๑.๔ เตือนความจำ
เขาสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ท่าทางเคร่งขรึมเอาเรื่อง ใบหน้าคมคร้ามติดดุดัน มีไรหนวดไรเคราขึ้นบางๆ บวกกับการแต่งตัวแบบบุรุษแท้ เสื้อเชิ้ตสีกรมท่ายัดชายลงไปในกางเกงยีนสีซีด สวมทับช่วงบนด้วยเสื้อยีนสีเดียวกัน รองเท้าเป็นรองเท้าหนังแบบบูท บนศีรษะมีหมวกปีกสีน้ำตาล ซึ่งแม้จะไม่ได้พกพาอาวุธสักชิ้น แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันแล้ว ทำให้เจ้าตัวดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ปลายฝนเชื่อเสมอ ว่าอาเก้าคือผู้ชายที่ไม่มีใครข่มรัศมีได้ง่ายๆ แต่พอมายืนประจันหน้ากันแบบนี้ ความเชื่อนั้นกลับเริ่มถูกสั่นคลอน ทั้งท่าทีและความดุดันที่ฉายชัดออกมาทางสีหน้า มันทำให้รู้สึกเหมือนเสือสองตัวที่พร้อมจะขย้ำกัน แบบไม่มีใครกลัวใคร กลับเป็นคนมองต่างหากที่กลัวการเผชิญหน้าของคนทั้งสอง จนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
“ผมเฉยมามากแล้ว แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยผ่านอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนของที่นี่ก็คงจะเหยียบหัวผมอยู่ร่ำไป” เสียงดุดันของนายหัวสิงห์ดังขึ้นอีก พร้อมกับแววตาที่เหี้ยมกระด้าง ปลายฝนได้แต่ยืนฟังเงียบๆ อย่างพยายามจับต้นสายปลายเหตุ ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้บุกมาเยือนถิ่นเสือแบบพร้อมจะเอาเรื่องแบบนี้
“ผมขอโทษนายหัวจริงๆ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมสัญญาว่าจะส่งม้ากลับไปภายในวันนี้” เก้าบอกอย่างพร้อมจะรับผิดชอบ เพราะคนของตัวเองผิดเต็มๆ แต่คำตอบแบบนั้นกลับไม่ดีพอที่จะทำให้คนบุกมาเยือนพอใจได้
“ส่งกลับแล้วก็จบเหรอ มันง่ายไปมั้ย อ้อ หรือว่านายหัวเป็นคนง่ายๆ แบบนี้ ทั้งคนงานทั้งหลานเลยติดนิสัยขี้ขโมยกันหมด”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะนายหัว ที่ผมยอมขอโทษเรื่องคนงานของผมไปขโมยม้าของนายหัว เพราะคนของผมผิดจริงๆ ซึ่งผมพร้อมจะจัดการให้ แต่หลานผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ผมเลี้ยงของผมมาแต่อ้อนแต่ออก อบรมมากับมือ หลานผมไม่เคยมีนิสัยลักขโมยอย่างที่คุณกล่าวหา เพราะฉะนั้นอย่าลามปาม ไม่อย่างนั้นผมจะไม่เกรงใจ” เสียงของเก้ากร้าวขึ้น เมื่อมีคนบังอาจดูหมิ่นศักดิ์ศรีของหลานสาวเขา ถึงคนคนนั้นจะเป็นคนที่น่าหวั่นเกรงอย่างนายหัวสิงห์ แต่ถ้ามาแตะครอบครัวเขา เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าเหมือนกัน
“ผมกล่าวหาเหรอ แน่ใจเหรอนายหัว ถามหลานดูก่อนมั้ย จะได้ไม่หน้าแหกมากเกิน” สิงห์พูดเยาะๆ พลางปรายตาไปทางปลายฝน เป็นการบอกกลายๆ ว่าคนที่เขากำลังพูดถึงนั่นคือเธอ ทำให้คนถูกพาดพิงหน้าร้อน ด้วยรู้ดีว่าคำกล่าวหาของนายหัวสิงห์นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเขาเพิ่งจะส่งหลักฐานมาตอกย้ำเธอเมื่อสองสามวันที่แล้วนั่นเอง
“ว่าไงปลาย ปลายเคยไปขโมยของอะไรของนายหัวสิงห์หรือเปล่า”
“คือปลาย...” ปลายฝนเว้นจังหวะ อยากปฏิเสธเพื่อให้อาไม่เสียเปรียบในการเผชิญหน้าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าเธอโกหก อาของเธอจะยิ่งเสียเปรียบ เพราะคนอย่างนายหัวสิงห์ต้องมีหลักฐานเด็ดๆ ที่พร้อมจะแหกหน้าเธอให้ยับเยินเป็นแน่ แล้วถ้าเขาพูดถึงเรื่องวันนั้นมา เธอจะทำยังไง สู้ยอมรับความจริง เพื่อให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายกว่านี้น่าจะดีกว่า
“ถ้าปลายถูกกล่าวหาหรือถูกข่มขู่ ก็บอกอามาเลยไม่ต้องกลัว อาพร้อมจะปกป้องปลายเสมอ”
ยิ่งอาพูดแบบนั้น ปลายฝนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโกหกไม่ได้ แม้บางคนอาจจะมองว่า เรื่องที่เธอทำมันเป็นความผิดเล็กน้อย แต่นั่นมันก็ถือว่าเป็นความผิดอยู่ดี เธอจึงจำต้องสารภาพความผิดของตัวเองออกไป
“ปลายเคยข้ามเขตไปเก็บดอกกล้วยไม้ที่ฝั่งโน้นค่ะอา แต่ว่านายหัวสิงห์ก็ลงโทษปลายไปแล้วนะคะ” เสียงหวานสารภาพและหลุดคำพูดบางคำออกมาด้วย คนเป็นอาจึงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย นั่นทำให้ปลายฝนรู้ว่าตัวเองพลาดเข้าให้แล้ว
“เมื่อไหร่ แล้วที่ว่าปลายถูกลงโทษไปแล้ว ถูกลงโทษยังไง”
“เมื่อสงกรานต์ปีที่แล้วค่ะ ตอนที่อาไปตามปลายน่ะค่ะ”
“ปลายตอบคำถามอายังไม่ครบ อาถามว่าปลายถูกลงโทษยังไง” เก้าใช้น้ำเสียงดุๆ คาดคั้นหลานสาวต่อ ในขณะที่นายหัวสิงห์ยืนมองมายังคนถูกถามด้วยสายตานิ่งเฉย โดยไม่มีอาการสะทกสะท้านหรือหวาดหวั่นต่อคำตอบของเธอแต่อย่างใด
“ปลายหมายถึงเขาตักเตือนปลายแล้วค่ะอา” ปลายฝนไม่กล้าจะสารภาพออกไป จึงได้แต่โกหกคนเป็นอาเพื่อปกป้องความลับอันน่าอายนั้น
“ผมต้องการการชดใช้ทั้งสองเรื่อง” คราวนี้เป็นนายหัวสิงห์ที่ประกาศกร้าวขึ้น หลังจากคนถูกพาดพิงยอมรับความจริงบางส่วน
“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะส่งม้ากลับไปให้คุณภายในวันนี้ ส่วนเรื่องที่หลานสาวผมเคยไปเก็บดอกกล้วยไม้ในที่ของคุณ ผมยินดีจ่ายค่าปรับให้ จะเอาเท่าไหร่ก็บอกมา” เก้าตอบโต้ไปอย่างคนเสียเปรียบ มือกำเข้าหากันแน่นเพื่อระงับอารมณ์
“ผมไม่ต้องการเงิน ผมอยากให้คุณส่งคนที่ทำผิดทั้งสองคนมาให้ผม”
“ไม่มีทาง!” เก้าปฏิเสธในทันทีหลังจากได้ยินประโยคนั้น เขาขึ้นชื่อว่าดิบและเถื่อนมากพอสมควร แต่นายหัวสิงห์ดิบกว่าเถื่อนกว่าเป็นสองเท่า ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยคนของเขาให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของคนแบบนั้นเด็ดขาด
“แสดงว่านายหัวเลือกที่จะปกป้องคนผิดสินะ ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมรับกับผลที่จะตามมาก็แล้วกัน” พูดแค่นั้นสิงห์ก็พยักหน้าให้คนของตัวเอง เป็นสัญญาณบอกว่าให้กลับ แต่หลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ก็ไม่มีใครคาดเดาได้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ปลายฝนรีบท้วงขึ้นอย่างร้อนใจ ถึงเธอจะกลัวเขาแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถทนเห็นอาเดือดร้อนได้
นายหัวสิงห์หันกลับมามองเจ้าของเสียง เขาไม่พูดอะไร แต่ยืนนิ่งๆ รอให้เธอพูดต่อ ปลายฝนจึงรวบรวมความกล้า เอ่ยต่อรองบางอย่างกับนายหัวสิงห์ออกไป เพื่อปกป้องอาและอาณาเขตแห่งนี้จากอิทธิพลมืดของเขา
“ปลายยินดีจะไปกับนายหัว แต่นายหัวต้องรับปากว่าจะไม่ทำอะไรที่สร้างความเดือดร้อนให้อาเก้าและคนของบ้านปลาย ส่วนเรื่องคนงานที่ขโมยม้า ปลายขอให้อาเก้าเป็นคนลงโทษด้วยตัวเอง อาเก้าเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรักษาคำพูด”
“ปลาย!” เก้าและปานระพีอุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของปลายฝน
“ไม่ต้องห่วงนะคะอาเก้า พี่ป่าน ปลายตัดสินใจแล้ว” ปลายฝนยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างหนักแน่น ที่เธอยื่นข้อเสนอแบบนั้น เพราะเชื่อว่าคนงานคนนั้นต้องถูกนายหัวสิงห์ลงโทษแบบป่าเถื่อนแน่ๆ ถึงคนขโมยม้าจะกระทำความผิด แต่เธออยากให้คนที่มีเหตุมีผลอย่างอาของเธอเป็นคนจัดการมากกว่า
“ไม่นะ อาไม่มีทางยอมให้ปลายทำอย่างนั้นเด็ดขาด”
“ให้ปลายรับผิดชอบเถอะนะคะอา ในเมื่อปลายเองก็มีส่วนกับเรื่องนี้”
“ตกลง ฉันยอมรับข้อเสนอของเธอ แต่ถ้าเธอบิดพลิ้ว ฉันจะทำให้มันเลวร้ายมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว” เสียงทุ้มดุดังแทรกขึ้น เป็นการประกาศกร้าวให้ทุกคนในที่นั้นได้รู้ว่า ตอนนี้ปลายฝนไม่สามารถเปลี่ยนใจได้แล้ว
“ปลายไม่มีทางผิดคำพูดแน่นอน”
“ฉันให้เวลาหนึ่งชั่วโมง เก็บเฉพาะข้าวของที่จำเป็นก็พอ ส่วนอย่างอื่นถ้าขาดเหลือ ฉันจะหาให้ทีหลัง”
นั่นเป็นคำสั่งแรกของคนที่ต่อไปนี้จะมีอำนาจเหนือปลายฝน หลังจากที่เธอเลือกจะไปเป็นเชลยชดใช้ความผิดของตัวเองและคนงานในเหมือง ร่างบางจึงกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บของด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าหลังจากก้าวออกจากบ้านหลังนี้ ชะตากรรมของเธอจะเป็นอย่างไร มีเพียงประโยคเดียวที่ได้ยินแว่วๆ จากปากของนายหัวสิงห์ ขณะพูดกับอาของเธอ ในตอนที่เธอกำลังเดินเข้าบ้าน ว่า...
“ไม่ต้องห่วงนะนายหัว ผมรับปากว่าหลานสาวนายหัวจะปลอดภัย”
เธอจะปลอดภัยแน่หรือ ขนาดตอนที่ยังไม่เข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของเขา เธอก็ยังเกือบสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตสาวไป
ปลายฝนได้แต่ถามตัวเอง ทว่าก็ได้แค่ถาม ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จำต้องยอมรับ ในเมื่อเธอเลือกจะก้าวเข้าไปในกรงเล็บของราชสีห์อย่างนายหัวสิงห์เอง