บทที่ 7
แววในดวงตาของเธอเข้มขึ้น บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่เขาสรุปความคิดของเธอออกมาง่ายๆ อย่างนั้น ใจหนึ่งอยากจะสาดน้ำร้อนๆ ในถ้วยใส่หน้าให้เสียนัก แต่อาจจะเพราะยังห่วงใยในสุขภาพของเขาอยู่จึงไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ดื่มเสีย ไม่ยังงั้นฉันเห็นจะต้องบังคับคุณแล้วล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นที่ใช้มาแต่แรก
เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น แต่ในที่สุดก็ยอมจิบน้ำในถ้วยแล้วก็ถ่มออกมา พ่นคำผรุสวาทอย่างไม่คิดจะยับยั้งไว้อีกต่อไป
“นี่มันอะไรกันแน่”
“รับรองว่าเป็นโปรตีนที่ดีเลิศทีเดียว ดื่มให้หมดสิ”
“ตอนแรกผมนึกว่าเป็นน้ำแกง หรือไม่ก็ยาสมุนไพรอย่างที่คุณว่า แต่รสชาติมัน…”
“ดื่มเถอะน่า ฉันบอกว่าดีมันก็ต้องดีสิ” เธอยืนยัน
“ก็ได้” เขาตัดสินใจ ภายหลังจากต่อสู้ด้วยสายตาอยู่กับเธออีกเป็นครู่ “ผมจะดื่มก็ได้ แต่ที่ดื่มก็เพราะอยากให้ตัวเองมีกำลังกลับคืนมาจะได้หักคอคุณให้ตายคามือไงล่ะ”
ท่าทางเธอไม่ได้บอกว่าจะหวั่นไหวกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย ยังถือถ้วยจ่ออยู่ตรงปากอย่างมั่นคง ทำให้เขาจำใจดื่มมันเข้าไปจนหมด ด้วยสีหน้าที่ไม่ได้บอกความพอใจเลย
“เอาอีกหน่อยไหม”
“ท้องผมคงจะรับได้เพียงแค่นั้น” ก่อนที่เธอจะทันเดินออกจากข้างเตียง เขาก็กระชากอกเสื้อไว้ รั้งร่างกายเธอลงมาจนใบหน้าลอยอยู่ห่างแค่คืบ
“เอาละ ผมรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ผมจะต้องหลับไปอีก แต่ก่อนหลับผมขอถามหน่อยเถอะว่า คุณทำแบบนี้กับผมทำไม บอกมาสิว่าทำไม”
เธอจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา ก่อนจะตอบอย่างเน้นทุกถ้อยคำว่า
“เพราะฉันต้องการตัวคุณให้มาสร้างสะพานให้ฉันน่ะสิ คุณริทแลนด์”
เธอจับตามองความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ในสีหน้าของเขา มันมีแววแห่งความไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนั้นปรากฏให้เห็นอยู่ ดูเหมือนเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะลืมตาไว้ แต่ในที่สุดมันก็ปิดสนิทลง อุ้งมือที่จับอกเสื้ออยู่คลายลงทีละน้อย... ทีละน้อย และในที่สุดก็ตกลง
ในที่สุดเขาก็ได้รับรู้ในความประสงค์ของเธอแล้ว...
เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งนั้น ปรากฏว่าทั้งห้องอาบไล้ด้วยแสงสีม่วงอ่อน ในห้องนอนนี้ไม่มีหน้าต่างกระจกจะมีก็แต่บานเกล็ด ซึ่งขณะนี้เปิดอยู่ สายลมอ่อนพัดผ่านเข้ามาในห้อง มันมีกลิ่นอายของน้ำเค็มคละเคล้าอยู่ในสายลมนั้นไม่เพียงแต่เขาจะได้กลิ่นอายของท้องทะเลเท่านั้น แต่ยังรู้สึกได้ยินเสียงสาดซ่าของระลอกคลื่นอีกด้วย
บาดแผลจากกระสุนปืนไม่ได้ตรึงท่อนขาเขาไว้ราวถูกทับด้วยท่อนเหล็กอีกต่อไป แต่ยังมีอาการปวดหนึบคงอยู่และเมื่อเขาเริ่มรู้สึกตัว อาการปวดดังกล่าวก็ดูจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น
สเกาท์รู้สึกกระหายน้ำมาก น้ำสมุนไพรที่ผสมด้วยโปรตีนจากเลือดหรือเนื้อสัตว์อะไรบางอย่างที่เธอบังคับให้เขาดื่มเข้าไปราวจะจับกรังอยู่ในช่องปากและเพดาน หรือไม่มันก็อาจจะเป็นเพราะเหล้าเถื่อนที่เธอป้อนใส่ปากเพื่อให้เขาได้หลับอย่างหมดสตินั่นก็ได้
แม้จะยังมึนงงอยู่บ้าง แต่อาการปวดร้าวในศีรษะที่เคยเกิดอยู่ได้หายไปหมดสิ้นแล้ว สเกาท์ออกจะกลัดกลุ้มที่ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองผ่านมากี่วันแล้ว และวันนี้ควรจะเป็นวันอะไร งานเลี้ยงฉลองเปิดโรงแรมคอรัล รีฟ ได้ผ่านมานานเท่าไร และสิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุดในตอนนี้คือ... เขาอยู่ที่ไหน...
เมื่อเขาพลิกศีรษะมาทางด้านหน้าของเตียงนอน ก็ต้องเพิ่งตาค้างด้วยความแปลกใจ
มีผู้หญิงสามคนยืนอยู่นอกมุ้งตรงปลายตีนเตียงคนหนึ่งนั้นยังสาวและออกจะสวยมากด้วย คนถัดมารูปร่างค่อนข้างท้วมไม่ใคร่สวยเท่าไรนัก คนที่สามนั้นใบหน้ากลมแป้นเหมือนหน้าปัดนาฬิกาเรือนโต ทุกคนต่างมีผ้านุ่งลวดลายเป็นดอกดวงสวยงามพันเรือนกายท่อนล่างไว้อย่างมีศิลป์ แต่ท่อนบนไม่ได้สวมใส่อะไรเลย มันเป็นภาพที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็น
เมื่อหญิงสาวทั้งสามสังเกตว่าเขาได้ลืมตาตื่นขึ้น และกำลังจ้องมองพวกตนด้วยความแปลกใจ ต่างก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ วิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันด้วยภาษาฝรั่งเศส แม้จะแผ่วเบาแต่ท่าทางก็บอกความตื่นเต้นอย่างไรบอกไม่ถูก
อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกขัดเขินที่เกิดขึ้น ทำให้เขาเอื้อมไปดึงผ้าขึ้นมาปิดบังเรือนกายจนถึงท่อนบน
“คนนั้น... เขาชื่ออะไรนะ... เจ้าหญิงน่ะ... แชนทอล... ใช่ไหม... เขาไปไหนเสียล่ะ” สเกาท์เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบห้าว
คำถามซื่อๆ แต่ตะกุกตะกักของเขาทำให้หญิงสาวทั้งสามหัวเราะกันออกมาอีก และสเกาท์เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองคือผู้ที่ถูกพวกหล่อนวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เพราะแต่ละคนคอยแต่จะเหลือบตามองมาที่เขาอยู่ตลอดเวลาเสียงหัวเราะนั้นดูจะทำให้อาการปวดศีรษะกลับคืนมาอีก
“ขออะไรดื่มหน่อยได้ไหม” เขาเอ่ยถามออกไป
“ได้สิคะ”
เขาหันขวับไปมองทางประตู และเป็นหญิงสาวคนที่ลักพาตัวเขามากำลังก้าวเข้ามาในห้องพอดี พร้อมด้วยถาดที่มีเหยือกน้ำกับแก้ว
“ฉันคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าคุณตื่นขึ้นจะต้องหิวน้ำ” เธอหันไปทางหญิงสาวทั้งสามคน บอกกับพวกหล่อนเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “ขอบใจมากนะ” และยังคงพูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาฝรั่งเศสต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ” เขาถามอย่างไม่พอใจ
“ไม่มีอะไรหรอก เขาอาสาว่าจะมาเฝ้าคุณให้ตอนที่ฉันพักผ่อนน่ะค่ะ” เธอบอกขณะรวบประตูมุ้งทั้งสองข้างไปพันไว้กับเสาเตียง “ฉันก็เลยหลบไปอาบน้ำแล้วก็งีบไปได้สักครู่ก็เลยต้องขอบใจที่พวกเขาช่วยกันดูแลคุณให้... เรื่องมันก็แค่นั้น”
เขาเดาเอาว่า กลิ่นหอมระรื่นที่อบอวลอยู่ในห้องยามนี้คือกลิ่นกายภายหลังจากที่เธอได้อาบน้ำแต่งตัวใหม่เรียบร้อยแล้ว และยิ่งกว่านั้นเรือนผมเหยียดยาวที่เขาเคยลูบไล้ก็ยังเปียกชื้นอยู่
หญิงสาวชาวเกาะคนหนึ่งกำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่บอกความมีชีวิตจิตใจ และอีกสองคนที่รับฟังอยู่ก็ยกมือขึ้นปิดปากพยายามจะไม่หัวเราะออกมาดังๆ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ
“เขาว่าอะไร” สเกาท์ถามแชนทอล ที่กำลังดึงผ้าปูที่นอนให้ตึงอยู่รอบเตียง เธอหลีกเลี่ยงที่จะมองหน้าเขา
“พวกเขา... เอ้อ... พวกเขาบอกว่า ก่อนหน้านี้เหงื่อคุณออกมากก็เลยช่วยกันเช็ดตัวให้”
“ขอบใจนะ” เขาบอกกับหญิงสาวทั้งสามเป็นภาษาฝรั่งเศส และพวกหล่อนทั้งสามก็เอียงตัวเข้าหากันหัวเราะออกมาดังลั่น “เอ... ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ามีเรื่องขบขันอะไรกันนักหนา ทำไม ผมพูดภาษาฝรั่งเศสผิดหรือว่าสำเนียงมันใช้ไม่ได้”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” แชนทอลเองก็พยายามระงับรอยยิ้มไว้ด้วยความยากลำบาก
เสียงกระซิบกระซาบพูดคุยของหญิงสาวเหล่านั้นดูจะทำลายประสาทสเกาท์ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าให้หญิงสาวทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่
“แล้วตอนนี้เขากำลังพูดเรื่องอะไรกันอีกล่ะ”
“เรื่องคุณน่ะสิ”
“นั่นน่ะผมรู้แล้ว... แต่ที่แน่ๆ น่ะ เขาวิจารณ์กันว่ายังไง” เขาคว้ามือแชนทอลไว้ “หรือว่ามีอะไรผิดปกติกับขาผมคุณคงไม่ได้ตัดทิ้งตอนที่ผมหมดสติหรอกนะ” เขาเปิดผ้าขึ้นดูร่างกายส่วนนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังคงอยู่
เธอดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาด้วยท่าทางบอกความรำคาญใจ แล้วก็เอาปรอทใส่เข้าใต้ลิ้นให้
“อยากรู้จะบอกให้ก็ได้ว่า พวกนี้เขาชอบผมคุณ”
“ผม... บนหัวผมน่ะเรอะ” เขาพูดทั้งที่ยังอมปรอทอยู่ในปาก แล้วก็ยังยกมือขึ้นจับศีรษะตัวเองอีกด้วย
“ขนบนร่างกายคุณ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
สเกาท์แทบจะกลืนปรอทเข้าไปทั้งแท่ง…
“อะไรนะ”
“ผู้ชายชาวเกาะไม่มีขนบนหน้าอกหรอก แต่คุณมี” เธอพูดเป็นเชิงอธิบาย กลืนน้ำลายติดๆ กันอยู่ “แล้วก็มีมากเสียด้วยสิ คุณริทแลนด์”