บท
ตั้งค่า

ตอนทื่ 1 แต่งงาน

จ้าวกุ้ยหลิน นางเติบโตขึ้นมาเป็นสาวสะพรั่ง งดงามไม่น้อยใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ รูปร่างบอบบางอรชรนัก ทว่านางมีคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุผลที่ว่าตระกูลจ้าวเคยตกปากรับคำ กับตระกูลกวนเอาไว้ เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตขึ้นมาจะให้แต่งงานกัน

กวนเหวินปิน ชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายขุนนางผู้หนึ่ง เขานิสัยเป็นอย่างไร จ้าวกุ้ยหลินไม่เคยรู้เลย เพราะวัน ๆ

กุ้ยหลินเอาแต่ลงมือทำสวนปลูกผัก ตามที่ท่านแม่เคยสอนเอาไว้ เมื่อท่านแม่จากไปก็หลงเหลือเพียงแค่นางกับท่านพ่อ

ครอบครัวของนางเป็นญาติห่าง ๆ และก็คงจะห่างมาก ๆ ของรองแม่ทัพจ้าวเกาเหวิน กระนั้นเมื่อได้ยินข่าวว่ารองแม่ทัพจ้าวแต่งงานกับกงจู่แคว้นฉู่ นางฉีกยิ้มอย่างยินดี แม้จะไม่เคยพบหน้าหรือจะเจอกันมาก่อน เช่นนั้นสายเลือดตระกูลจ้าวเช่นนางย่อมยินดี กับรองแม่ทัพจ้าว

มารดาของจ้าวกุ้ยหลินเป็นสตรีข้ามภพมายังยุคที่แตกต่าง นางสอนสั่งลูกสาวตั้งแต่เริ่มจำความได้ สอนสั่งอักษรที่แปลกตา นั่นเพราะว่าแคว้นโจวมีชาวต่างชาติ ตัวสูงใหญ่คล้ายกับยักษ์ อีกทั้งยังมีตาสีฟ้า ผมสีทองอีกด้วย

กลุ่มนี้จะอยู่ในแดนใต้เท่านั้น มิได้เข้ามาทำการค้าในเมืองหลวง จ้าวกุ้ยหลินตั้งแต่เด็กก็นึกแปลกใจ ที่มารดาของนางเหตุใดจึงพูดภาษาประหลาดได้ จึงได้รับคำตอบคือ ท่านแม่ของนางข้ามภพมาและช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

กุ้ยหลินไม่อยากจะเชื่อคำกล่าวอ้างของท่านแม่ แต่ถึงอย่างนั้นนางเกรงว่าท่านแม่จะโป้ปดแต่ว่ากาลเวลาพิสูจน์แล้ว ท่านพ่อยังออกปากชมว่าท่านแม่นั้นเก่งนักช่วยดูแลครอบครัวให้อยู่ดีกินดี มีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือ ครอบของกุ้ยหลินเป็นครอบครัวเล็ก ๆ

ทำกิจการก็มีเพียงแค่เปิดร้านขายน้ำเต้าหู้ และขายโจ๊กที่ไม่เหมือนใครก็แค่นั้นเอง ก่อนที่นางจะถึงวัยปักปิ่น

ท่านแม่ที่เป็นที่พึ่ง ที่พักพิงก็จากไปด้วยโรคร้าย ทอดทิ้งนางให้อยู่กับบิดาเพียงแค่สองคนเท่านั้น สร้างความโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก แต่ชีวิตของนางกับท่านพ่อก็ต้องก้าวไปข้างหน้า

ท่านแม่บอกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมของมนุษย์ ตอนนั้นนางไม่เคยเข้าใจเลยก็ว่าได้ แต่พอได้โตขึ้นมา ได้เรียนรู้คำสั่งสอนที่ท่านแม่เฝ้าอบรมนางในเรื่องที่มารดาผู้อื่นมิได้สอนสั่ง นั่นก็คือการปกป้องตนเองยามมีภัย

หมัดมวย แตะต่อยท่านแม่ก็สอนนางเอง อาหารที่หน้าตาประหลาด เมื่อไปซื้อของกับชาวผมสีทองตัวสูงใหญ่ นางก็พอจะพูดได้ถึงไม่เก่งนักก็ตามทีเถอะ อีกอย่างนางเป็นลูกพ่อค้าขายโจ๊กกับน้ำเต้าหู้ ดังนั้นก็รู้จักผู้คนมากมายเช่นเดียวกัน

ยามนี้กุ้ยหลินจะต้องแต่งงาน สินเดิมเจ้าสาวช่างดูน่าอนาถใจยิ่งนัก สมบัติของนางมีไม่มาก มีเพียงแค่หีบเล็ก ๆ หนึ่งใบช่างดูน่าเห็นอกเห็นใจเสียจริง ฝ่ายเจ้าบ่าวก็ดูแคลนหนักหนา เห็นว่าหากไม่ใช่คำมั่นสัญญาที่พูดคุยกันไว้ จะไม่แต่งงานกับนางเด็ดขาด

กุ้ยหลินนึกคับแค้นใจยิ่งนัก

ทว่าบิดาบอกกล่าวให้นางแต่งงาน อนาคตจะได้สบายไม่ต้องมาลำบากค้าขาย ยามฝนตกฟ้าร้อง หรือทำงานตากแดดร้อน ๆ จนผิวขาว ๆ ของนางกลายเป็นผิวคล้ำเพราะถูกแสงของแดดทำลายผิวสวย ๆ ของนางเสียจนคล้ำไปหมด

นางไม่อาจจะขัดคำสั่งของบิดาได้ ทำได้ก็เพียงแค่ทำใจแต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งงาน ฝ่ายเจ้าบ่าวส่งเกี้ยวมารับ ขบวนที่คึกคักอึกทึกครึกโครมก็หาได้มีไม่ มีแต่เกี้ยวเจ้าสาวที่ว่างเปล่าวังเวงจับใจ สาวใช้ของนางก็ไม่มีสักคน นั่นเพราะฐานะของนางมิได้ร่ำรวย พอมีกินมีใช้ไม่ขาดมือ

งานบ้านทั่ว ๆ ไปนางก็ทำเองทุกอย่าง จึงไม่คิดจะจ้างคนงามมาช่วยดูแลสักนิด เพราะนางไม่อยากจะสิ้นเปลืองเงินทองที่กว่าจะหามาได้นั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

ยืนปาดเหงื่อเรียกลูกค้าเข้าร้านของนางจนคอแหบแห้ง

เกี้ยวเจ้าสาวสีแดง มีคนหามแค่สี่คนเท่านั้น สีหน้าของแต่ละคน กุ้ยหลินไม่รู้เลยว่าแต่ละคนมีสีหน้าบึ้งตึงหรือยิ้มแย้ม นางถูกจับจูงออกจากบ้านหลังไม่ได้ใหญ่นัก ด้วยแม่สื่อของแดนใต้ ที่นางฝืนใจมาทำหน้าที่ให้ในเช้าของวันนี้ บิดาสอนสั่งลูกสาวคนเดียวเสียหลายคำด้วยความเป็นห่วง เพราะลูกสาวแต่งออกไปย่อมเหมือนน้ำที่ถูกสาดออก กว่าจะพูดบอกสอนสั่งจบ ก็ทำให้แม่สื่อนั้นพูดกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจให้บิดาของเจ้าสาวในวันนี้

“เจ้าสาวขึ้นเกี้ยวได้แล้ว” แม่สื่อพูดเรียบ ๆ น้ำเสียงไม่ได้ยินดียินร้ายแต่อย่างใด เจ้าสาวสวมชุดแดงที่บิดานั้นหาเงินมาตัดชุดหวังให้ลูกสาวไม่อับอายขายหน้าผู้ใด ผ้าคลุมหน้าสีแดงช่างดูสดใสผิดกับใบหน้าที่อยู่หลังผ้าคลุมหน้านั้นคิ้วขมวดมุ่นและถอนหายใจไปหลายเฮือกแล้ว

นางกำลังครุ่นคิดว่า สามีของนางจะเป็นคนเช่นไร เขาจะเป็นคนดีหรือไม่ หรือว่าเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวมักมาก หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ชีวิตหลังแต่งงานก็คงจะหมองหม่นเป็นแน่

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เกี้ยวเจ้าสาวสี่คนหามก็เดินทางมาถึงจวนตระกูลกวนแล้ว เจ้าสาวนั้นดูเก้ ๆ กัง ๆ เพราะเจ้าบ่าวไม่ได้มาต้อนรับนางด้วยตนเอง เพียงให้แค่พ่อบ้านมาดูแล จัดการให้นางทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับไก่ตัวผู้

เป็นที่น่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก คอยดูเถิดนางจะเชือดเจ้าไก่ตันนี้ทำน้ำแกงกินเสีย กุ้ยหลินเดือดขึ้นปุด ๆ มาดหมายว่า อย่าให้เจอนะ นางจะเตะก้านคอสามีให้สักทีสองที โทษฐานเหยียดหยามนาง

กล้ามากวันแรกนางก็ถูกอีกฝ่ายดูแคลนขนาดนี้แล้ว

แม่สามีก็ทำหน้าราวกับคนเบื่อหน่าย ยิ่งพ่อสามียิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาไม่ได้อวยพรอันใด เพียงแค่บอกว่า “รีบพานางไปให้พ้นหน้าข้า ไปที่เรือนหลังเล็กเล่า” น้ำเสียงของกวนฮูหยิน หรือแม่สามีของนางพูดกับสาวใช้ในจวน ให้เร่งพาลูกสะใภ้ไปให้พ้นหน้าของนางเสียที

กุ้ยหลินกำหมัดแน่น นางไม่อยากจะอาละวาดในวันแต่งงาน น้ำตาหรือหาได้มีสักหยด มีแต่ความคับแค้นใจที่คนพวกนี้ดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของนาง หากไม่พอใจเหตุใดไม่ถอนหมั้นไปเลย จะแต่งงานกันเพื่ออะไร

“ฮูหยินน้อยค่อย ๆ เดินนะเจ้าคะ” สาวใช้ของตระกูลกวนทำหน้าที่พาเจ้าสาวมายังห้องหอ ระหว่างทาง สาวใช้คนนี้ดูแลนางเป็นอย่างดี ประคองนางให้เดินไม่สะดุดเตะก้อนหินสักก้อน ช่างเป็นสาวใช้ที่น้ำใจงามยิ่งนัก

“...” เจ้าสาวไม่พูดอันใด นางเก็บปากเงียบ ราวกับคนเป็นใบ้ แม้ว่าจะเจ็บใจอยากจะเปิดผ้าคลุมหน้าเดินออกจากจวนนี้ก็ตามที แต่นางต้องทำท่าทางนิ่งสงบเพราะหากนางทำเช่นนั้น เกรงว่าท่านพ่อจะเสียใจ ที่นางมิเชื่อคำสั่งสอนของท่านพ่อ

“ฮูหยินน้อย รอนายน้อยสักครู่นะเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนี้พูดจารื่นหู ไม่มีน้ำเสียงไม่พอใจแม้แต่น้อยนิด ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว กุ้ยหลินนึกชื่นชมยิ่งนักผิดจากแม่สามี และ พ่อสามีที่ทำตัวห่างเหิน ราวกับว่านางเป็นคนอื่น

เจ้าบ่าวที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง เพราะไม่อยากจะเข้าหอกับสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า อีกอย่างเพียงแค่ลูกว่าเป็นแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้กับโจ๊กเขาก็นึกชิงชังนัก นางจะต้องเนื้อตัวมอมแมมเหม็นกลิ่นสาบเป็นแน่ แล้วเช่นนี้จะให้เขาร่วมหอกับนางได้อย่างไรกัน

เพียงแค่เขานึกก็รู้สึกขยะแขยงสตรีผู้นี้นัก นางคงจะดีใจกระมังที่ได้แต่งงานเป็นฮูหยินน้อยของครอบครัวขุนนางที่ร่ำรวยในแดนใต้ แต่คงจะฝันไปกระมังเขามิยอมให้นางนั่ง ๆ นอน ๆ กินเงินน้ำพักน้ำแรงของครอบครัวเขาเด็ดขาด

อีกทั้งฐานะทางสังคมชนชั้นสูงนางก็ได้หามีไม่ คงจะรู้จักแต่ชนชั้นล่างติดดินทำให้เจ้าบ่าวคนนี้ไม่พอใจยิ่งนัก ทั้งเหยียดหยามดูแคลนสารพัดอยู่ในใจของเขา

“ท่านแม่ เพราะท่านรับปากกับตาแก่จ้าวเอาไว้ เห็นหรือไม่ข้าจะต้องมาทนร่วมหอกับสตรีชั้นต่ำเช่นนั้น” ใครจะไปเข้าหอกันคนชั้นต่ำแบบนั้นได้กัน เขาไม่มีทางก้าวขาไปเหยียบเด็ดขาด ไม่รู้ว่าตัวนางเหม็นกลิ่นสาบหรือไม่

“ลูกแม่แต่งงานกับนางไปก่อน หากไม่ถูกใจแม่จะหาให้เจ้าอีกสักคนดีหรือไม่” กวนฮูหยินกล่าวกับลูกชายที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมเข้าห้องหอเป็นแน่ เขาสวมชุดแดงของงานมงคล ทว่าภายในงานนั้นมิได้เชื้อเชิญใครมาร่วมงานให้มากมาย

เพราะมันเปลืองเงินที่แต่งลูกสะใภ้จน ๆ เข้ามาก็แค่นั้น

“ท่านแม่ งั้นข้าจะแต่งงานเฟยเอ๋อร์ ท่านก็รู้ว่าข้ารักนาง ท่านแม่ ข้าทำตามคำสั่งของท่านแล้วนะ” เขาทวงสัญญาที่มารดารับปากเอาไว้ หากเขายินดีรับปากแต่งงานเมื่อไหร่ อีกสองวันมารดาจะส่งเกี้ยวไปรับคนรักของเขามาอยู่ที่จวนนี้ด้วยกัน ในฐานะฮูหยินของเขา

“แม่จำได้ อีกสองวันแม่ส่งคนไปรับนาง แต่ว่าเจ้าพูดคุยกับนางแล้วรึ แล้วจะมีชุดเจ้าสาวทันได้อย่างไร”

กวนฮูหยิน ยังสงสัย ระยะเวลากระชั้นชิดเช่นนี้จะแต่งงานรวดเร็วจะทันหรือ อีกอย่างนางจะต้องเตรียมของอีกมากมาย จะเอาเวลาไหนกัน เพียงแค่คิดก็รู้สึกปวดหัวไปหมด

“ท่านแม่ ข้านะเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว เฟยเอ๋อร์ของข้าจะต้องสวยที่สุด อีกอย่าง สินสอดจะต้องจัดให้มากเล่าอย่าให้ขายหน้าตระกูลโม่เด็ดขาด ทางนั้นรับปากข้าแล้ว ขอเพียงแค่วันนี้ข้าไปยืนยัน ไม่มีอะไรที่จะเร็วไป กลับช้าไปเสียด้วยซ้ำ”

กวนเหวินปินตระเตรียมเอาไว้อย่างรอบคอบ หากท่านแม่ของเขาไม่ยอมรับ เขาก็จะยืนกรานว่าจะแต่งนางเข้ามาให้ได้ ทุกอย่างเขาเตรียมเอาไว้หมดแล้ว รอแค่รับเจ้าสาวเข้ามาเท่านั้นเอง รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามแห่งแดนใต้

เจ้าบ่าวผู้นี้เมื่อเอ่ยกล่าวกับมารดาเรียบร้อย เขามิได้เข้าไปห้องหอแต่อย่างใด กลับกันเขาเร่งฝีเท้าออกจากจวนและกระโดดขึ้นมาตัวโปรดมุ่งหน้าไปยังจวนของคนรัก หมายมั่นว่าเขาทำตามที่ได้เอ่ยให้สัจจะเอาไว้

วันนี้เขาจะต้องไปยืนยันกับนาง

ส่วนเจ้าสาว นั่งรอจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว กำปั้นน้อย ๆ ยกขึ้นมาทุบที่ไหล่ของตนเองให้หายจากอาการปวดล้าของกล้ามเนื้อ คนตัวเล็กยามนี้หิวก็หิว ตื่นก็ตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง อาบน้ำแต่งตัวเพื่อแต่งงาน และนี่อะไรกันล่วงเลยมานานแล้ว และไม่เห็นมีทีท่าว่า เจ้าบ่าวจะเข้ามายังห้องหอสักนิด

“ฮูหยินน้อยหิวหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงดูจะเป็นห่วงยิ่งนัก “หากท่านหิวพยักหน้าก็พอเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนที่นางถามนั้นไม่ยอมพูดอะไรกับนางสักครึ่งคำ

“ข้าถามจริง ๆ เขาจะมาหรือไม่” ในที่สุดกุ้ยหลินตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นมา ด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจนักในยามนี้ อยากจะถอดชุดบ้า ๆ นี่ออกเสียที อาบน้ำนอนหลับพักผ่อนเสียหน่อย ต้องมานั่งเป็นหมาหงอยรอเจ้าของเช่นนี้ ช่างน่าขันนัก

“ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่นายน้อยอย่างไรก็ต้องมาเข้าหอกับฮูหยินน้อยอยู่แล้ว” สาวใช้ผู้มองทุกอย่างในแง่มุมที่ดี เอ่ยขึ้นมาหวังให้กำลังใจเจ้าสาวที่นั่งมาตั้งนานแล้ว ดูเหมือนจะปวดเมื่อยไม่เบา เมื่อเห็นว่าเจ้าสาวเริ่มนั่งไม่นิ่ง ขยุกขยิกไปมา ยกมือขึ้นทุบที่ไหล่เบา ๆ ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก

ผู้ที่ถูกถามถึง ยามนี้เขาเร่งควบม้ามาทั้งชุดเจ้าบ่าว เมื่อถึงจวนตระกูลโม่ เขารีบร้อนวิ่งหน้าตั้งเข้าไปพบว่าที่ภรรยาด้วยความดีใจ ใบหน้าของเขานั้นประดับรอยยิ้มอย่างมีความสุข สาวใช้ในจวนนี้ต่างมิได้ขัดขวาง กลับเร่งพาชายหนุ่มสวมชุดแดง เข้าไปพบคุณหนูน้อย

“เฟยเอ๋อร์” น้ำเสียงอ่อนนุ่มส่งไปยังสตรีนางหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว นางกำลังเสียใจเมื่อชายคนรักนั้นแต่งงานกับสตรีอีกนาง นางกลัวว่าเขาจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้

“ในที่สุดท่านก็มาหาข้า ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับนาง เหตุใดกันจึงแต่งงกับสตรีนางนั้นด้วย ท่านเห็นข้าเป็นตัวอะไร”

“เฟยเอ๋อร์ ฟังข้าก่อน อีกสองวันข้าจะมารับเจ้าไปเป็นเจ้าสาว ระหว่างนี้ดูแลตัวเองให้ดี ข้าสัญญาว่าจะไม่เข้าหอกับนาง จะไม่พบหน้านาง จะไม่ไปเหยียบที่เรือนนอนของนาง ข้าสัญญา”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel