เป็นหม้ายแล้วอย่างไร

183.0K · จบแล้ว
ภัคจิรา,แม่ลูกหมี,muli89
61
บท
36.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“เจ้ามันสตรีวิปลาส แต่งงานได้สี่วันกลับยื่นหนังสือหย่าให้ข้า” “ก็เพราะว่าข้ามีสามีแบบนี้อย่างไร จึงได้ขอหย่า หากไม่อยากตายเร็ว รีบลงนามในหนังสือหย่าเสีย!” เกริ่นนำ แม่สามีที่ว่าร้าย ต้องพ่ายแพ้ให้กับลูกสะใภ้อย่างจ้าวกุ้ยหลิน เมื่อลูกสะใภ้สุดแสบ ไม่ชอบฝีปากแม่สามี วัน ๆ เอาแต่เหน็บแนม พ่นคำพูดไม่น่าฟัง เหยียดหยามกำพืดชั้นต่ำของนาง มีหรือจ้าวกุ้ยหลินจะยอม น้ำแกงไก่ นางก็จัดการเชือดเองกับมือ ไก่ตัวนั้นมิใช่ไก่ธรรมดาแต่เป็นเจ้าบ่าวไก่ของนางที่ถูกส่งเข้าพิธีแทนเจ้าบ่าวตัวจริงและนางก็บังเอิญทำรองเท้าตกลงไปในถ้วยน้ำแกง มิหนำซ้ำยังถุยน้ำลายใส่ถ้วยน้ำแกงไก่อีกด้วย จ้าวกุ้ยหลิน นึกไม่ถึงว่าแม่สามีจะชอบ ยกซดน้ำแกงไก่สูตรพิเศษจนหมดถ้วยทีเดียว ใครจะร้ายกาจ เผ็ดร้อนเหมือนนางกันเล่า วาจาช่างยอกย้อน ดูเชือดเฉือนอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละแต่อย่างใด หย่าเป็นหย่า ในเมื่อนางมีมือมีเท้า เหตุใดจะต้องทนอยู่ด้วย เรื่องย่อ จ้าวกุ้ยหลิน แต่งงานวันแรก สามีไม่เข้าหอ วันที่สองเขาไม่มาพบหน้า วันที่สามเขาแต่งภรรยาเข้ามาอีกคน เป็นเช่นนี้แล้วจะให้นางทนได้อย่างไรกัน วันที่สี่นางเดินไปเรือนของเขา ยื่นหนังสือหย่าให้ทันทีทันใด “เจ้ามันสตรีวิปลาส แต่งงานได้สี่วันกลับยื่นหนังสือหย่าให้ข้า” “ก็เพราะว่าข้ามีสามีแบบนี้อย่างไร จึงได้ขอหย่า หากไม่อยากตายเร็ว รีบลงนามในหนังสือหย่าเสีย!” จ้าวกุ้ยหลิน เติบโตมาด้วยคำสอนที่แสนจะประหลาดนัก เพราะท่านแม่ของนางเป็นสตรีข้ามภพมา ดังนั้นจึงสอนสั่งนางว่า บุรุษก็เหมือนของหวาน บางครั้งกินไปแล้วก็ไม่ถูกปาก แต่จะให้ถูกปากจะต้องเป็นคนเลือกเอง แต่ทว่าชีวิตของจ้าวกุ้ยหลินอาภัพยิ่งนัก มารดาจากไปด้วยโรคร้ายทอดทิ้งนางให้อยู่กับบิดาเพียงแค่สองคนเท่านั้น ความคิดของนางจึงแตกต่างจากสตรีทั่วไป มารดาสอนสั่งนางในแนวคิดสมัยใหม่ เช่นนั้นแล้วสตรีเช่นจ้าวกุ้ยหลินจึงไม่คิดจะพึ่งพิงสามีที่ไม่เห็นความรักของนาง นิสัยของจ้าวกุ้ยหลินไม่เหมือนใคร นางฝีปากจัดจ้านนัก เอาเรื่องเป็นไหน ๆ ทั้งเตะทั้งต่อยได้หมด เพราะท่านแม่ของนางเป็นคนสอนเองกับมือ นางจึงมีความคิดที่จะประหลาดพิกล “อยู่ไปไม่มีความสุข ก็แค่หย่าเท่านั้นก็จบ ในเมื่อมีผัวไม่เอาไหนเห็นแก่ตัวแบบนี้ อยู่ไปก็โง่นะสิ ข้าจะเป็นหม้ายสาวพราวเสน่ห์ มีผัวแบบเจ้า สู้ดีข้าไปหาผัวใหม่ดีกว่า คอยดูเถิด ข้าจะมีผัวให้ดีกว่าคนชั่วช้าอย่างเจ้า” แคว้นโจว เปิดเสรีการค้าขายกับต่างชาติ ดังนั้นขนบธรรมเนียมจึงมิได้เคร่งครัด สตรีแต่งงานรับสามีเข้าจวนมิใช่เรื่องแปลกประหลาด สตรีแต่งงานมีสามีได้มากกว่าหนึ่งมิใช่สตรีมากราคะ บุรุษแต่งงานมีภรรยาได้หลายคน ดังนั้นสตรีเองก็ไม่แตกต่างกัน นั่นคือความเสมอภาค เท่าเทียมกัน และอีกอย่าง สตรีที่แต่งงานแล้วจะใช้แซ่ของตนเองหรือเปลี่ยนมาใช้แซ่ของสามีย่อมได้มิได้บีบบังคับ ส่วนใหญ่สตรีที่แต่งงานก็พร้อมใจเปลี่ยนใช้แซ่ของสามี หากเพียงแค่บุตรที่คลอดออกมาจากสตรีที่แต่งงานแล้ว มีกฎมณเฑียรบาลของแคว้นตั้งเอาไว้ว่าจะต้องใช้แซ่ของสามีเท่านั้น

