลวงที่ค่าครองชีพแพงหูฉี่ขนาดนี้
ถึงจะเรียนจบทำงานมาได้เกือบสามปีแต่เธอก็ยังได้รับเงินจากบิดาในค่าใช้จ่ายหรือซื้อของจิปาถะ หากท่านตัดเงินส่วนนี้แล้วจะอยู่อย่างไร บอกตามตรงว่าไม่ใช่คนประหยัดมัธยัสถ์ แต่ก็ไม่ใช้จ่ายสุลุ่ยสุร่ายเกินไป
ซื้อของตามความจำเป็นมากกว่า แล้วทุกอย่างก็จำเป็นไปเสียหมด ของมันต้องมีจนเสียเงินหลายครั้งเพราะประโยคนี้
“หนูให้สามสิบนาที” ต่อรองเมื่อมองไม่เห็นทางรอด
“ได้” คิ้วขมวดเมื่อเห็นว่าพ่อตกลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ดีแล้วที่ไม่โดนตัดเงินและยึดรถ เธอจึงฉีกยิ้มกว้างเป็นการประจบ เพราะจะเข้าไปกอดแขนเหมือนปกติก็ทำไม่ได้ กลิ่นละมุดมันตีขึ้นจมูกมาขนาดนี้ ต้องรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
ร่างบางเดินเข้าห้องของตนเองแล้วปิดประตูเสียงเบาก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้อย่างนี้เดินเข้ามาแบบปกติไม่ต้องย่องเหมือนโจรเสียก็ดี สุดท้ายก็โดนจับได้แถมมัดมือชกไปบ้านของผู้ถือหุ้นรายใหญ่แห่งบริษัทดริ้งสยามอีก
เธอไม่เคยไปบ้านหลังนั้น และไม่คิดจะไปสักครั้งกลัวว่าบิดาจะจับคู่ให้ ตอนเรียนมัธยมตั้งแต่มอต้นถึงมอปลายบังคับอยู่โรงเรียนหญิงล้วนไม่อยากให้มีแฟน แต่พอเรียนจบทำงานกลับอยากให้แต่งงานเสียอย่างนั้น เมินเสียเถอะ เธอจะเกาะอยู่บนคานจนตายนั่นแหละ
เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋าจนต้องหยิบมาดู พอเห็นชื่อก็ถอนหายใจอีกครั้งอย่างเบื่อหน่าย ทำไมไม่หลุดพ้นจากผู้ชายคนนี้สักทีทั้งที่บอกเลิกไปเป็นเดือนแล้วยังตามติดอยู่ได้ น่ารำคาญจนกดตัดสายไม่ยอมรับ เคยบล็อกไปแล้วก็เอาเบอร์อื่นโทรมา ไม่เคยเห็นใครตื้อเท่านี้มาก่อนทั้งที่เป็นฝ่ายนอกใจหล่อนแท้ๆ
“เดี๋ยวแม่จะแฉซะเลยนิ” อดีตแฟนหนุ่มเป็นดาราดาวรุ่ง กำลังมีผลงานจนคนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง ภายนอกดูเป็นคนจริงใจยิ้มแย้มแจ่มใส เธอก็เคยหลงกลคบมาได้เกือบปีแต่ใครจะรู้ว่าเจ้าชู้เรียกพ่อ สับรางจนจับไม่ได้
กระทั่งเธอใช้อุบายบอกจะไปต่างประเทศแล้วหายไปสองวัน พอวันที่สามไปคอนโดของอีกฝ่ายก็เจอนอนกกผู้หญิงเต็มสองตา บอกเลิกตรงนั้นแล้วมาเมากับเพื่อนเสียใจที่เคยหลงรักผู้ชายคนนี้ เมื่อเริ่มทำใจได้อีกฝ่ายก็เข้ามาง้อ
แต่ในเมื่อตัดสินใจจะเลิกแล้วก็ต้องเอาให้ขาด ปิดกั้นทุกช่องทางถึงเมธัชจะพยายามติดต่อมาตลอดเวลาก็ตาม เหลือก็แต่มาหาที่บ้าน แต่คงไม่กล้าเพราะบิดาของหล่อนค่อนข้างดุ ไหนจะพี่ชายทั้งสองคนอีก
เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พอมีหลุมหลบภัยจากโลกภายนอกหน่อย
วันที่ไม่อยากให้มาถึงก็มาเร็วเสียเหลือเกิน คุณหนูของบ้านโดนปลุกแต่เช้าเพื่อมาแต่งตัวสำหรับไปบ้านวิมานมรกต ถูกจับแต่งตัวราวตุ๊กตาเพราะมารดากังวลว่าบุตรสาวจะใส่เสื้อกล้ามกางเกงหนังไปบ้านของประธานบริษัทดริ้งสยาม
“แม่คะ ต้องจัดเต็มขนาดนี้เลยเหรอ แค่ไปบ้านเองไม่ได้ไปงานราตรีสักหน่อย เว่อร์ไปหรือเปล่า” มองตนเองในกระจกก็ต้องทักท้วง สาบานได้เลยว่าหล่อนซ่อนชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีครีมตัวนี้ไว้ลึกสุดตู้แล้ว แต่คุณวิชญาก็ยังค้นเจอ
ไหนจะผมถักเปียเบี่ยงข้างนี้อีก มันหวานจนมองในกระจกก็อยากดึงทึ้งให้หลุดลุ่ย ใบหน้าสวยบูดบึ้งจนคุณผู้หญิงของบ้านต้องเตือน
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ เรานี่นะ ชุดก็ของตัวเองมาบอกแม่จัดเต็มได้ไง ทีใส่เดรสสั้นไปปาร์ตี้ยังใส่ได้ ชุดนี้ยาวเลยเข่าอีกทำมาเป็นบ่น” มันไม่เหมือนกันนี่นา ไปปาร์ตี้เพราะอยากไปใจมันเรียกร้อง แต่การไปบ้านของผู้ถือหุ้นรายใหญ่มันคือการบังคับ
ไม่อยากไปสักนิด หรือจะหนีตอนนี้ดี...
“คนบ้าอะไรสร้างบ้านตั้งสี่ชั้น แถมมีบ้านแฝดอีก” พึมพำเสียงเบาเมื่อรถตู้เลี้ยวเข้ามาภายในรั้วบ้านหลังงาม ก่อนจะจอดลงยังหน้าบ้านที่มองเพียงตาเปล่ายังรู้ว่าราคาแพงเป็นแน่ ต้นไม้ขึ้นสูงให้ร่มเงาและเย็นสบาย
บ้านสไตล์โมเดิร์นกว่าสี่ชั้นที่มีทางเชื่อมกับบ้านอีกหลังทว่ามีเพียงสามชั้น การตกแต่งเน้นสีขาวและมีไม้มาแซมเพื่อให้ดูไม่ทื่อจนเกินไป ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งล้อมด้วยกระจกบานใสแทนผนังทึบเพื่อให้มองเห็นสวนด้านข้าง
ร่างบางลงจากรถแล้วเดินตามบิดาขึ้นไปบนบ้าน มองสวนกว้างแล้วสำรวจข้างในบ้านที่ตกแต่งอย่างอบอุ่น กำลังจะดูรูปครอบครัวที่แขวนไว้ติดผนังก็ถูกบิดาสะกิดเสียก่อนจึงได้หันมามองด้านหน้า เห็นเจ้าของบ้านมาต้อนรับก็รีบสวมหน้ากากอย่างรวดเร็ว
พรณัชชาฉีกยิ้มพลางยกมือขึ้นไหว้ด้วยกริยาที่อ่อนช้อยราวนางในวัง มารดาสอนมาอย่างดีแต่หล่อนก็เลือกจะงัดมันออกมาใช้ยามที่ต้องเข้าสังคม ซึ่งก็ไม่บ่อยหรอกส่วนมากจะให้พี่ชายไปมากกว่า เธอไม่เหมาะกับการประโคมเพชรเพื่อประชันความรวย
ขอไปปาร์ตี้ตามผับหรือคลับที่มีเสียงเพลงให้เต้นดีกว่า ถึงจะจับจังหวะไม่ได้แต่แค่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ก็เพียงพอแล้ว
“สวัสดีครับคุณรัณ ผมมาสายหรือเปล่า” เห็นบิดาถามหล่อนก็อยากตอบแทน สายอะไรเล่านี่เพิ่งแปดโมง มาเช้ากว่านี้ก็ชวนใส่บาตรเถอะ
“ไม่เลยครับ กำลังจะกินข้าวเช้าพอดี เชิญคุณแม็คกับหนูหมิงกินข้าวเช้าด้วยกันนะ” ชวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หล่อนก็เงียบเสียงรอฟังบิดาตอบซึ่งก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเอาไว้สักเท่าไหร่
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาเช้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะทำงาน หล่อนง่วงจนเดินหลับได้อยู่แล้ว ทว่าพอมาถึงห้องอาหารแล้วกลิ่นหอมก็โชยมาจนท้องเริ่มร้องประท้วง มองบนโต๊ะยาวก็ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหิว
“หน้าตาน่าทานมากเลยค่ะคุณอา” เคยเจอท่านสองสามครั้งตอนที่มาบ้านของหล่อน จึงได้พูดคุยพอสนิทสนมอยู่บ้าง
“น้าดรีมเขาเป็นคนทำ อร่อยมากเลยนะหนูหมิงต้องลองชิม” ประมุขของบ้านนั่งหัวโต๊ะโดยมีแขกนั่งด้านซ้ายพร้อมกับอาหารจานสุดท้ายที่ยกขึ้นโต๊ะ แล้วคุณผู้หญิงของบ้านก็เดินเข้ามาเมื่อกำกับงานในครัวเรียบร้อยแล้ว
“น้าดรีมสวัสดีค่ะ” เคยเจอกันครั้งสองครั้งที่บ้านของหล่อนเพราะคุณรวิสุดาไปพร้อมสามี ท่านเป็นคนน่ารักยิ้มเก่ง ไม่แปลกใจทำไมถึงมัดใจสามีเอาไว้ได้ แถมทำงานด้วยกันอีกไม่มีทางที่คุณศรัณจะออกนอกลู่นอกทางได้