บทที่ 7 หวงภรรยา?
"มีความสุขกันเหลือเกินนะ" เสียงห้าวของใครบางคนดังขึ้น บรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดขึ้นมาแทนที่
ร่างสูงของซ่งเหวยหนานก้าวเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าศาลาริมสวน ใบหน้าหล่อเหลาที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิตย์ ทว่าบัดนี้มันเปี่ยมไปด้วยความนิ่งเฉยเสียจนน่ากลัว แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเจ้าก้อนแป้งทั้งสองคนเท่านั้นที่ไม่ได้รับรู้ถึงความอึดอัดในบรรยากาศ ทันทีที่เห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้ามา พวกเขาก็รีบแข่งกันวิ่งโร่เข้ามาหาทันที
ซ่งเหวยหนานย่อกายกางแขนออกกว้างรอรับร่างเล็กของเจ้าก้อนกลมทั้งสองเข้าสู่อ้อมแขน
"ท่านพ่อกลับมาแล้ว" ซ่งลี่หนิงกล่าวด้วยความดีใจพร้อมหอมแก้มสากซ้ายทีขวาทีอย่างออดอ้อน
"พ่อซื้อขนมถังหูลู่ที่เจ้าทั้งสองคนชอบมาให้ด้วยนะ" ซ่งเหวยหนานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กของนางไปมา
"เย้ๆๆ ข้าอยากกินขนมถังหูลู่"
"ข้าด้วยขอรับ" แววตาของซ่งอี้หนานเปล่งประกายสดใส เขาชอบกินของหวานทุกชนิดแต่ที่ชอบเป็นพิเศษนอกจากขนมยุเหวียนเชียวแล้วก็คือขนมถังหูลู่นั่นเอง
"เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ไย รีบไปกินกันเถิด" ซ่งเหวยหนานกล่าวหลอกล่อและนั่นก็ทำให้ทั้งบุตรสาวและบุตรชายรีบวิ่งแจ้นแข่งกันเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
เมื่อคล้อยหลังของซ่งอี้หนานและซ่งลี่หนิงแล้ว ร่างสูงก็หยัดกายลุกขึ้นยืน ก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าของจูลี่จิน
ยามนี้จูลี่จินรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กลีบลงทันใดเมื่อยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบุรุษร่างสูงทั้งสองคน นางรับรู้ได้ถึงรัศมีบางอย่างที่ชวนให้ขนกายลุกชันยามเมื่อเห็นดวงตาดุคมของคนทั้งคู่มองสบกันนิ่ง
"ท่านพี่จือหรง วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก ไปคุยกันข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ" จูลี่จินหันมาเอ่ยชักชวนพี่ชาย พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากใบหน้า แม้ว่าแท้จริงแล้วอากาศในยามนี้จะเย็นสบาย มีสายลมพัดโชยผ่านมาปะทะผิวกายอยู่เรื่อยๆ แต่นางกลับรู้สึกร้อนรุ่มแปลกๆพิกล
เฉินจือหรงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ จูลี่จินเห็นเช่นนั้นจึงออกตัวก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เพราะความรีบทำให้นางไม่ทันมองว่าที่พื้นมีน้ำเจิ่งนองขังอยู่ภายในบ่อเล็กๆที่ถูกสายฝนกัดกร่อนจนเป็นร่องหลุม
"อ๊ะ!" หญิงสาวอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ ร่างบางซวนเซทำท่าจะล้มลง
"เสี่ยวจิน!" เฉินจือหรงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เขารีบขยับตามไปข้างหน้าหมายจะคว้าร่างบางเอาไว้ แต่ก่อนที่จะถึงตัวของจูลี่จินก็มีร่างสูงของใครบางใครผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่มือหนาของเฉินจือหรงจะถึงตัวของจูลี่จิน ร่างบางก็ถูกใครบางคนดึงเข้าหาตัวเสียก่อน
ตุ้บ!
ซ่งเหวยหนานดึงร่างเล็กมาปะทะอกแกร่ง กอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน เฉินจือหรงชะงักงันอยู่กับที่ ร่างสูงแข็งค้างไปชั่วขณะส่งสายตามองจูลี่จินที่อยู่ในอ้อมแขนของซ่งเหวยหนานด้วยความปวดใจ
ในขณะที่ดวงตากลมโตของนางมองลงไปในดวงตาคู่คมของเขา ชั่วขณะหนึ่งนางเห็นสายตาของเขาวาวโรจน์ขึ้นมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยเย็นชาเฉกเช่นเดียวกับสายตาที่เขามองนางประจำ
"เอ่อ... ขอบคุณเจ้าค่ะ" หญิงสาวรีบขืนตัวออกจากคนตัวโต ยามเมื่อร่างกายแตะต้องกันคราใด นางรู้สึกวูบไหวดั่งมีสายฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่างทุกครั้ง
นางไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย อีกไม่นานทั้งเขาและนางกำลังจะเป็นอดีตสามีภรรยา ฉะนั้นหากเป็นไปได้นางจะไม่ขอใกล้ชิดเขาอีกต่อไป
ทว่า เพียงแค่คนตัวเล็กผละตัวออกห่าง ซ่งเหวยหนานก็รีบย่อกายอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนทันที
"ท่านพี่จะทำอะไรเจ้าคะ" หญิงสาวร้องถามเสียงหลงด้วยความตกใจ รีบเอื้อมมือกอดคอของคนตัวโตเอาไว้เพราะกลัวตก
"เจ้าเจ็บเท้ามิใช่หรือ ข้าก็จะอุ้มเจ้าเข้าไปข้างในอย่างไรเล่า"
"ไม่เจ็บเจ้าค่ะ ข้าสบายดี" นางรีบกล่าวปฏิเสธ
"จะไม่เจ็บได้อย่างไรหลุมใหญ่ถึงเพียงนั้น จินเอ๋อร์ เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันมิใช่หรือ สามีจะดูแลภรรยาก็เป็นเรื่องปกตินี่"
จูลี่จินเอียงคอจ้องตาของเขาด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นซ่งเหวยหนานหันไปสบตากับเฉินจือหรงพลางส่งรอยยิ้มเยาะไปให้ก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
"แต่ข้าไม่ได้เป็นอะไร" นางกล่าวเสียงแข็งอย่างดื้อดึง เหตุเพราะเขาไม่ได้เป็นห่วงนางจากใจจริง แต่แค่ต้องการกลั่นแกล้งเฉินจือหรงเท่านั้น
"ข้าบอกว่าเป็นก็เป็นสิ หรือจะให้ข้าโยนเจ้าลงพื้นจะได้เจ็บตัวจริงๆ" เขาก้มหน้าลงกระซิบข้างใบหูขาวสะอาดเบาๆ แต่เมื่อเห็นว่าเฉินจือหรงกำลังมองอยู่ก็แสร้งทำทีเป็นหอมแก้มนุ่มนิ่มดังฟอดใหญ่
เขาเป็นบุรุษเหมือนกันเหตุใดจะดูไม่ออกว่าพี่ชายนอกไส้ของจูลี่จินมีความรู้สึกใดให้นาง แต่ฝันไปเถิด ตราบใดที่นางยังเป็นของเขา เขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนแย่งนางไปจากเขาได้อย่างเด็ดขาด! แม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้ คงเป็นเพราะนางยังอยู่ในฐานะฮูหยินสกุลซ่งกระมัง เขาไม่อยากให้ผู้ใดนินทาได้ว่าจูลี่จินกำลังสวมหมวกเขียวให้เขาอยู่
มือหนาของเฉินจือหรงกำแน่นเข้าหากัน กรามแกร่งขบแน่นจนเห็นสันนูน ที่ผ่านมาเหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของซ่งเหวยหนานและจูลี่จินนั้นร้าวฉานมากเพียงใด เดิมทีเขาเคยคิดที่จะตัดใจ แต่ไม่เคยทำได้เลยจึงยอมเก็บซ่อนความรักที่มีไว้ภายในใจเพียงคนเดียว ซ่งเหวยหนานไม่ได้รักจูลี่จินจากใจจริง แต่ที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะหวงก้างเท่านั้น แต่เมื่อยิ่งได้เห็นซ่งเหวยหนานทำเช่นนี้แล้วทำให้ความอยากเอาชนะแล่นพล่านไปทุกอณูความคิด
รอดูเถิดสักวันหนึ่งเขาจะแย่งจูลี่จินมาเป็นของเขารวมถึงเจ้าก้อนแป้งทั้งสองคนด้วย เขาจะเข้ามาแทนที่ของซ่งเหวยหนานให้ได้! และหากเขาทำสำเร็จ เขาขอสาบานด้วยชีวิตว่าจะรักถนอมนางและลูกๆให้ดีที่สุด ไม่ทำให้นางเสียใจเหมือนอย่างที่ซ่งเหวยหนานกระทำอย่างเด็ดขาด
"วันนี้ข้าคงต้องกลับก่อน ไว้ข้าจะแวะมาใหม่" เฉินจือหรงหันไปหาจูลี่จินพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันหลังก้าวเดินจากไปด้วยความโกรธ
"พอใจท่านหรือยัง หากพอใจแล้วก็ปล่อยข้าลงเถิด" คล้อยหลังจากที่เฉินจือหรงจากไปแล้ว จูลี่จินก็หันมาเอ่ยกับคนที่อุ้มนางอยู่ ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงให้มากความ คนตัวโตก็ปล่อยมือออกจากนางทันที
ตุ้บ!
