บทที่ 4 พี่เลี้ยงคนใหม่ของซ่งลี่หนิง
เช้าวันใหม่ หลังจากตื่นทำกิจวัตรประจำวันเสร็จเรียบร้อย จูลี่จินคิดว่าวันนี้นางจะไปคุยเรื่องหย่ากับซ่งเหวยหนานให้รู้เรื่อง เพราะวันนี้เป็นวันหยุด สามีของนางจึงไม่ต้องไปทำงาน ซ่งเหวยหนานเป็นบุตรชายของซ่งจื่อเสวี่ยนไท่ฝู อดีตที่ปรึกษาประจำพระองค์ของหมาวเจ๋ฮ่องเต้องค์ก่อน ทว่าตอนนี้ได้ขอเกษียณไปใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ทางเมืองเหนือกับจางผิงผู้เป็นภรรยาซึ่งเป็นมารดาของซ่งเหวยหนาน
หลังจากที่บิดาเกษียณอายุไปไม่นาน ซ่งเหวยหนานก็เจริญรอยตามบิดา ยามนี้เขาทำหน้าที่เป็นไท่จื่อไท่ฝู พระอาจารย์ขององค์รัชทายาทปัจจุบัน
เมื่อสอบถามกับสาวใช้ก็ได้ความว่าตอนนี้ซ่งเหวยหนานและซ่งลี่หนิงอยู่กับเฝิงเหยียนที่สวนอุทยาน
จูลี่จินย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยจำได้ว่าในนิยายกล่าวถึงเฝิงเหยียนว่าเป็นพี่เลี้ยงคนใหม่ที่ซ่งเหวยหนานจ้างมาดูแลซ่งลี่หนิงแทนพี่เลี้ยงคนเก่าที่ได้ลาออกไป บิดาของนางเป็นพ่อค้าขายเครื่องประดับที่ตลาด ฐานะทางบ้านปานกลาง หากมันคงจะเป็นเรื่องปกติหากหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้แอบรักสามีของนาง
หลังจากที่ถังซือซือฮองเฮาขอซ่งอี้หนานบุตรชายคนโตของนางไปเลี้ยง ที่จวนสกุลซ่งก็เหลือเพียงแค่ซ่งเหวยหนานและซ่งลี่หนิง เฝิงหยวนที่อยู่ในตำแหน่งพี่เลี้ยงก็พยายามทำดีและเอาชนะใจซ่งเหวยหนาน จนสุดท้ายนางทำสำเร็จ ซ่งเหวยหนานยินยอมรับนางเป็นภรรยา แต่ดูเหมือนว่าซ่งลี่หนิงจะไม่ชอบแม่เลี้ยงคนใหม่เท่าใดนัก เพราะคิดว่าซ่งเหวยหนานนำนางมาแทนที่จูลี่จิน ทำให้ทั้งสองคนมีปากเสียงกันบ่อยๆ ทว่าหลังจากที่ซ่งเหวยหนานตรอมใจตายตามบุตรชายและบุตรสาว สมบัติทั้งหมดของสกุลซ่งก็ตกเป็นของเฝิงหยวน นางจึงกลายเป็นสตรีหม้ายที่ร่ำรวยที่สุดของแคว้นเพ่ย
จูลี่จินก้าวลงบันไดไปสู่สวนอุทยาน ทว่ายิ่งเดินใกล้ถึงจุดหมายก็ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันดังแว่วมา
ครั้นพอไปถึงก็ได้เห็น ซ่งลี่หนิงนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างซ่งเหวยหนานและเฝิงหยวน ทั้งสามคนมีตุ๊กตาไม้ในมือคนละตัว ตุ๊กตาในมือของซ่งลี่หนิงคือตุ๊กตาเด็กคล้ายกำลังเล่นบทบาทสมมุติเป็นพ่อแม่ลูกกัน
เฝิงหยวนเป็นสตรีใบหน้างดงาม นางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดหนาว มีรอยบุ๋มข้างแก้มยามที่แย้มริมฝีปากยิ้ม ผิวขาวเนียนละเอียดดุจน้ำนม จูลี่จินคงจะเชื่ออย่างสนิทใจว่านางเป็นสตรีวัยกำดัดใสซื่อคนหนึ่ง หากไม่เห็นสายตาหวานเชื่อมที่สตรีผู้นั้นส่งให้สามีของนาง
"อะแฮ่ม" จูลี่จินแสร้งทำเสียงกระแอมขัดจังหวะ คนทั้งสามหันมามองนางพร้อมกัน หญิงสาวมองสบสายตาของแต่ละคนก่อนจะไปหยุดอยู่ที่เจ้าก้อนแป้งผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ
"หนิงหนิงของแม่" ร่างบางย่อกายลงกับพื้น อ้าแขนออกกว้าง เอ่ยปากเรียกบุตรสาวเสียงหวาน
ทว่า หากในยามปกติแล้ว เมื่อซ่งลี่หนิงเห็นคนเป็นแม่จะรีบโผเข้ามาหาอย่างไม่รีรอ แต่ยามนี้นางกลับหยัดกายลุกขึ้นคว้าตุ๊กตาไม้ขึ้นมากอดและออกตัววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
"หนิงหนิง!" จูลี่จินขานเรียกชื่อเจ้าก้อนแป้งอย่างไม่เข้าใจ ครั้นพอหยัดกายลุกขึ้นทำท่าจะวิ่งตามไป เฝิงหยวนก็รีบวิ่งนำไปก่อนแล้ว
'เฝิงหยวนคงเร่งทำคะแนนกับหนิงหนิงกระมัง' นางไม่ยอมหรอก! คิดได้เช่นนั้นก็สาวเท้าจะวิ่งตาม แต่ทว่ามีใครบางคนเอื้อมคว้าข้อมือของนางเอาไว้เสียก่อน
"หนิงหนิงน้อยใจที่เมื่อคืนเจ้าไปหาหนานหนาน"
ดวงตากวางเหลือบมองไปยังข้อมือของตนที่ถูกคนตัวโตจับเอาไว้ ซ่งเหวยหนานมองตามสายตาของนางจึงรู้ตัวและรีบปล่อยมือบางออกทันที
"เหตุใดต้องน้อยใจด้วยล่ะเจ้าคะ ในเมื่อหนานหนานก็เป็นลูกของข้าเหมือนกัน"
"ก็เพราะที่ผ่านมาเจ้าทำเหมือนว่าเจ้ารักนางมากกว่าหนานหนานอย่างไรเล่า"
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น เสก้มหน้าลงต่ำเอ่ยเสียงเครือด้วยความเสียใจ
"ข้าเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ"
คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำต่อว่าตนเองของนาง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร นางจะเป็นคนผิดหรือไม่ก็ตาม แต่จูลี่จินไม่เคยกล่าวโทษตนเองสักหน ครานี้นางเป็นอะไรไปหรือกินอะไรผิดสำแดงถึงไม่มีท่าทีอาละวาดร้ายกาจดังเดิม
"หากคุยกับลูกดีๆ ลูกคงเข้าใจ" ชายหนุ่มตอบเสียงเบาก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง
"เดี๋ยวเจ้าค่ะ" ร่างเล็กรีบสาวเท้าวิ่งไปดักหน้าเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินจากไป ถึงเวลาแล้วที่นางจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
ซ่งเหวยหนานเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
"แปดหมื่นตำลึงทองกับทองคำหนึ่งพันแท่ง"
"พูดเรื่องอะไรของเจ้า"
"หากท่านพี่ต้องการจะหย่าก็ต้องจ่ายให้ข้าตามที่ข้าร้องขอ" อันที่จริงสกุลจูของนางไม่ได้ขัดสนเงินทอง แต่ก็ไม่ได้มีมากมายเท่าสกุลซ่ง ฉะนั้นแล้วนางจึงต้องการเงินทองของเขาเพื่อใช้ในการเลี้ยงดูเจ้าก้อนแป้งทั้งสองและเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อย นึกสงสัยอยู่บ้างว่าเหตุใดนางถึงได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนางไปหาบุตรชายคนโตที่หอนอน คาดว่าซ่งอี้หนานคงจะบอกนางกระมัง
"เรื่องเงินเรื่องทองไม่มีปัญหา หากเจ้าลงชื่อหย่า ข้าจะมอบเงินให้เจ้าทันที"
"และยังมีอีกเจ้าค่ะ"
"ว่ามาสิ" เขาตอบอย่างใจดี นางขอสิ่งใดเขาพร้อมจะหาให้ทั้งนั้น ขอเพียงแค่นางยอมหย่ากับเขาแต่โดยดีก็พอ
"ข้าจะพาหนานหนานกับหนิงหนิงไปอยู่ด้วย"
"ไม่ได้!" เสียงห้าวตอบทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด เขาจะไม่ยอมให้นางพาลูกไปจากเขาเด็ดขาด
"ก็ดีเจ้าค่ะ หากท่านพี่ไม่ยอม ข้าก็จะไม่หย่า"
"เจ้าเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวที่สุด!" ซ่งเหวยหนานเอ่ยกับคนตรงหน้าอย่างหัวเสีย คนอย่างนางจะสามารถดูแลชีวิตของใครได้ เขาไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด
"ข้าไม่ได้เห็นแก่ตัว ข้ากำลังทำเพื่อลูกต่างหาก" จูลี่จินเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ให้ลูกอยู่กับแม่ยังดีกว่าอยู่กับพ่อ เพราะสักวันหนึ่งหลังจากที่หย่ากันแล้ว ซ่งเหวยหนานก็อาจจะแต่งงานใหม่ แต่สำหรับนาง นางจะไม่ยอมแต่งงานใหม่เด็ดขาด ต่อให้จะหย่ากับสามี จะต้องกลายเป็นมารดาเลี้ยงเดี่ยวก็ไม่หวั่น ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดขออุทิศเพื่อเจ้าก้อนแป้งทั้งสองคน
"ทำเพื่อลูกโดยการพาพวกเขาไปตกระกำลำบากกับเจ้าน่ะหรือ"
"ใครว่าลำบาก ข้าขอเงินทองกับท่านพี่ตั้งมากมาย มั่นใจว่าจะเลี้ยงลูกๆให้สุขสบายได้"
"เงินมากมายก็จริง แต่เจ้าใช้เพียงไม่กี่เดือนก็หมดแล้ว" ที่เขากล่าวมานั้นไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย จูลี่จินเป็นคนใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายยิ่งนัก คนเห็นแก่ตัวอย่างนางย่อมเห็นแก่ความสุขสบายของตนมากกว่าลูก
"เช่นนั้นท่านพี่ก็ช่วยส่งเสียค่าเลี้ยงดูลูกให้ข้าสักหนึ่งร้อยตำลึงทองทุกเดือนสิเจ้าคะ"
"เจ้านี่มัน!" ชายหนุ่มขึงตาใส่คนตรงหน้าด้วยความโกรธ ที่เขาพูดมาทั้งหมดนางไม่เข้าใจหรืออย่างไรว่าเขาไม่มีวันปล่อยลูกๆให้ไปอยู่กับมารดาที่เห็นแก่ตัวเช่นนางเด็ดขาด
"แต่ถ้าหากท่านพี่ยอมปล่อยลูกไปกับข้าดีๆ ข้าจะไม่ร้องขอสิ่งใดจากท่านอีกเลย"
ซ่งเหวยหนานกัดฟันดังกรอดด้วยความโกรธ เส้นด้ายของความอดทนขาดสะบั้นลงทันใด มือหนากระชากข้อมือบางดึงเข้าหาตัว จูลี่จินไม่ทันได้ระวังตัวจึงเซถลาปะทะอกแกร่งของเขา
ดวงตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างดุดัน ต่างฝ่ายต่างจ้องกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ทันใดนั้นเอง...
"กรี๊ดดดด" เสียงกรีดร้องก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้กระซิกๆดังแว่วมาจากทิศทางที่ซ่งลี่หนิงวิ่งจากไป จูลี่จินได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอช้ารีบผลักคนตัวโตออกห่างและวิ่งไปยังที่มาของต้นเสียงทันที
"หนิงหนิง!" จูลี่จินวิ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ เรียกชื่อบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะย่อกายนั่งลงตรงหน้าร่างเล็กพลางจับตัวของนางหมุนไปหมุนมา
"เกิดอะไรขึ้น ลูกเป็นอะไรหรือไม่" ถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
"มีเรื่องอะไรกันงั้นหรือ" ร่างสูงองอาจก้าวตามจูลี่จินเข้ามาติดๆ เอ่ยถามพลางมองไปยังซ่งลี่หนิงและเฝิงหยวนสลับไปมาซึ่งเจ้าของเสียงร้องหาใช่ใครอื่น เป็นเฝิงหยวนนั่นเอง
"นายท่านเจ้าคะ ฮือ" นางลดมือลงจากหน้าผากเผยให้เห็นรอยปูดบวมเท่าลูกมะนาว ใบหน้างามอาบเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา ส่งสายตามองไปยังประมุขของจวนเพื่อขอความเห็นใจ
"เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น" ซ่งเหวยหนานถามด้วยความสงสัย พลันไม่นานก็เหลือบไปเห็นตุ๊กตาไม้ตกอยู่เบื้องหน้าของเฝิงหยวน ในขณะที่บุตรสาวของเขากำลังยืนตัวสั่น ดวงหน้าแดงก่ำราวกับกำลังโมโหสุดขีด
"คุณหนูโยนตุ๊กตาไม้ใส่บ่าวเจ้าค่ะ โชคดียิ่งนักที่ไม่โดนตา หาไม่บ่าวต้องตาบอดเป็นแน่เจ้าค่ะ"
"หนิงหนิงเป็นเรื่องจริงหรือไม่" จูลี่จินหันมาถามบุตรสาว แม้ซ่งลี่หนิงจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แต่นางไม่เคยหาเรื่องผู้ใดก่อน ยกเว้นกับซ่งอี้หนานเท่านั้น ทว่านอกเสียจากว่านางจะเป็นฝ่ายโดนกระทำจึงต้องเอาคืน
"ก็นางว่าท่านแม่ก่อน"
"ไม่จริงนะเจ้าคะ" เฝิงหยวนปฏิเสธทันควัน ส่ายหน้าละล่ำละลักไปมา
"นางบอกว่าอะไร" ซ่งเหวยหนานถามเจ้าตัวเล็ก
"นางบอกว่าท่านแม่เป็นคนใจร้าย ท่านแม่เกลียดข้า สักวันหนึ่งท่านแม่จะทอดทิ้งข้าไป" หยดน้ำตาไหลร่วงออกจากดวงตาสองข้าง ก่อนที่มือเล็กจะยกขึ้นปาดมันออกอย่างลวกๆ ปากบางเม้มเข้าหากันแน่น พยายามกลั้นใจไม่ให้เปล่งเสียงสะอื้นออกมา
"ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้าเพียงแต่บอกว่าฮูหยินไม่ค่อยมีเวลาดูแลคุณหนูเท่านั้นเอง"
"อ๋อ เจ้ากำลังจะบอกว่าลูกข้าพูดจาโกหกสินะ" จูลี่จินหยัดกายลุกขึ้น ยกมือขึ้นกอดอกจ้องเฝิงหยวนนิ่ง
"ปะ เปล่าเจ้าค่ะ"
"ถ้าเช่นนั้นแสดงว่านางไม่ได้โกหก"
"ข้าไม่ได้พูดเจ้าค่ะ" เฝิงหยวนยืนยันคำเดิม ก่อนจะรีบหันไปหาซ่งเหวยหนานพร้อมปรี่เข้าไปคุกเข่าลงเบื้องหน้า กอดขายาวๆร้องขอความเห็นใจ