บท
ตั้งค่า

ตอนทื่ 2 น้ำแกงไก่

แดนเหนือ

รองแม่ทัพจ้าวได้ยินมาว่า สหายรักนั้นจะเดินทางไปทำมาค้าขายที่แคว้นฉู่ เขาจึงได้แนะนำว่าเหตุใดไม่ลองไปเยือนแดนใต้สักครั้ง ที่นั่นเขาได้ยินมาว่า การค้าขายเป็นไปด้วยดี เหตุใดสหายรักของเขาจึงได้คิดเดินทางไปที่แคว้นฉู่ด้วยนะ

ฟางผิงซานยังคงมีท่าทีสงบนิ่งมิได้เอ่ยพูดสิ่งใด เมื่อเห็นว่าคนที่เขาแอบรักนั้นได้เข้าหอกับองค์ชายรองแคว้นฉู่ ตัวเขาคิดว่าทำใจได้ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความเสียใจ ความเจ็บปวด จนกระทั่งตนเองดื่มสุราเมามาย คิดว่าวันนั้นจะเดินทางไปแคว้นฉู่ แต่ ก็ต้องทำให้ทุกอย่างถูกเลื่อนออกไป

“ไม่ลองไปแดนใต้สักครั้ง ที่นั่นข้าได้ยินมาว่ามีชาวคนตัวใหญ่ผมสีทองทำมาค้าขายกัน อีกอย่างดูเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ญาติห่าง ๆ ของข้า ก็เคยส่งจดหมายมาเล่าให้ฟังอยู่ หากข้าจำไม่ผิด” จ้าวเกาเหวินเอ่ยขึ้น ตัวเขายังต้องหนีบภรรยามาด้วยตลอด นั่นเพราะเจ้าเด็กน้อยคนนี้ชักเอาแต่ใจยิ่งนัก

“...” อีกฝ่ายไม่ตอบกลับเงียบขรึมแม้ใบหน้าของเขาไม่บึ้งตึง ทำให้สหายรักอย่างแม่ทัพที่เดินเข้ามาอีกคน ตีไหล่ของพี่ชายภรรยาเบา ๆ เชิงหยอกล้อ พวกเขานั่งอยู่ในเหลาอาหารของตระกูลฟาง ใจกลางเมืองหลวงในวันนี้

“เหตุใดพี่ชายทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์เล่า” แม้รู้อยู่แต่ก็แกล้งไขสือ สหายของเขาเป็นแบบนี้มาได้สองสามวันแล้ว เพราะกงจู่ผู้งดงามแต่งงานออกเรือนไป คงทำให้คนที่คิดไม่ซื่อ ผิดหวังเสียใจเป็นแน่ หยางเฟยเทียนหูตากว้างไกล เหตุใดจึงมองไม่ออกเล่า

แต่ไหนแต่ไรมาคนที่มักจะปกป้องดูแลสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่ม ก็มีเพียงชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ นั่นคือ ฟางผิงซาน ใบหน้าของพี่ชายภรรยา ดูรูปงามนัก หากเทียบกันแล้ว ในพวกเขาสามคน ย่อมยกให้เป็นฟางผิงซานที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตร

“ข้าแค่ ขี้เกียจยิ้ม!” คำตอบที่เหมือนกวนโทสะของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในเหลาอาหารแทบจะทำให้ภรรยาของจ้าวเกาเหวินสำลักน้ำชาที่เพิ่งดื่มเข้าไป

“พี่ชาย หากท่านขี้เกียจยิ้ม วันนี้ข้าก็ขี้เกียจจ่ายเงิน งั้นขอกินทั้งร้านแบบไม่ต้องเสียเงินได้หรือไม่” ฉู่หมิงหลัน หรือยามนี้กลายเป็นจ้าวหมิงหลันเอ่ยวาจายอกย้อนให้อีกฝ่าย

นางอยากจะได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า ‘ได้’ แต่ทว่าอีกฝ่ายทำหน้านิ่งเรียบราวกับไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่นางกำลังเอ่ยกล่าวให้ ฟางผิงซานเงยหน้าขึ้นมาจากการมองถ้วยน้ำชาที่เขากำลังหมุนเล่นอยู่ สายตานั้นดูโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งนัก