"โอ๊ะ!" ร่างบางไม่ทันตั้งตัวจึงล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่เป็นต้นเหตุด้วยความโกรธ ในขณะที่เขาส่งสายตามองนางอย่างเย้ยหยัน จากนั้นเดินออกไปโดยไม่สนใจนางอีกเลย
"ฝากไว้ก่อนเถอะ!" หญิงสาวร้องตะโกนตามหลังด้วยความหงุดหงิด มือบางดึงทึ้งใบหญ้าบนพื้นด้วยความโมโห เมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้จึงได้ก่นด่าสาปแช่งซ่งเหวยหนานอยู่ในใจ
ณ ตำหนักเหลียนซือ เขตพระราชฐานชั้นใน
วรกายบางแต่งกายด้วยชุดหรูหราตัวยาวกรอมเท้า ใบหน้าจิ้มลิ้มแต้มเครื่องประทินโฉมงดงาม บนศีรษะประดับประดาไปด้วยปิ่นทองห้อยระย้าสมฐานะ ทว่าดวงหน้างามดุจหยกในยามนี้กลับงอง้ำ ขาเรียวก้าวเดินกลับไปกลับมาได้หลายเค่อแล้ว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น ใช้ฟันขบกัดริมฝีปากบางของตนราวกับมีเรื่องให้หนักใจอยู่เต็มประดา
ซวงอี๋มองร่างบางที่เดินไปมาพร้อมกับหลับตาและใช้มือนวดคลึงขมับของตนเบาๆ เพราะเวียนศีรษะหลังจากที่นั่งจ้องผู้เป็นเจ้านายอยู่นานสองนาน
"ข้าจะทำอย่างไรดีซวงอี๋ เรื่องที่ท่านแม่เอ่ยกับข้า ข้าก็เห็นด้วยแต่ข้าก็กลัวเช่นกัน" จูจิ้งซูกล่าวด้วยความหนักใจ หนทางกำจัดถังซือซือฮองเฮาไม่ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมานางพยายามทำให้ฮ่องเต้ผิดใจกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง
ถังซือซือฮองเฮาเป็นคนฉลาด แม้จะอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ น่าเจ็บใจยิ่งนักที่นางต้องเสียตำแหน่งฮองเฮาไป นางเป็นถึงบุตรสาวของขุนนางขั้น 1 ตำแหน่งเสนาบดีสำนักราชเลขานุการ อีกทั้งพี่สาวของนางยังเป็นถึงฮูหยินสกุลซ่ง ตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดของแคว้นเพ่ยรองจากฮ่องเต้ ในขณะที่ถังซือซือเป็นเพียงบุตรสาวขุนนางขั้น 3 แต่เพราะคำว่า 'รัก' คำเดียวเท่านั้นที่หมาวซ่าวกวงฮ่องเต้ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ถังซือซือได้ก้าวขึ้นสูงตำแหน่งฮองเฮาเพื่อยืนข้างกายเขาในฐานะมารดาของแผ่นดิน
"ที่เรื่องราวต้องเป็นเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะข้าไม่มีโอรสหรือธิดาให้ฝ่าบาท" จูจิ้งซูกล่าวเสียงเศร้า ยามนึกถึงเรื่องนี้คราใดก็ปวดหนึบในอกซ้ายทุกครั้ง เหตุเพราะหมาวซ่าวกวงฮ่องเต้ไม่เคยย่างกรายมาหานางเลย
ซวงอี๋มองเจ้านายสาวด้วยความสงสารจับหัวใจ จูจิ้งซูกุ้ยเฟยเพียบพร้อมทุกอย่าง อีกครั้งหน้าตาก็งดงามไม่แพ้ถังซือซือฮองเฮา แต่เพียงเพราะว่านางไม่ใช่คนที่ฮ่องเต้ทรงรัก เขาจึงไม่ดูดำดูดีนาง
"ถ้าเช่นนั้น พระองค์ลองตรัสกับซ่งฮูหยินก่อนดีหรือไม่เพคะ ซ่งฮูหยินมีทั้งบุตรชายและบุตรสาว ไม่แน่ว่านางอาจยินยอมยกลูกให้สักคนก็ได้นะเพคะ"
จูจิ้งซูได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดตามวาจาของซวงอี๋ หากนางขอซ่งอี้หนานหรือซ่งลี่หนิงมาเป็นบุตรบุญธรรมได้ก็คงจะดีไม่น้อย อีกทั้งเด็กน้อยทั้งสองคนต่างก็มีสายเลือดสกุลจูของนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
"ซวงอี๋ส่งคนไปตามซ่งฮูหยินมาพบข้าที บอกนางว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย" จูจิ้งซูกล่าวอย่างหมายมาด หากได้ซ่งอี้หนานหรือซ่งลี่หนิงมาอยู่ด้วยสักคนก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยทีเดียว