ตอนทื่ 3 กุ้ยหลินวางแผนร้าย
จ้าวกุ้ยหลินประกาศตัวเป็นศัตรูกับแม่สามี และพ่อสามีแล้ว ก็คงจะเหลืออีกคนหนึ่งนั่นคือสามีของนาง นางไม่ได้อยากจะพบหน้าแต่ก็ดูเหมือนว่า ในจวนนี้มีอะไรแปลกไปหรือไม่ เมื่อนางเดินไปทางใด สาวใช้ของจวนนี้ก็เร่งฝีเท้าหนี ทำราวกับว่านางเป็นตัวประหลาดเสียอย่างนั้น
อีกอย่างนางเห็นว่าในจวนยังไม่ได้เก็บผ้ามงคลงของงานแต่ง เมื่อวานนางถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว จึงไม่รู้เลยว่าทุกอย่างประดับประดาสวยงามยิ่งนัก นางเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง ผ่านเรือนหลังที่สอง
จ้าวกุ้ยหลินหยุดยืนดูอยู่ครู่หนึ่งเห็นบ่าวรับใช้ที่เป็นผู้ชาย ต่างก็ยกพวกแจกกันหยกเข้าไปข้างในเรือนหลังนั้น เก้าอี้และโต๊ะชุดใหม่ก็เริ่มทยอยขนเข้าไปอีกด้วย ทำให้นางแปลกใจนัก เรือนหลังนี้เป็นของใครกัน และด้านหน้าของเรือนหลังนี้นี้ยังมีสีแดงที่แสดงว่าจะมีงามมงคลเกิดขึ้น
นางก็อยากจะเอ่ยปากถาม ทว่าสาวใช้ที่ติดตามมานั้นดันตัวให้ฮูหยินน้อยเร่งเดินไปข้างหน้าอย่าได้มาใส่ใจเรือนหลังนี้เลย สาวใช้ผู้นี้ทำใจลำบากยิ่งนัก มิรู้จะพูดอย่างไรดี กุ้ยหลินจึงได้เดินกลับเรือนไปทั้งที่อยากรู้
“ฮูหยินน้อยเหงาหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ไม่รู้จะถามอันใด จึงได้ชวนพูดคุยหวังให้ฮูหยินน้อยไม่สงสัยเรือนหลังนั้น เป็นเรือนหอ ที่กำลังตกแต่งรอต้อนรับเจ้าสาวจากตระกูลโม่ แต่งงานทีหลังแต่ดูเหมือนว่าเอาใจเจ้าสาวคนใหม่และกำลังทอดทิ้งเจ้าสาวที่เพิ่งจะแต่งงานเข้ามา
“ข้าคิดถึงท่านพ่อ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร” น้ำเสียงอ่อนลง ความหมองหม่นเข้ามาปกคลุมดวงตาคู่งามของกุ้ยหลิน พลางหย่อนก้นลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่ข้างหน้าต่าง ทอดสายตาเหม่อลอยออกไปข้างนอก ที่นางมองเห็นเพียงกำแพงที่สูง มีแต่ความอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่ภายในใจของสตรีผู้นี้
ภายนอกนางดูร้ายเหลือเกิน ทว่านางก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตนเอง มิให้ตนเองอ่อนแอ และไม่ให้ใครใช้ความอ่อนแอนี้มารังแกนาง เป็นเกราะกำบังที่นางสร้างขึ้นมา แท้จริงแล้ว นางก็ไม่ได้ต่างจากสตรีที่เลี้ยงดูดั่งคุณหนูในห้องหอ
“รออีกวันคุณชายน้อยย่อมจะต้องพาฮูหยินน้อยไปเยี่ยมนายท่านจ้าวแน่นอนเจ้าค่ะ” แม้ว่าจะเป็นคำปลอบใจที่โกหก นางไม่รู้จะเอ่ยปลอบใจอย่างไรดี วันพรุ่งนี้คุณชายน้อยก็ต้องแต่งฮูหยินเข้ามาอีกคน ไม่รู้ว่าจะทำให้ฮูหยินน้อยอาละวาดพัง งานแต่งหรือไม่