เขาคลี่ยิ้มเหี้ยมให้จ้าวหมิงหลัน ภรรยาของ

จ้าวเกาเหวิน จากนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ใครกินก็ต้องจ่าย ทำมาค้าขายมิใช่ทำเอาไว้แจกจ่ายให้สหายกินแบบไม่ต้องเสียเงิน ฮูหยินจ้าวคิดเช่นไร หากข้าจะขอเก็บค่าอาหารทั้งโต๊ะสัก...” แววตาจดจ้องอีกฝ่ายอย่างใจเย็น น้ำเสียงนั้นดูราบเรียบนุ่มน่าฟัง

เขายกยิ้มและจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หนึ่งตำลึงทอง” คนเจ้าเล่ห์ คิดว่าจะทำให้เขาเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำได้หรือ

“โห! ...” คนถูกตอกหน้าร้องขึ้นอย่างตกใจ เหตุใดเขาจึงขอเก็บในราคาที่สูงลิบลิ่วเช่นนี้เล่า นางมองดูแล้วค่าอาหารก็ไม่น่าจะถึงหนึ่งตำลึงเสียด้วยซ้ำไป “ท่านช่างหน้าเลือดนัก เก็บทีหวังจะร่ำรวยเลยหรืออย่างไร ข้าไม่ให้” หมิงหลันทำท่าตกใจก่อนจะเอ่ยว่า นางจะไม่ให้เขาอย่างแน่นอน

“ก็เหมือนที่ข้า ไม่ให้จ้าวฮูหยินนั่นแหละ ขอรับ” รอยยิ้มเหี้ยมผุดขึ้นมา ก่อนที่จะกลายเป็นว่าฟางผิงซาน ลับฝีปากกับภรรยาของเกาเหวิน และทำให้ชายผู้นี้โล่งใจขึ้นมาก และทบทวนเรื่องที่จ้าวเกาเหวินเอ่ยบอกว่าแดนใต้นั้นค้าขายดีนัก

“นี่อย่าทะเลาะกันเลย หากเจ้าไปแดนใต้ ข้าก็ฝากสืบข่าว ท่านอา ญาติห่าง ๆ ของข้าด้วยไม่รู้ว่าป่านนี้ ท่านอา จะเป็นเช่นไร” ท่านอาที่กล่าวถึงนั้น แท้ที่จริงถูกขับไล่ออกจากจากตระกูลจ้าว และเป็นเครือญาติห่าง ๆ ที่รู้จัก

เคยมาพักพิงอยู่ชั่วคราวที่จวนของเขาในเมืองหลวง ในตอนที่เขายังเป็นเพียงแค่เด็กในวัยสิบหนาวแต่ก็พอจำความได้ท่านอาพาอาสะใภ้มาด้วย และบอกว่าจะเดินทางไปค้าขายที่แดนใต้กับภรรยา ทั้งสองคนถูกขับไล่ออกจากตระกูลจ้าว เพียงแค่ว่าท่านอา มิยอมแต่งงานกับสตรีที่ท่านปู่สาม หาให้ก็แค่นั้นเอง แต่ทว่ากลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นเช่นไร จดหมายฉบับสุดท้ายส่งมา บอกว่าท่านอาสะใภ้ท้องก็ได้สองเดือนกว่าแล้ว นั่นคือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ตระกูลจ้าวสายหลักที่ได้รับมา ทุกคนไม่รู้เลยว่า ผู้ที่ส่งจดหมายมาให้มีความเป็นอยู่เช่นไร และเจ้าก้อนแป้งในท้องเป็นหญิงหรือชาย

“อืม ข้าไปแล้วจะช่วยเจ้าสืบหาเอง” ฟางผิงซานรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ การเดินทางก็คงจะใช้เวลานานเกือบเดือนกระมัง เพราะระยะทางนั้นไม่ใช่ใกล้ ๆ เลยก็ว่าได้

ทางด้านผู้ที่ถูกฝากฝังให้ตามหานั้น คือท่านอา แต่ทว่าลูกสาวของท่านอาที่จ้าวเกาเหวินไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว อาสะใภ้มีบุตรสาวที่แสนจะงดงาม ยามนี้นางอาบน้ำและเตรียมตัวจะเข้านอน มีสาวใช้ที่แม่สามีมอบให้มาหนึ่งคน