นิยายรักโรแมนติกนิยายจีนโบราณแม่ทัพท่านอ๋องนอกใจนางเอกเก่งดราม่าแก้แค้นจีนโบราณกลอุบายในวัง

ตอนทื่ 1 แต่งงาน

จ้าวกุ้ยหลิน นางเติบโตขึ้นมาเป็นสาวสะพรั่ง งดงามไม่น้อยใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ รูปร่างบอบบางอรชรนัก ทว่านางมีคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุผลที่ว่าตระกูลจ้าวเคยตกปากรับคำ กับตระกูลกวนเอาไว้ เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตขึ้นมาจะให้แต่งงานกัน

กวนเหวินปิน ชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายขุนนางผู้หนึ่ง เขานิสัยเป็นอย่างไร จ้าวกุ้ยหลินไม่เคยรู้เลย เพราะวัน ๆ

กุ้ยหลินเอาแต่ลงมือทำสวนปลูกผัก ตามที่ท่านแม่เคยสอนเอาไว้ เมื่อท่านแม่จากไปก็หลงเหลือเพียงแค่นางกับท่านพ่อ

ครอบครัวของนางเป็นญาติห่าง ๆ และก็คงจะห่างมาก ๆ ของรองแม่ทัพจ้าวเกาเหวิน กระนั้นเมื่อได้ยินข่าวว่ารองแม่ทัพจ้าวแต่งงานกับกงจู่แคว้นฉู่ นางฉีกยิ้มอย่างยินดี แม้จะไม่เคยพบหน้าหรือจะเจอกันมาก่อน เช่นนั้นสายเลือดตระกูลจ้าวเช่นนางย่อมยินดี กับรองแม่ทัพจ้าว

มารดาของจ้าวกุ้ยหลินเป็นสตรีข้ามภพมายังยุคที่แตกต่าง นางสอนสั่งลูกสาวตั้งแต่เริ่มจำความได้ สอนสั่งอักษรที่แปลกตา นั่นเพราะว่าแคว้นโจวมีชาวต่างชาติ ตัวสูงใหญ่คล้ายกับยักษ์ อีกทั้งยังมีตาสีฟ้า ผมสีทองอีกด้วย

กลุ่มนี้จะอยู่ในแดนใต้เท่านั้น มิได้เข้ามาทำการค้าในเมืองหลวง จ้าวกุ้ยหลินตั้งแต่เด็กก็นึกแปลกใจ ที่มารดาของนางเหตุใดจึงพูดภาษาประหลาดได้ จึงได้รับคำตอบคือ ท่านแม่ของนางข้ามภพมาและช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