“เจ้าคิดว่าเขาจะพาข้าไปรึ วันนี้เป็นวันที่สองหลังจากแต่งงาน ข้ายังไม่เห็นหน้าตาของสามีเสียด้วยซ้ำไป หรือว่าเขาตาบอด หูหนวกกัน” คำพูดประชดประชัน กุ้ยหลินถอนหายใจอีกสองสามครั้ง ก่อนจะหยิบเอาซาลาเปาที่สาวใช้ยื่นมาให้ หลังจากเข้าไปในห้องครัว มันค่อนข้างจะเย็นชืดไปสักนิด
กุ้ยหลินมิได้คิดอันใดมาก ฐานะของนางก็เป็นแค่ฮูหยินที่สามีไม่สนใจเท่านั้น อนาคตมืดมัวโดยแท้ “ข้าถามอีกครั้ง เรือนหลังนั้นเป็นของใครกำลังจัดงานแต่งให้ใครกัน”
“...” สาวใช้ไม่กล้าเปิดปากพูดเกรงว่าฮูหยินน้อยจะเสียใจ
“หึ เขาแต่งฮูหยินเข้ามาอีกคนหรือ บอกข้ามาเถอะ” น้ำเสียงบางเบาราวกับกำลังเสียใจ แววตาดูหมองหม่นและดูเศร้านัก ทำให้สาวใช้อดสงสารไม่ได้จึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า
“เจ้าค่ะเป็นคุณหนูจากตระกูลโม่” สาวใช้นั่งคอตกเอ่ยขึ้นมา สงสารฮูหยินน้อยจับใจ
ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวถึงนั้น โม่ฮวี้เฟยกำลังดูสินสอดของนางที่ฝ่ายเจ้าบ่าวได้จดรายการว่ามีอะไรที่มอบให้นางบ้าง และในวันพรุ่งนี้นางจะแต่งงาน ขบวนสินเดิมของนางจะต้องยิ่งใหญ่และยาวเหยียดเป็นหางว่าวเป็นที่กล่าวขานว่าตระกูลโม่นั่นร่ำรวยยิ่งนัก
“คุณหนู พักเถิดเจ้าคะ พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้า” สาวใช้คนสนิทจีบปากจีบคอพูดกับนายสาวของตนเอง เมื่อเห็นว่าไม่ยอมพักเสียทีจากการตรวจสินสอดเจ้าสาว พวกนางนั้นเหนื่อยและล้าเต็มทีแล้ว
“พี่เหวินปินเล่า มาหรือยัง” นางละมือจากการลงอักษร เอ่ยซักถามกับสาวใช้ขึ้นมา
สาวใช้ส่ายหน้าน้อย ๆ “ยังเจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของสาวใช้ อวี้เฟยถึงกลับโมโหขึ้น นางฟาดกระดาษที่กำลังลงอักษรนั้นลงที่พื้น ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงยืนเท้าเอวคล้ายดั่งแจกันหยกมีหู สีหน้าดูแดงจัดเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เตรียมรถม้า ข้าไปจวนตระกูลกวน” สิ้นเสียงนายสาว สาวใช้ก็วิ่งพล่านไปยังเรือนด้านหน้า นั่นหมายถึงว่า คุณหนูน้อยกำลังจะอาละวาด สาวใช้อีกสองคนก็ยืนดึงแขนยื้อคุณหนูเอาไว้ เกรงว่านางจะก่อเรื่องขึ้นแน่ ๆ และมันไม่งามหากจะไปหาฝ่ายชายก่อนแต่งงาน
“ปล่อยข้านะ กล้าดีอย่างไรเอามือสกปรกโสโครกของพวกเจ้ามาแตะต้องข้า” น้ำเสียงนั้นดังกึกก้อง สาวใช้แต่ละคนรีบปล่อยมือ จากนั้นฝ่ามือของนายสาวก็ยกขึ้นมาฟาดเข้าที่แก้มของพวกนาง จนล้มลง สาวใช้แต่ละคนต่างหนีออกไป ปล่อยเอาไว้เพียงคนคนที่โมโหร้ายให้อยู่ในห้องนี้เพียงคนเดียว
คนที่โม่อวี้เฟยอยากจะพบหน้าใจจะขาด ยามนี้เขาอยู่จวนกำลังจัดการตกแต่งห้องหอ เพื่อรอรับคนรักเข้ามาอยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะมองเห็นภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามาเมื่อวานเห็นแค่ไกล ๆ เท่านั้น เขามิออกไปพบหน้า เกรงว่าจะทำให้ตนเองนั้นควบคุมสติตนเองไม่อยู่ พาลจะดุด่านางเข้าให้
มือหนาหยิบแจกันหยกขึ้นมา มองดูสายตายินดี แจกันหยกนี้หายากยิ่งนักราคาก็ดูแพงจับใจ แต่เพื่อคนรัก ที่นางมักออกปากบ่นว่าอยากมีแจกัน นำเข้ามาจากคนผมสีทองดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั่น เขาก็สู้อุตส่าห์หาคนไปช่วยเจรจาซื้อมาได้ก็ในราคาแพงนักเชียว
เพื่อคนรักอะไรก็ยอม
กุ้ยหลินได้ยินว่าเป็นเจ้าสาวมาจากตระกูลโม่ นางก็ร้อง ‘อ๋อ’ อยู่ในใจ นึกว่าเขาจะแต่งงานกับใคร ที่แท้ก็เป็นสตรีในสังคมชนชั้นสูงและร่ำรวยใช่เล่น นางหาได้ใส่ใจไม่ คิดว่าอยากจะไปดูเรือนหอใหม่เสียหน่อย ว่าประดับประดาสวยงามเพียงใด
มองเห็นในเรือนของตนเอง ก็ดูว่างเปล่านัก มีเตียงนอนกับผ้าห่ม โต๊ะนั่งกินข้าวและยังมีแค่ราวตากผ้า ยังดีที่ว่าในห้องนี้มีที่เอาไว้ให้นางอาบน้ำ นึกว่าจะต้องให้ไปใช้ที่เรือนคนใช้เสียแล้ว นางตัดสินใจลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คิดว่าจะออกไปข้างนอกห้องเสียหน่อย
สองเท้าก้าวออกไปข้างนอก หน้าห้องของนางก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่สามคน ยืนปิดประตูหน้าเรือนไม่ให้นางได้ก้าวเท้าออกไปไหน กุ้ยหลินตวาดเข้าให้เสียงดัง คนพวกนี้คิดจะขังนางเอาไว้ ไม่ให้ออกไปไหนหรืออย่างไร
จะได้เห็นดีกัน
“หากพวกเจ้าไม่ถอยไปเดี๋ยวนี้ จะหาว่าข้า ไม่เตือนนะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั้นได้ส่งออกไปยังชายรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสาม พวกเขาหาได้รู้สึกหวาดกลัวไม่ มีแต่รอยยิ้มเยาะหยันมาให้นางแทน
“ชั้นต่ำนักนะ! เอานี่ไปซัก! วางท่าราวกับเป็นเจ้าของจวน ช่างน่าขัน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” สาวใช้คนหนึ่งหอบตะกร้าสานมา พูดจากระแทกเสียงเข้าให้อีกฝ่าย น้ำเสียงนั้นช่างดูแคลน แววตาถากถางเข้าให้ อีกฝ่าย สาวใช้ผู้นี้โยนตะกร้าเสื้อผ้าของฮูหยินใหญ่ให้ฮูหยินน้อย แต่ทว่ากุ้ยหลินไม่ได้รับมันมา นางเอี้ยวตัวหลบทัน
“อยากให้ข้าซัก ไหนเล่าเงินค่าจ้าง” กุ้ยหลินหรือจะยอมก้มหัวทำงานให้คนอื่น นางแต่งงานมาเป็นฮูหยินน้อย หาใช่สาวใช้ก้นครัวแต่อย่างใด ช่างหยามเกียรติของนางยิ่งนัก คนพวกนี้ดูถูกนางแสนสาหัส สักวันเถิด นางจะตอบแทนให้สาสม
“ค่าจ้างอันใดกัน เจ้ามันก็แค่ฮูหยินน้อยที่นายน้อยไม่ต้องการ รู้หรือไม่ พรุ่งนี้นายน้อยจะแต่งงานกับคุณหนูโม่ ฐานะทางบ้านดูสูงกว่าเจ้ายิ่งนัก เจ้ามันก็เป็นได้แค่...” สาวใช้ยิ้มเยาะ แววตาดูแคลน มองทั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปถึงใบหน้าของจ้าวกุ้ยหลิน
สีหน้าของสาวใช้ผู้นี้บ่งบอกว่านางถือดี ยังทำคอแข็งราวกับนางใหญ่โตคับจวนเสียอย่างนั้น กุ้ยหลินนึกแค้นใจนัก อยากจะชกหน้าสาวใช้ผู้นี้ให้จมูกหักเหลือเกิน แต่ขอทนอีกนิดแล้วกัน หากไม่ไหวนางจะจัดการคนในจวนนี้ทั้งหมด
“เจ้ามันก็แค่...คนชั้นต่ำไม่มีอะไรส่งเสริมให้นายน้อยดูดี มีแต่ถูกคนอื่นดูแคลน เจ้ามันก็ไม่ได้ต่างจากเศษฝุ่นที่เกาะตรงนั้นตรงนี้ ไร้ค่า ไร้ราคา” พูดจบสาวใช้คนดีก็กระหยิ่มอย่างดีใจ เดินหน้าตั้งกลับไปรายงานฮูหยินใหญ่
ส่วนผู้ที่ให้สาวใช้ไปเล่นงานลูกสะใภ้ นางนั่งจิบชาพูดคุยกับเหล่าฮูหยินที่มาดื่มชา พูดคุยเรื่องลูกชายจะแต่งงานกับตระกูลโม่ที่ร่ำรวยไม่ได้ต่างกันกับตระกูลกวนสักนิด
“พรุ่งนี้พวกท่านอย่าลืมมาร่วมงานเล่า” ฮูหยินกวนเอ่ยขึ้น ท่าทางนั้นดีใจนักหนาที่จะได้เกี่ยวดองกับตระกูลโม่
“นี่ฮูหยินกวน ฮูหยินน้อยที่เพิ่งแต่งเข้ามา นางยอมท่านหรือเจ้าคะ” ฮูหยินในวงสนทนาได้เอ่ยขึ้นถามเจ้าบ้านที่สีหน้าของนางดูดีมีความสุขเสียจริง
“นางจะยอมหรือไม่ยอมก็ไม่เห็นจะเป็นอันใด ในเมื่อฐานะของนางก็คนชนชั้นต่ำ บ้านก็ยากจน ดีเท่าไหร่แล้วที่ข้ายอมให้ลูกชายแต่งงาน หากข้าให้ลูกชายถอนหมั้น เกรงว่านางก็คงจะขายไม่ออก อับอายขายหน้า ถูกถอนหมั้นไป”
กวนฮูหยินคิดเช่นนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นและนางยังพูดต่ออีกว่า “ข้ารับนางเข้ามาเป็นสะใภ้ ถือว่าเมตตามากแล้ว ขอทานข้ายังสงสารให้ข้าว ให้อาหาร แต่นางมาเป็นสะใภ้ข้า ข้าก็เวทนาจับใจ นางสิ จะต้องขอบคุณข้าที่รับนางมา หาไม่แล้วนางก็ยังได้เป็นแค่แม่ค้า ก็ไม่ต่างจากขอทานที่รอเศษเงินหรอกกระมัง”
กุ้ยหลินหอบตะกร้าออกมาจากเรือนของตนเอง แววตาเหี้ยม พร้อมกับยกยิ้มราวกับปีศาจ นางคิดจะทำอันใดกับเสื้อผ้ากองโตนี้นะ สาวใช้ที่ติดตามดูแลนางหวาดกลัวไม่น้อย เมื่อเห็นสายตาที่บ่งบอกว่า ฮูหยินน้อยกำลังจะก่อเรื่องขึ้นอีกเป็นแน่
“เมื่อเช้าก็น้ำแกงไก่ใส่รองเท้า แล้วผ้าพวกนี้เล่าเจ้าคะจะทำอะไร” สาวใช้เอ่ยขึ้น พลางเกรงว่าฮูหยินน้อยจะหาเรื่องใส่ตัว หากนายท่านโมโหแล้วละก็ เกรงว่าฮูหยินน้อยผู้ที่น่าสงสารจะถูกลงโทษเอาได้
“ข้าจะทำอะไรเดี๋ยวเจ้าก็รู้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” คนงามหัวเราะร่าอย่างเบิกบานใจ
“ไม่เข็ดใช่หรือไม่ แม่สามีที่ว่าร้าย จะสู้จ้าวกุ้ยหลินได้อย่างไร เดี๋ยวเจ้าคอยดูเถิด พรุ่งนี้สนุกแน่”