บทที่ 8
แม้ว่าเธอจะให้การรักษาพยาบาลเขาในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง ซึ่งมีฝีมือพอที่จะผ่าตัดเอากระสุนออกจากท่อนขาได้ แต่กระนั้นท่าทางของเธอเองก็ยังบ่งบอกความเขินอายอยู่ไม่น้อย ซึ่งออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่ เพราะสเกาท์มีความเห็นว่า ถ้าเธอมีอาชีพเช่นนั้นจริง ก็น่าจะพบเห็นทั้งผู้คนทั้งสองเพศมามากและไม่น่าจะรู้สึกอะไรเลยกับการที่จะได้เห็นรูปลักษณ์เรือนกายของผู้ชายอีกสักคน
“แล้วทำไมต้องหัวเราะกันด้วย มันสำคัญอะไรนักหรือ” เขาพยักหน้าไปทางหญิงสาวทั้งสามที่ยังยืนเปลือยอกให้เห็นอยู่ “แค่ที่ผมต้องมาได้รับเคราะห์กรรมขนาดนี้ยังไม่สาแก่ใจคุณอีกหรือไง”
แชนทอลน่าจะจับอารมณ์กับความรู้สึกของเขาในยามนี้ได้ เธอหันไปกล่าวคำขอบใจหญิงสาวชาวเกาะอีกครั้งพร้อมกับรุนร่างให้ออกจากห้องนั้น แต่แม้เมื่อเดินออกจากห้องแล้ว พวกหล่อนก็ยังคงพูดปนหัวเราะกันไปตลอดทาง ราวนกน้อยที่ไม่อาจอยู่นิ่งได้
“นี่มันเรื่องบ้าอย่างที่ผมไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยเขาพูดอะไรกันอีกล่ะนั่น”
“เอ๊ะ... นี่คุณพูดฝรั่งเศสไม่ได้หรอกหรือคะ”
“อย่างเก่งก็แค่สั่งอาหารตามเมนูเท่านั้นละ แต่ที่จะให้พูดยาวเป็นไมล์ๆ แบบนี้เห็นจะไม่ได้”
“เขาเพียงแต่บอกว่า ฉันเป็นคนโชคดีมากที่ได้พยาบาลคุณแบบนี้” เธอหัวเราะออกมาเบาๆ
“เพราะอะไร”
“เพราะ... เพราะคุณเป็นแขกผู้มีเกียรติของหมู่บ้านนี้น่ะสิคะ”
“บ้าที่สุด” เขารู้ว่าเธอกำลังพูดปด ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นบ่งบอกเลศนัยอยู่ เขารู้ว่าไม่ว่าจะใช้ความรุนแรงสักเพียงไรก็ไม่มีทางเค้นความจริงจากเธอได้
ทันใด... เขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันมีบางคำที่คุ้นหูอยู่ มันทำให้เขาถึงกับทะลึ่งพรวดขึ้นนั่ง ชี้มือไล่หลังหญิงสาวคนล่าสุดที่เดินออกจากห้อง
“ผมรู้แล้ว... พอจับใจความได้แล้ว เรื่องที่เขากำลังพูดกันอยู่... เรื่อง... เรื่อง... ” เขาดีดนิ้วติดๆ กันหลายครั้งเมื่อความทรงจำที่ถูกปิดกั้นลงไว้ตอนที่หมดสติไปเมื่อสองสามวันก่อนกลับคืนมา “เขาพูดกันเรื่องเทพเจ้าที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วก็มี... ”
เขาจ้องหน้าแชนทอล และเธอก็รีบหันหลังให้เหลือบตามองเขาแว่บหนึ่งก่อนจะเดินตามหญิงสาวเหล่านั้นออกจากห้อง หายตัวไปครู่ใหญ่ เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เธอก็เดินเลยไปที่โต๊ะหัวเตียง รินน้ำจากเหยือกใส่ลงในแก้ว ท่าทางเยือกเย็นไม่ได้บอกความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่นวลแก้มสีชมพูเรื่อขึ้นบ้างเท่านั้น
“ต้องการน้ำไหมคะคุณริทแลนด์”
เขารับแก้วน้ำจากเธอมาดื่ม สายตาที่จ้องมองอยู่บ่งบอกถึงความชื่นชม ผู้หญิงคนนี้สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีเยี่ยมตลอดเวลา
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากจะทดสอบ จะต้องหาความจริงออกมาให้ได้ว่าเธอเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เขาบอกตัวเองอยู่ว่าถ้าได้รู้ว่าศัตรูมีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอมากน้อยเพียงไรย่อมจะทำให้เขาสามารถหาทางเอาชนะได้มากเพียงนั้น
ตอนที่เขาส่งแก้วน้ำคืนให้นั้น มือของเขาแตะอยู่กับปลายนิ้วของเธอ ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ถามจริงๆ เถอะใครเป็นคนเช็ดตัวให้ผมก่อนที่ผู้หญิงสามคนนั่นจะเข้ามาช่วยจัดการให้”
“ฉันเองค่ะ คุณริทแลนด์” สายตาของเธอไม่ได้บอกความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว งั้นหรือ”
“เอาน้ำอีกไหมคะ”
“ไม่แล้ว ขอบใจ สำหรับตอนนี้เห็นจะพอก่อน แต่ทิ้งเหยือกไว้ให้ก็แล้วกัน”
เธอวางแก้วน้ำลงไว้ในถาดดังเดิม และเนื่องจากตอนนี้ดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว เธอจึงจุดตะเกียงขึ้น
“ฉันคิดว่าคุณควรจะยุติการใช้เสน่ห์ชายเสียทีจะดีกว่านะคะคุณริทแลนด์ รับรองว่าไม่ได้ผลหรอก ไม่ว่าจะกับฉันหรือกับใครก็ตาม เพราะฉันได้ประเมินสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนหน้าที่จะพาตัวคุณมาที่นี่ เห็นจะปล่อยให้คุณทำอะไรตามอารมณ์โรแมนติกไม่ได้หรอก จนกว่าคุณจะทำงานตามที่ฉัน ต้องการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน... ที่พูดนี่หมายถึงเรื่องการปล่อยตัวคุณไปจากที่นี่ด้วยนะคะ”
ท่าทางที่สงบเยือกเย็น วาจาที่กล่าวออกมาอย่างสุภาพ สร้างความหงุดหงิดใจให้กับเขาไม่น้อย โดยเฉพาะกับคำพูดของเธอ มันทำให้เขาถึงกับปัดผ้าห่มออกจากตัวและเหวี่ยงขาลงจากเตียง แต่ความเจ็บร้าวที่เกิดขึ้นจากขาข้างนั้นและกำลังแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ทำให้ต้องชะงักอยู่กับที่ แทบจะทำให้เขาอาเจียนออกมาด้วยความวิงเวียน
สเกาท์กัดฟันแน่น มีอาการหน้ามืดเกิดขึ้น มีความรู้สึกว่าตัวเองอ่อนเพลียขนาดหนัก ต้องจับที่นอนไว้เพื่อให้ทรงตัวอยู่ได้
“ถึงยังไงผมก็จะต้องไปให้พ้นที่นี่” เขากัดฟันพูดความคั่งแค้นใจในยามนี้เหลือจะกล่าว
“คงจะไม่มีโอกาสหรอกค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ ฉันว่าคุณยังเดินไม่ได้อีกหลายวันทีเดียว” เขาสัมผัสความเห็นใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงอ่อนโยนนั้น “คุณจำไม่ได้หรอกค่ะว่ามาถึงที่นี่ได้ยังไง แต่ฉันพอจะให้ความรู้คุณได้ว่า คอรัล รีฟ รีสอร์ต นั่นน่ะอยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะ และระหว่างที่นี่กับที่นั่น ภูมิประเทศคือป่าเขาทั้งนั้นเป็นแผ่นดินที่ยังไม่มีการพัฒนาไม่มีคนอาศัยอยู่ด้วย...”
“อีกอย่างหนึ่งที่ฉันจะต้องบอกให้คุณรับรู้ไว้... ” เธอพูดต่อหลังจากหยุดเว้นระยะไปชั่วอึดใจ “คือทั้งหมู่บ้านนี้มีจี๊ปเพียงคันเดียวซึ่งเป็นของพ่อฉันเอง และตอนนี้มันก็ถูกเอาไปซ่อนให้พ้นจากสายตาคุณแล้วด้วย ฉันรับรองว่า ไม่ว่าคุณจะติดสินบนชาวบ้านมากสักแค่ไหน ก็ไม่มีใครพาไปที่นั่นหรอก เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองด้วยการพยายามทำอย่างนั้นเลยนะคะ...” เธอพูดยิ้มๆ
“อ้อ... แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง สมมติคุณคิดว่าจะเดินเท้าไป ซึ่งเวลานี้ก็ใช้การได้เพียงแค่ข้างเดียวนั่นน่ะ ฉันกล้ารับรองได้เลยว่าคุณไม่มีโอกาสกลับไปพบสิ่งที่เรียกว่าความศิวิไลซ์นั่นได้หรอกค่ะ”
“งั้นคอยดูฝีมือผมต่อไปแล้วกันเจ้าหญิง”
“ก็ตามใจ” เธอพูดยิ้มๆ “ว่าแต่ตอนนี้คุณหิวหรือยังคะ”
“ให้กินม้าทั้งตัวยังได้เลย”
“ดีค่ะ เพราะคุณกำลังจะได้กินเนื้อม้าอย่างที่ขอเสียด้วย”
เธอปล่อยให้เขาอ้าปากค้างจ้องมองประตูห้องที่ว่างเปล่า และตอนนั้นเองที่เขาพ่นคำผรุสวาทออกมาด้วยความเจ็บใจอย่างที่สุด มันไม่ใช่เพียงแค่ความเจ็บใจเท่านั้น แต่ขณะนี้เขากำลังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดด้วยพิษบาดแผลหงุดหงิดกับความอ่อนแอของตน ซึ่งความอ่อนแอนั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งอยู่ที่นี่ในสภาพเช่นนี้
เขาควรจะรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเธอเป็นอะไรบางอย่างที่ดีเกินกว่าจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ เขาช่างเป็นคนปัญญาอ่อนอะไรเช่นนี้ ถ้าเพียงเขาจะไม่ดื่มเหล้าพื้นเมืองหรือพั้นช์นั่นมากจนเกินไป เขาคงจะทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังมากกว่านี้แน่
แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น เขากระโดดลงไปในหล่มโคลนทั้งสองเท้า และขณะนี้ก็กำลังจะจมมิดหัวแล้วด้วย
แม้มันต้องใช้พละกำลังและความเข้มแข็งในจิตใจอย่างมาก แต่กระนั้นเขาก็ยังอดทนพอที่จะนั่งอยู่บนเตียงให้ได้อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสิ้นหวังมากจนเกินไปนัก แต่ถ้าทอดตัวลงนอนเมื่อไหร่ มันคล้ายกับเขากำลังรอรับความเมตตาจากเธออยู่
ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมด้วยถาดอีกใบหนึ่ง มีกาน้ำชากับแก้วใส่นมวางอยู่ในถาดใบนั้นด้วย และยังมีถ้วยใส่น้ำซุปที่เขาจำได้
“ผมจะไม่ดื่มไอ้น้ำเหม็นๆ นั่นอีกแล้ว...” เขาพูดเสียงกร้าว หวังว่าน้ำเสียงที่ใช้พอจะแสดงออกถึงพลังอำนาจบ้าง
“ถ้ายังงั้นฉันก็คงต้องบังคับให้คุณดื่มค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงชาเย็น
สีหน้าเขาเคร่งขรึมขณะจับตามองเธอแบ่งน้ำซุปใส่ลงในถ้วยใบเล็ก
“นี่เป็นน้ำซุปที่ต้มจากเนื้อม้าจริงๆ น่ะหรือ” เขาถามอย่างกังวล
“จากเนื้อสัตว์ที่เนื้อนุ่มหวานที่สุด ซึ่งเมื่อเอามาต้มเป็นน้ำซุปแล้วรสชาติก็จะโอชะที่สุดด้วย เขานิยมดื่มกันทั่วโลกเชียวนะคะ”
“ก็แปลว่ามาจากเนื้อหมา ผมเห็นจะกินไม่ลงหรอกแล้วก็จะไม่กินด้วย”
“คุณริทแลนต์คะ ถ้าคุณยืนยันฉันก็เห็นจะต้องบอกว่าเป็นเนื้อม้า แต่ม้าตัวนี้มันสละชีวิตเพื่อคุณนะคะคุณริทแลนด์อย่างน้อยคุณก็ควรสำนึกบุญคุณมันด้วยการแสดงความพอใจบ้าง”
“ถ้าคุณไม่สามารถฆ่าวัวเพื่อเอาเนื้อมันมาให้ผมกินแล้วทำไมจึงต้องฆ่าม้าล่ะ”
“จริงๆ แล้ว...” สีหน้าของเธอบอกความยุ่งยากใจไม่น้อย “เราพบม้าตัวนี้ในคูข้างถนน มันตายแล้ว แต่ยังโชคดีที่เราพบมันก่อนที่เนื้อมันจะเน่าน่ะค่ะ”
“งั้นลืมเรื่องนี้ได้เลย ฟลอเรนซ์ ไนติงเกิล” เขาผลักถ้วยที่มีควันลอยกรุ่นออกห่างจากตัว
และเธอก็ส่งยิ้มอาบเสน่ห์มาให้ น้ำเสียงเกือบจะล้อเลียนเมื่อกล่าวว่า
“ก็ไหนคุณบอกว่าอยากจะให้ตัวเองมีกำลังมากพอที่จะหักคอฉันไม่ใช่หรือคะ หรือว่าจะเปลี่ยนใจแล้ว
เขาดึงถ้วยใบนั้นกลับคืนมา... และเพราะการกระชากกระชั้นทำให้น้ำซุปร้อนๆ รดราดลงบนหน้าอก
“จีซ...” เขาอุทานออกมาดังลั่น