“ฮูหยินน้อย จะนอนก่อนนายน้อยจริง ๆ หรือเจ้าคะ” สาวใช้ดูแลฮูหยินน้อยอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะนี่ก็ดึกมากก็ไม่เห็นว่า นายน้อยจะมาเยือนที่ห้องหอเสียด้วยซ้ำ

เตียงนอนสีแดงและมีผ้าม่านประดับประดาเพียงแค่ให้เห็นว่าเป็นห้องหอของคนที่แต่งงานเท่านั้น ห้องสี่เหลี่ยมนี้ไม่ได้ใหญ่มากมายนัก กุ้ยหลินหลังจากตัดสินใจโยนผ้าคลุมหน้าของตนเองทิ้งอย่างไม่ไยดี นางก็ไม่นึกอยากจะเจอสามี

และอย่าให้นางได้พบหน้านะ นางจะจัดการเสียให้หมอบแทบเท้าของนาง แม่สามีกับพ่อสามีหรือ ร้ายกาจนักก็ย่อมได้ นางหรือจะทนให้ใครมาข่มเหงรังแกกัน มือเท้าของนางก็มี หาใช่ใช้การไม่ได้ คอยดูเถิด ตำแหน่งลูกสะใภ้ที่ดีให้ แม่สามี กับพ่อสามีได้ประจักษ์ว่ามันเป็นเช่นไร

“ฮูหยินน้อยอะไร หน้าของข้า เจ้านายของเจ้าก็ไม่คิดจะมามองหน้าภรรยาของตนเอง และยังไม่คิดจะมาเหยียบเรือนหอนี้เสียด้วยซ้ำ อีกอย่างเจ้าบ่าวไก่ของข้า อย่าให้ใครเอาไปไหนนะ” นางแย้มยิ้มอย่างร้ายกาจ เมื่อนึกถึงเจ้าบ่าวไก่

นางจะเชือดคอมันต้มแล้วถอนขนของมันมาทำน้ำแกงบำรุงให้แม่สามีได้ลิ้มลอง รับรองว่าคงจะลืมไม่ลงเป็นแน่ เพียงแค่คิดก็สนุกแล้ว กุ้ยหลินเป็นคนตรง ๆ ง่าย ๆ ไม่มีจริตมารยา ใครร้ายกับนางก็ย่อมได้สิ่งนั้นคืนและอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

หากใครดีมารับรองว่ากุ้ยหลินไม่มีทางทำร้ายอีกฝ่ายแน่นอน พรุ่งนี้คนที่จะถูกนางเล่นงาน ย่อมเป็นแม่สามีกับพ่อสามี เหยียดหยามนางนักใช่หรือไม่

แล้วจะได้เห็นดีกัน ว่าใครกันที่แน่กว่า

“เหตุใดเล่าเจ้าคะ” สาวใช้เอียงคออย่างงุนงง นางกำลังสางผมให้ฮูหยินน้อย นายน้อยของนางช่างตาถั่วนัก หารู้ไม่ว่าฮูหยินน้อยรูปโฉมงดงามเพียงใด เกิดมานางมิเคยจอใครที่งดงามเช่นนี้เลย ใบหน้าของนางก็ดูเล็กนิดเดียว รูปร่างก็ช่างอ้อนแอ้นนัก หากไม่บอกว่านางเป็นแม่ค้า ค้าขายในตลาด ย่อมไม่รู้เลย

และยังคงต้องนึกว่า ฮูหยินน้อยเป็นลูกของขุนนางเป็นแน่ แม้ผิวพรรณออกจะคล้ำแดดเสียหน่อย ทว่านุ่มลื่นและเนียนยิ่งนัก ไม่มีจุดด่างดำบนใบหน้าให้เห็น อีกทั้งยังเกลี้ยงเกลา ใบหน้าก็พริ้มเพราละมุนละไมงดงามลงตัวยิ่งนัก

และยังคิดว่า งดงามกว่าคุณหนูโม่เป็นไหน ๆ ที่รายนั้นมักเป็นสตรีที่เอาแต่ใจ เกรงว่าหากคุณชายน้อยแต่งเข้ามาจริง ๆ ในจวนนี้ก็คงจะวุ่นวายเป็นแน่ เรื่องที่คุณชายน้อยจะแต่งงานภรรยาอีกคนนั้น ฮูหยินน้อยยังไม่ทราบเรื่องนี้

เพราะไม่มีใครเปิดปากพูดสักคนเป็นคำสั่งห้ามมิให้เรื่องนี้แพร่งพรายมายังเรือนหลังเล็กท้ายจวน และช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก คืนแรกคุณชายน้อยก็ไม่มาเข้าหอ และวันพรุ่งนี้เล่าคุณชายน้อยจะมาหรือไม่ อีกเพียงแค่สองวันเท่านั้น ทุกอย่างก็คงจะปิดเอาไว้ก็คงจะต้องแดงขึ้นมาแน่

ด้วยที่เห็นว่าจะจัดงานแต่งกับคุณหนูโม่อย่างยิ่งใหญ่ เชิญขุนนางทั้งหลายมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย และช่างน่าเห็นใจฮูหยินน้อยจ้าวยิ่งนักที่แต่งเข้ามาโดยที่มีแขกร่วมงานเพียงน้อยนิดไม่มีงานเลี้ยงฉลองแต่อย่างใด กลับทำอย่างเรียบง่ายและดูแคลนฝ่ายเจ้าสาวยิ่งนัก

“ข้าจะเชือดมันต้มน้ำแกงให้ท่านแม่” รอยยิ้มปีศาจของกุ้ยหลินได้หายวับไปทันตา นางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และก้าวไปยังเตียงนอนที่แข็งกระด้างแต่นางหาได้สนใจไม่ เรือนนี้คงจะไม่ต่างจากเรือนคนใช้กระมัง จวนนี้ใหญ่โตเสียเปล่า กับแร้งน้ำใจและยังใจดำอำมหิตยิ่ง

จ้าวกุ้ยหลินผู้นี้จะตอบแทนน้ำใจของพวกท่านให้สาสม

“ฮูหยิน” สาวใช้ตกใจยิ่งนัก นางนั่งอ้าปากตาค้าง มิคิดว่าฮูหยินน้อยจะเล่นงานฮูหยินใหญ่กับนายท่านด้วยวิธีนี้

“ข้าถามจริง ๆ เจ้าน่ะเป็นนกสองหัวหรือไม่” กุ้ยหลินหย่อนก้นนั่งลงที่ขอบเตียงนอน มือเรียวสัมผัสผ้าปูที่นอนก็รับรู้ว่าผ้านี้เนื้อหยาบกระด้างมิได้นุ่มเลื่อนเหมือนที่บ้านของนาง สิ่งที่นางต้องการคือสาวใช้ที่ซื่อสัตย์ หากเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกนางไม่ต้องการ

“ฮูหยิน ฐานะทางบ้านของข้ายากจนนัก พอได้สิบหนาวท่านพ่อ ท่านแม่ข้าก็นำมาขาย ก็มีที่จวนนี้รับข้าไว้ แต่ว่าฮูหยินใหญ่ กับนายท่านก็มีเมตตากับข้าไม่น้อย ดังนั้นข้าไม่อาจจะเป็นสาวใช้ที่ดีของฮูหยินน้อยได้เจ้าค่ะ”

“เจ้าพูดได้ดี” เมื่อสาวใช้พูดจบ กุ้ยหลินก็ไม่มีทีท่าดุด่าอีกฝ่าย หรือต่อว่าให้เจ็บใจ สาวใช้ผู้นี้จิตใจดีใช้ได้ แต่ว่านางคิดแล้วไม่เปลี่ยนใจ เจ้าบ่าวไก่ พรุ่งนี้ถูกเชือดทำน้ำแกงเป็นแน่

จากนั้นกุ้ยหลินก็ดับไฟพร้อมที่จะนอนในสถานที่ ที่ไม่ใช่บ้านของตนเอง ดวงตากลมโตยังคงไม่ปิดเปลือกตาลง นางยังคงนึกถึงคำสอนสั่งของท่านแม่

‘ผู้ชายก็เหมือนขนมหวาน หากกินไปแล้วไม่ถูกปากก็แค่คายมันทิ้งไป และก็หาใหม่ด้วยมือของเราเอง และจะต้องหาให้ดีกว่าคนเก่า หากหาไม่ได้ มือ เท้า เรามีไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงผู้ชายเสมอไป’

รุ่งเช้ามาเยือน

ฮูหยินใหญ่นั่งรอรับอาหารในจวนหลังโตที่ใหญ่และงดงามออกจะกว้างขวางยิ่งนัก เบื้องหน้าของนางนั้น บนโต๊ะอาหารมีน้ำแกงใส ๆ ดูสีสวยงาม กลิ่นหอมชวนให้น้ำลายไหลเสียจริง ถัดมาอีกจานก็เป็นผัดไก่ใส่ขิง ที่นางเห็นหน้าตาของมันช่างดูประหลาดแต่ว่า กลิ่นน้ำหอมชวนหิวยิ่งนัก

ฮูหยินใหญ่ตักน้ำแกงไก่เข้ามาชิม ก็สีหน้าเบิกบานใจ “อร่อยยิ่งนัก” นางชมเปาะเพราะรสชาติถูกปากเหลือเกิน จากนั้นก็คีบผัดไก่ใส่ขิงขึ้นมาชิม นางก็ชมอีกว่า ‘อร่อย’ จากนั้นแม่สามีเอื้อมมือไปจับถ้วยน้ำแกงไก่ขึ้นมายกซดจนหมดถ้วย

กุ้ยหลินยืนมองด้วยแววตากระหยิ่มยิ้ม

แม่สามีที่ว่าร้าย ต้องพ่ายแพ้ให้กับลูกสะใภ้อย่างกุ้ยหลิน

“อร่อยหรือไม่เจ้าค่ะท่านแม่ นี่คือน้ำแกงไก่ตัวเมื่อวานเจ้าค่ะ เจ้าบ่าวของข้าเอง” กุ้ยหลินยิ้มเหี้ยม ไม่ใช่แค่มีน้ำแกงไก่เท่านั้น นางยังเอารองเท้าลงไปคนในน้ำแกงที่เพิ่งตักออกจากเตา และใส่ลงไปในถ้วย จากนั้นก็บ้วนน้ำลายก้อนโต ๆ ลงไปทีหลัง

ไม่นึกว่าสูตรนี้แม่สามีจะชอบ ทีหลังนางจะทำให้กินทุกวัน กุ้ยหลินยืนหัวเราะคิกคักชอบใจยิ่งนัก ช่างสาแก่ใจนางเหลือเกิน ได้แก้เผ็ดคนพวกนี้แค่นี้ก็มีความสุขเหลือเกิน คราวหน้านางจะทำให้หนักกว่านี้อีก

นางช่างร้ายเกินไปแล้ว

พรวด!!!! น้ำแกงไก่ พุ่งพรวดออกจากปากของผู้ที่ซดเข้าไปอย่างอร่อยทันที ฮูหยินใหญ่หน้าขึ้นสีแดงด้วยความโกรธจัด ฟาดฝ่ามือลงที่โต๊ะลงอย่างเสียงดัง ปัง นางยังยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าลูกสะใภ้ตัวดี

“แบบนี้มีที่ไหนกัน ต่ำทรามยิ่งนักมิน่าเล่าถึงได้เป็นแค่คนชั้นต่ำ” นางหมดหนทางที่จะเอาคืน แทบจะเป็นลมไปเลย เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสะใภ้ที่นางไม่ชอบหน้า

“ต่ำทรามอย่างไรก็ยังดีเสียกว่า เกิดมาสูงส่งแต่ มักจะเหยียดหยามคนอื่น มันไม่ดีนะเจ้าคะ” กุ้ยหลินมีหรือจะยอม แววตาของนางไม่จำนนต่อใครง่าย ๆ มีแต่ความกระด้างกระเดื่อง สีหน้าแม้จะดูเรียบเฉย นางยังวางท่าได้ดี

“อ้อ น้ำแกงไก่ที่ท่านกินเข้าไป เผอิญว่าข้าทำรองเท้าตกลงไปในถ้วยน้ำแกง เห็นท่านแม่ชมว่าอร่อย พรุ่งนี้ลูกสะใภ้จะทำให้อีกนะเจ้าคะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel