๒.๑ เงื้อมมือราชสีห์
๒
เงื้อมมือราชสีห์
“จะไปแน่เหรอปลาย”
คำถามซึ่งปนมากับความห่วงใยอย่างล้นเปี่ยมนั้น มาจากพี่สาวคนรองที่เพิ่งรู้เรื่องแล้วรีบตามเข้ามาในห้องด้วยความร้อนใจ ในขณะที่คนเป็นอาและพี่สาวคนโตอย่างปานระพี ยังยืนเผชิญหน้ากับนายหัวสิงห์อยู่ด้านล่าง
ปอไหมนั่งอยู่ขอบเตียง ตาทอดมองน้องสาวซึ่งกำลังเก็บของใส่กระเป๋าด้วยความเป็นกังวล และไม่อยากเชื่อว่าจู่ๆ ปลายฝนจะมาเจอชะตากรรมแบบนี้
“ปลายเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วพี่ปอ นายหัวสิงห์คงไม่ยอมแน่ๆ”
“ทำไมปลายถึงตัดสินใจแบบนั้น ทำไมไม่ปรึกษาอาเก้าหรือพี่ๆ ก่อน”
“มันไม่มีเวลาให้ปรึกษาเลยพี่ปอ ทุกอย่างมันเร็วและกดดันไปหมด ปลายไม่อยากให้อาเก้าเดือดร้อน”
“แล้วทำแบบนี้ ไม่คิดว่าอากับพี่จะเดือดเนื้อร้อนใจบ้างเหรอ”
“ปลายแค่คิดว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ แม้มันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นเขาจะเอาเรื่อง และฝ่ายเราเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ปลายเองมีส่วนผิด ปลายก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง พี่ปอก็รู้ว่าอาเก้ากับนายหัวสิงห์มีเรื่องกระทบกระทั่งกันมาตลอด แต่รอบนี้ฝ่ายเราเสียเปรียบเขาเต็มๆ อีกอย่างปลายไม่อยากให้คนงานของเราถูกลงโทษแบบป่าเถื่อนด้วย” ปลายฝนบอกอย่างยืนยันเจตนาของตัวเอง ซึ่งทำให้ปอไหมรู้ว่าไม่มีทางจะเปลี่ยนใจน้องสาวได้ และถึงจะไม่รู้จักนายหัวสิงห์ดีเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้ว่าคนระดับนั้นไม่มีทางให้ใครทำอะไรเล่นๆ ด้วยแน่นอน หากกระนั้นในฐานะพี่สาวก็ยังห่วงและยังอยากรั้งน้องสาวไว้
“แต่ที่นั่นมันดงเสือนะปลาย นายหัวสิงห์ดุแค่ไหนปลายก็น่าจะรู้”
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาดุ เพราะเคยเผชิญกับ ‘ความดุ’ ของเขาด้วยตัวเองมาแล้ว
“ถึงปลายรู้ ปลายก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะพี่ปอ แต่พี่ปอไม่ต้องห่วงนะ เขารับปากอาเก้าแล้ว ว่าปลายจะไม่เป็นอะไร”
“เอาเถอะในเมื่อปลายตัดสินใจแล้ว พี่คงเปลี่ยนใจปลายไม่ได้ พี่ก็ได้แต่หวังว่านายหัวสิงห์จะไม่ทำอะไรที่รุนแรงกับปลาย ยังไงก็ดูแลตัวเองนะ มีอะไรโทร.มาบอกพี่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็หาทางกลับบ้านเรา พี่กับอาเก้าและพี่ป่านพร้อมจะปกป้องปลายเสมอ”
“ขอบคุณนะพี่ปอ ปลายรักพี่ปอนะ” ปลายฝนเดินมากอดพี่สาว เสียงพูดสั่นเครือ รู้ดีว่าทุกคนในครอบครัวเป็นห่วง รู้ดีว่าตัวเองจะต้องเผชิญกับอะไร เมื่อก้าวเข้าไปอยู่ในเงื้อมมือราชสีห์อย่างนายหัวสิงห์ แต่นาทีนี้เธอเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำตัวให้เข้มแข็งและพร้อมจะเผชิญกับทุกอย่างที่รออยู่ข้างหน้า
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา…
ร่างบางขยับเข้าไปกอดอา กอดพี่สาวทั้งสองเพื่อร่ำลา ก่อนจะก้าวขึ้นรถแลนด์โรเวอร์สีดำบ่งบอกความเป็นคนดุดันของเจ้าของซึ่งจอดรออยู่ เธอนั่งหลังคู่กับเจ้าของรถ ส่วนคนของเขานั่งอยู่เบาะหน้า โดยคนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถ
ปลายฝนนั่งเกร็ง คิดว่าในทันทีที่เธอขึ้นรถ นายหัวสิงห์จะต้องลวนลามหรือหาเศษหาเลยจากร่างกายของเธอ เหมือนกับที่เขาทำตอนมาร่วมงานแต่งปอไหมเป็นแน่
แต่เปล่าเลย… ร่างสูงใหญ่นั้นกลับนั่งนิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะปรายตามามอง ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามหรือชวนคุยด้วยซ้ำ เขาทำราวกับไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีอะไรลึกซึ้งกับเธอมาก่อน ไม่เคยคุกคาม ไม่เคยไปดักเจอเธอที่หอพัก ทำเอาปลายฝนงงไม่น้อย แต่มันก็ไม่ใช่วิสัยที่จะต้องเป็นฝ่ายถาม ในเมื่อเขาไม่อยากคุย เธอก็จะนั่งเงียบๆ แบบนี้
ร่างบางนิ่งเฉยๆ พยายามจะไม่ใจสั่น ไม่รู้สึกรู้สากับกลิ่นกายแบบบุรุษแท้ๆ และแรงดึงดูดสุดเข้มข้นที่แผ่ซ่านมาจากร่างสูงใหญ่ของเขา จนกระทั่ง...
“ฉันผิดหวังนะที่เธอยอมมากับฉันง่ายๆ ฉันนึกว่าเธอจะรักศักดิ์ศรีและต่อสู้มากกว่านี้ซะอีก”
จู่ๆ เสียงทุ้มดุก็ดังขึ้น คำพูดเขาทำเอาปลายฝนหน้าชา หันขวับไปมองคนพูดด้วยความตกใจและเคืองขุ่น เพราะประโยคนั้นเต็มไปด้วยการดูแคลนอย่างรุนแรงชนิดที่เธอคาดไม่ถึง
“นายหัวว่าอะไรนะคะ”
“เป็นอะไรเหรอปลายฝน เมื่อก่อนเธอหนีหน้าฉันและทำท่ารังเกียจฉันยังกะอะไร แล้วทำไมวันนี้ถึงกระโจนเข้ามาติดบ่วงฉันง่ายๆ ล่ะ หรือว่ามีอะไรดลใจให้เธอเปลี่ยนไป”
“ไม่มีอะไรดลใจปลายหรอกค่ะ ปลายแค่อยากรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ปลายไม่อยากให้อาเก้าและคนอื่นๆ ต้องมาเดือดร้อน เพราะการกระทำของปลาย” ปลายฝนเสียงแข็ง แววตามองเขาอย่างตัดพ้อ แต่แค่ครู่เดียวเธอก็ปรับมันให้เป็นปกติ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปขอความเห็นใจหรือเอ็นดูจากเขา ในเมื่อเขาคงมีอคติกับเธอไปแล้ว
“แต่ดูเหมือนว่าอาของเธอจะไม่คิดเหมือนเธอนะ อาเธอยังพยายามปกป้องคนผิด”
“ถ้าเป็นนายหัว นายหัวจะไม่ปกป้องคนของตัวเองเหรอคะ”
“ถึงจะเป็นคนของฉัน แต่ถ้าทำผิด ฉันก็ไม่คิดจะปกป้อง”
“แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่นายหัวรักเหรอคะ”
“ใช่” เขาตอบกลับแบบแทบไม่คิด พร้อมกับที่สาดสายตามาจ้องมองเธอ ทำให้ปลายฝนต้องเมินหน้าหนี เพื่อหลบประกายตาคมกล้า ดุดัน ทว่าเหมือนมีอะไรแอบแฝงอยู่
“ปลายต้องทำอะไรบ้างตอนที่ไปอยู่กับนายหัว” ปลายฝนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพราะเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้มันเหมือนกับเปิดฉากสงคราม ซึ่งเธอยังไม่พร้อมและไม่อยากมีเรื่องกับคนแบบเขา
“เธออยากทำอะไรล่ะ”
“ปลายเลือกได้ด้วยเหรอคะ”
“เธอเป็นคนพิเศษ ยังไงเธอก็ต้องมีสิทธิ์เลือก”
“คนพิเศษที่นายหัวหมายถึง นั่นคือปลายเป็นเชลยใช่มั้ยคะ”
คราวนี้นายหัวสิงห์ไม่ตอบ แต่ใช้สายตามองเธอนิ่ง คนที่ตกอยู่ในฐานะเชลยได้แต่เจ็บจี๊ดในหัวใจ เพราะการเฉยเมยของเขา มันหมายถึงการไม่ปฏิเสธและตอกย้ำว่าเธอไม่ได้เข้าใจผิด
ความเงียบแผ่โปรยเข้าครอบคลุมบรรยากาศในรถอีกครั้ง เมื่อการสนทนาระหว่างหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้ากับสาวน้อยวัยยี่สิบสองสิ้นสุดลงด้วยความหมางเมินเย็นชา หลังจากประหัตประหารกันด้วยคำพูด แม้ไม่กี่ประโยคแต่ก็สะเทือนเลื่อนลั่นพอสมควร ส่วนคนที่นั่งอยู่ตอนหน้าของรถ ได้แต่นั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินอะไร ด้วยพวกเขาถูกฝึกและรู้ดีว่าเรื่องบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเจ้านายก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้เห็น
ใบหน้าเนียนละมุนเชิดขึ้น ขณะสายตาทอดมองออกไปนอกรถ เพื่อปิดบังความรู้สึกภายในที่ทั้งหวาดหวั่นและปั่นป่วนอย่างรุนแรง ระยะทางระหว่างสองรีสอร์ตไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีต่อมา รถคันนั้นก็แล่นเข้าสู่อาณาเขตที่มีชื่อป้ายใหญ่ๆ ติดด้านหน้าว่า ‘ทะเลจันทร์รีสอร์ต’ ตาคู่สวยกวาดผ่านตัวอักษรชดช้อยที่ติดอยู่บนป้าย พลางคิดว่าคนตั้งช่างเข้าใจตั้งชื่อ เพราะช่วงเวลากลางคืนของที่นี่เห็นดาวและเดือนชัดมาก
สายตาของสาวน้อยถูกสะกดด้วยความงดงามของธรรมชาติที่ถูกตกแต่ง ซึ่งสวยแทบจะทุกตารางนิ้วตั้งแต่ทางเข้า ขณะที่รถยังคงแล่นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หลุดพ้นเข้าสู่อีกอาณาเขตหนึ่ง ซึ่งเงียบสงบและบ่งบอกความเป็นส่วนตัว เหมือนอยู่คนละโลกกับรีสอร์ตสุดหรูเบื้องหน้า แต่น่าแปลกที่เธอกลับชอบบรรยากาศแบบนี้มากกว่าความวุ่นวายพลุกพล่าน ไม่อย่างนั้นคงไม่หนีเข้าป่าคนเดียวบ่อยๆ หรอก
แก้มนวลแดงระเรื่อขึ้น เมื่อคิดถึงการหนีเที่ยวครั้งสุดท้ายของตัวเอง เพราะการเพลิดเพลินจนข้ามเขตลำธารในครั้งนั้น มันทำให้เธอได้ลิ้มลองประสบการณ์บางอย่าง ซึ่งถึงแม้จะพยายามลืมแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยสลัดมันทิ้งได้เลย และความทรงจำนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อตอนนี้เธอได้มานั่งอยู่ใกล้ๆ กับคนที่เป็นต้นเรื่อง
“ถึงแล้วนะ เธอจะลงเองหรือให้ฉันอุ้ม”
คำพูดประโยคนั้นฟังดูคล้ายกับจะเป็นการหยอกเอิน แต่เปล่าเลย คนพูดไม่ได้อยู่หรือเฉียดใกล้อารมณ์นั้นแม้แต่นิด เพราะสีหน้าเขายังคงนิ่งเฉยเย็นชา ปลายฝนจึงรู้ว่าเขาพูดเพราะรำคาญที่เธอเอาแต่นั่งนิ่งมากกว่า
“ปลายลงเองได้ค่ะ” ตอบเสร็จก็ผลักประตูรถลงไปด้วยความเคืองขุ่น แต่เพียงไม่กี่วินาทีความเคืองขุ่นก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกอื่น เมื่อได้เห็นบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า