กุ้ยหลินไม่อยากจะเชื่อคำกล่าวอ้างของท่านแม่ แต่ถึงอย่างนั้นนางเกรงว่าท่านแม่จะโป้ปดแต่ว่ากาลเวลาพิสูจน์แล้ว ท่านพ่อยังออกปากชมว่าท่านแม่นั้นเก่งนักช่วยดูแลครอบครัวให้อยู่ดีกินดี มีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือ ครอบของกุ้ยหลินเป็นครอบครัวเล็ก ๆ

ทำกิจการก็มีเพียงแค่เปิดร้านขายน้ำเต้าหู้ และขายโจ๊กที่ไม่เหมือนใครก็แค่นั้นเอง ก่อนที่นางจะถึงวัยปักปิ่น

ท่านแม่ที่เป็นที่พึ่ง ที่พักพิงก็จากไปด้วยโรคร้าย ทอดทิ้งนางให้อยู่กับบิดาเพียงแค่สองคนเท่านั้น สร้างความโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก แต่ชีวิตของนางกับท่านพ่อก็ต้องก้าวไปข้างหน้า

ท่านแม่บอกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมของมนุษย์ ตอนนั้นนางไม่เคยเข้าใจเลยก็ว่าได้ แต่พอได้โตขึ้นมา ได้เรียนรู้คำสั่งสอนที่ท่านแม่เฝ้าอบรมนางในเรื่องที่มารดาผู้อื่นมิได้สอนสั่ง นั่นก็คือการปกป้องตนเองยามมีภัย

หมัดมวย แตะต่อยท่านแม่ก็สอนนางเอง อาหารที่หน้าตาประหลาด เมื่อไปซื้อของกับชาวผมสีทองตัวสูงใหญ่ นางก็พอจะพูดได้ถึงไม่เก่งนักก็ตามทีเถอะ อีกอย่างนางเป็นลูกพ่อค้าขายโจ๊กกับน้ำเต้าหู้ ดังนั้นก็รู้จักผู้คนมากมายเช่นเดียวกัน

ยามนี้กุ้ยหลินจะต้องแต่งงาน สินเดิมเจ้าสาวช่างดูน่าอนาถใจยิ่งนัก สมบัติของนางมีไม่มาก มีเพียงแค่หีบเล็ก ๆ หนึ่งใบช่างดูน่าเห็นอกเห็นใจเสียจริง ฝ่ายเจ้าบ่าวก็ดูแคลนหนักหนา เห็นว่าหากไม่ใช่คำมั่นสัญญาที่พูดคุยกันไว้ จะไม่แต่งงานกับนางเด็ดขาด

กุ้ยหลินนึกคับแค้นใจยิ่งนัก

ทว่าบิดาบอกกล่าวให้นางแต่งงาน อนาคตจะได้สบายไม่ต้องมาลำบากค้าขาย ยามฝนตกฟ้าร้อง หรือทำงานตากแดดร้อน ๆ จนผิวขาว ๆ ของนางกลายเป็นผิวคล้ำเพราะถูกแสงของแดดทำลายผิวสวย ๆ ของนางเสียจนคล้ำไปหมด

นางไม่อาจจะขัดคำสั่งของบิดาได้ ทำได้ก็เพียงแค่ทำใจแต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งงาน ฝ่ายเจ้าบ่าวส่งเกี้ยวมารับ ขบวนที่คึกคักอึกทึกครึกโครมก็หาได้มีไม่ มีแต่เกี้ยวเจ้าสาวที่ว่างเปล่าวังเวงจับใจ สาวใช้ของนางก็ไม่มีสักคน นั่นเพราะฐานะของนางมิได้ร่ำรวย พอมีกินมีใช้ไม่ขาดมือ

งานบ้านทั่ว ๆ ไปนางก็ทำเองทุกอย่าง จึงไม่คิดจะจ้างคนงามมาช่วยดูแลสักนิด เพราะนางไม่อยากจะสิ้นเปลืองเงินทองที่กว่าจะหามาได้นั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

ยืนปาดเหงื่อเรียกลูกค้าเข้าร้านของนางจนคอแหบแห้ง

เกี้ยวเจ้าสาวสีแดง มีคนหามแค่สี่คนเท่านั้น สีหน้าของแต่ละคน กุ้ยหลินไม่รู้เลยว่าแต่ละคนมีสีหน้าบึ้งตึงหรือยิ้มแย้ม นางถูกจับจูงออกจากบ้านหลังไม่ได้ใหญ่นัก ด้วยแม่สื่อของแดนใต้ ที่นางฝืนใจมาทำหน้าที่ให้ในเช้าของวันนี้ บิดาสอนสั่งลูกสาวคนเดียวเสียหลายคำด้วยความเป็นห่วง เพราะลูกสาวแต่งออกไปย่อมเหมือนน้ำที่ถูกสาดออก กว่าจะพูดบอกสอนสั่งจบ ก็ทำให้แม่สื่อนั้นพูดกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจให้บิดาของเจ้าสาวในวันนี้

“เจ้าสาวขึ้นเกี้ยวได้แล้ว” แม่สื่อพูดเรียบ ๆ น้ำเสียงไม่ได้ยินดียินร้ายแต่อย่างใด เจ้าสาวสวมชุดแดงที่บิดานั้นหาเงินมาตัดชุดหวังให้ลูกสาวไม่อับอายขายหน้าผู้ใด ผ้าคลุมหน้าสีแดงช่างดูสดใสผิดกับใบหน้าที่อยู่หลังผ้าคลุมหน้านั้นคิ้วขมวดมุ่นและถอนหายใจไปหลายเฮือกแล้ว

นางกำลังครุ่นคิดว่า สามีของนางจะเป็นคนเช่นไร เขาจะเป็นคนดีหรือไม่ หรือว่าเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวมักมาก หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ชีวิตหลังแต่งงานก็คงจะหมองหม่นเป็นแน่

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เกี้ยวเจ้าสาวสี่คนหามก็เดินทางมาถึงจวนตระกูลกวนแล้ว เจ้าสาวนั้นดูเก้ ๆ กัง ๆ เพราะเจ้าบ่าวไม่ได้มาต้อนรับนางด้วยตนเอง เพียงให้แค่พ่อบ้านมาดูแล จัดการให้นางทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับไก่ตัวผู้

เป็นที่น่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก คอยดูเถิดนางจะเชือดเจ้าไก่ตันนี้ทำน้ำแกงกินเสีย กุ้ยหลินเดือดขึ้นปุด ๆ มาดหมายว่า อย่าให้เจอนะ นางจะเตะก้านคอสามีให้สักทีสองที โทษฐานเหยียดหยามนาง

กล้ามากวันแรกนางก็ถูกอีกฝ่ายดูแคลนขนาดนี้แล้ว

แม่สามีก็ทำหน้าราวกับคนเบื่อหน่าย ยิ่งพ่อสามียิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาไม่ได้อวยพรอันใด เพียงแค่บอกว่า “รีบพานางไปให้พ้นหน้าข้า ไปที่เรือนหลังเล็กเล่า” น้ำเสียงของกวนฮูหยิน หรือแม่สามีของนางพูดกับสาวใช้ในจวน ให้เร่งพาลูกสะใภ้ไปให้พ้นหน้าของนางเสียที

กุ้ยหลินกำหมัดแน่น นางไม่อยากจะอาละวาดในวันแต่งงาน น้ำตาหรือหาได้มีสักหยด มีแต่ความคับแค้นใจที่คนพวกนี้ดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของนาง หากไม่พอใจเหตุใดไม่ถอนหมั้นไปเลย จะแต่งงานกันเพื่ออะไร

“ฮูหยินน้อยค่อย ๆ เดินนะเจ้าคะ” สาวใช้ของตระกูลกวนทำหน้าที่พาเจ้าสาวมายังห้องหอ ระหว่างทาง สาวใช้คนนี้ดูแลนางเป็นอย่างดี ประคองนางให้เดินไม่สะดุดเตะก้อนหินสักก้อน ช่างเป็นสาวใช้ที่น้ำใจงามยิ่งนัก

“...” เจ้าสาวไม่พูดอันใด นางเก็บปากเงียบ ราวกับคนเป็นใบ้ แม้ว่าจะเจ็บใจอยากจะเปิดผ้าคลุมหน้าเดินออกจากจวนนี้ก็ตามที แต่นางต้องทำท่าทางนิ่งสงบเพราะหากนางทำเช่นนั้น เกรงว่าท่านพ่อจะเสียใจ ที่นางมิเชื่อคำสั่งสอนของท่านพ่อ

“ฮูหยินน้อย รอนายน้อยสักครู่นะเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนี้พูดจารื่นหู ไม่มีน้ำเสียงไม่พอใจแม้แต่น้อยนิด ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว กุ้ยหลินนึกชื่นชมยิ่งนักผิดจากแม่สามี และ พ่อสามีที่ทำตัวห่างเหิน ราวกับว่านางเป็นคนอื่น

เจ้าบ่าวที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง เพราะไม่อยากจะเข้าหอกับสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า อีกอย่างเพียงแค่ลูกว่าเป็นแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้กับโจ๊กเขาก็นึกชิงชังนัก นางจะต้องเนื้อตัวมอมแมมเหม็นกลิ่นสาบเป็นแน่ แล้วเช่นนี้จะให้เขาร่วมหอกับนางได้อย่างไรกัน

เพียงแค่เขานึกก็รู้สึกขยะแขยงสตรีผู้นี้นัก นางคงจะดีใจกระมังที่ได้แต่งงานเป็นฮูหยินน้อยของครอบครัวขุนนางที่ร่ำรวยในแดนใต้ แต่คงจะฝันไปกระมังเขามิยอมให้นางนั่ง ๆ นอน ๆ กินเงินน้ำพักน้ำแรงของครอบครัวเขาเด็ดขาด

อีกทั้งฐานะทางสังคมชนชั้นสูงนางก็ได้หามีไม่ คงจะรู้จักแต่ชนชั้นล่างติดดินทำให้เจ้าบ่าวคนนี้ไม่พอใจยิ่งนัก ทั้งเหยียดหยามดูแคลนสารพัดอยู่ในใจของเขา

“ท่านแม่ เพราะท่านรับปากกับตาแก่จ้าวเอาไว้ เห็นหรือไม่ข้าจะต้องมาทนร่วมหอกับสตรีชั้นต่ำเช่นนั้น” ใครจะไปเข้าหอกันคนชั้นต่ำแบบนั้นได้กัน เขาไม่มีทางก้าวขาไปเหยียบเด็ดขาด ไม่รู้ว่าตัวนางเหม็นกลิ่นสาบหรือไม่

“ลูกแม่แต่งงานกับนางไปก่อน หากไม่ถูกใจแม่จะหาให้เจ้าอีกสักคนดีหรือไม่” กวนฮูหยินกล่าวกับลูกชายที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมเข้าห้องหอเป็นแน่ เขาสวมชุดแดงของงานมงคล ทว่าภายในงานนั้นมิได้เชื้อเชิญใครมาร่วมงานให้มากมาย

เพราะมันเปลืองเงินที่แต่งลูกสะใภ้จน ๆ เข้ามาก็แค่นั้น

“ท่านแม่ งั้นข้าจะแต่งงานเฟยเอ๋อร์ ท่านก็รู้ว่าข้ารักนาง ท่านแม่ ข้าทำตามคำสั่งของท่านแล้วนะ” เขาทวงสัญญาที่มารดารับปากเอาไว้ หากเขายินดีรับปากแต่งงานเมื่อไหร่ อีกสองวันมารดาจะส่งเกี้ยวไปรับคนรักของเขามาอยู่ที่จวนนี้ด้วยกัน ในฐานะฮูหยินของเขา

“แม่จำได้ อีกสองวันแม่ส่งคนไปรับนาง แต่ว่าเจ้าพูดคุยกับนางแล้วรึ แล้วจะมีชุดเจ้าสาวทันได้อย่างไร”

กวนฮูหยิน ยังสงสัย ระยะเวลากระชั้นชิดเช่นนี้จะแต่งงานรวดเร็วจะทันหรือ อีกอย่างนางจะต้องเตรียมของอีกมากมาย จะเอาเวลาไหนกัน เพียงแค่คิดก็รู้สึกปวดหัวไปหมด

“ท่านแม่ ข้านะเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว เฟยเอ๋อร์ของข้าจะต้องสวยที่สุด อีกอย่าง สินสอดจะต้องจัดให้มากเล่าอย่าให้ขายหน้าตระกูลโม่เด็ดขาด ทางนั้นรับปากข้าแล้ว ขอเพียงแค่วันนี้ข้าไปยืนยัน ไม่มีอะไรที่จะเร็วไป กลับช้าไปเสียด้วยซ้ำ”

กวนเหวินปินตระเตรียมเอาไว้อย่างรอบคอบ หากท่านแม่ของเขาไม่ยอมรับ เขาก็จะยืนกรานว่าจะแต่งนางเข้ามาให้ได้ ทุกอย่างเขาเตรียมเอาไว้หมดแล้ว รอแค่รับเจ้าสาวเข้ามาเท่านั้นเอง รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามแห่งแดนใต้

เจ้าบ่าวผู้นี้เมื่อเอ่ยกล่าวกับมารดาเรียบร้อย เขามิได้เข้าไปห้องหอแต่อย่างใด กลับกันเขาเร่งฝีเท้าออกจากจวนและกระโดดขึ้นมาตัวโปรดมุ่งหน้าไปยังจวนของคนรัก หมายมั่นว่าเขาทำตามที่ได้เอ่ยให้สัจจะเอาไว้

วันนี้เขาจะต้องไปยืนยันกับนาง

ส่วนเจ้าสาว นั่งรอจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว กำปั้นน้อย ๆ ยกขึ้นมาทุบที่ไหล่ของตนเองให้หายจากอาการปวดล้าของกล้ามเนื้อ คนตัวเล็กยามนี้หิวก็หิว ตื่นก็ตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง อาบน้ำแต่งตัวเพื่อแต่งงาน และนี่อะไรกันล่วงเลยมานานแล้ว และไม่เห็นมีทีท่าว่า เจ้าบ่าวจะเข้ามายังห้องหอสักนิด

“ฮูหยินน้อยหิวหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงดูจะเป็นห่วงยิ่งนัก “หากท่านหิวพยักหน้าก็พอเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนที่นางถามนั้นไม่ยอมพูดอะไรกับนางสักครึ่งคำ

“ข้าถามจริง ๆ เขาจะมาหรือไม่” ในที่สุดกุ้ยหลินตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นมา ด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจนักในยามนี้ อยากจะถอดชุดบ้า ๆ นี่ออกเสียที อาบน้ำนอนหลับพักผ่อนเสียหน่อย ต้องมานั่งเป็นหมาหงอยรอเจ้าของเช่นนี้ ช่างน่าขันนัก

“ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่นายน้อยอย่างไรก็ต้องมาเข้าหอกับฮูหยินน้อยอยู่แล้ว” สาวใช้ผู้มองทุกอย่างในแง่มุมที่ดี เอ่ยขึ้นมาหวังให้กำลังใจเจ้าสาวที่นั่งมาตั้งนานแล้ว ดูเหมือนจะปวดเมื่อยไม่เบา เมื่อเห็นว่าเจ้าสาวเริ่มนั่งไม่นิ่ง ขยุกขยิกไปมา ยกมือขึ้นทุบที่ไหล่เบา ๆ ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก

ผู้ที่ถูกถามถึง ยามนี้เขาเร่งควบม้ามาทั้งชุดเจ้าบ่าว เมื่อถึงจวนตระกูลโม่ เขารีบร้อนวิ่งหน้าตั้งเข้าไปพบว่าที่ภรรยาด้วยความดีใจ ใบหน้าของเขานั้นประดับรอยยิ้มอย่างมีความสุข สาวใช้ในจวนนี้ต่างมิได้ขัดขวาง กลับเร่งพาชายหนุ่มสวมชุดแดง เข้าไปพบคุณหนูน้อย

“เฟยเอ๋อร์” น้ำเสียงอ่อนนุ่มส่งไปยังสตรีนางหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว นางกำลังเสียใจเมื่อชายคนรักนั้นแต่งงานกับสตรีอีกนาง นางกลัวว่าเขาจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้

“ในที่สุดท่านก็มาหาข้า ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับนาง เหตุใดกันจึงแต่งงกับสตรีนางนั้นด้วย ท่านเห็นข้าเป็นตัวอะไร”

“เฟยเอ๋อร์ ฟังข้าก่อน อีกสองวันข้าจะมารับเจ้าไปเป็นเจ้าสาว ระหว่างนี้ดูแลตัวเองให้ดี ข้าสัญญาว่าจะไม่เข้าหอกับนาง จะไม่พบหน้านาง จะไม่ไปเหยียบที่เรือนนอนของนาง ข้าสัญญา”