บทที่ 9
แชนทอลรีบคว้าผ้ามาซับน้ำซุปที่ราดอยู่บนแผงอกที่ปกคลุมด้วยไรขนนั้น ขณะที่เธอโน้มตัวมาข้างหน้านั้น พวงผมที่สยายยาวลงมาบนตักเขาซึ่งขณะนั้นมีเพียงผ้าห่มบางๆ เพียงผืนเดียวที่ปิดบังไว้
มันทำให้ประสาทของเขาตึงเครียดขึ้น รู้จักความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ดีว่ามันเป็นความต้องการทางเพศ สัมผัสจากพวงผมที่คลอเคลียอยู่กับหน้าท้องและต้นขาราวถูกลูบไล้ด้วยริบบิ้นกำมะหยี่สีดำ แม้เธอจะร้ายกาจเหมือนตัวเรือด และจัดว่าเป็นบุคคลอันตราย แต่กระนั้นเขาก็ยังอยากลูบไล้เรือนผมนี่เสียเหลือเกิน ไม่เพียงแต่เรือนผมเท่านั้น แต่ยังเนียนผิวที่นุ่มละมุนอีกด้วย อยากพรมจูบทั่วทั้งตัวด้วยซ้ำ
เขารวบพวงผมเข้าไว้ในกำมือคล้ายกับจะเอามันออกจากตัก มือของเธอหยุดชะงักอยู่ห่างจากแผงอกไม่ถึงนิ้วสายตาประสานกันอยู่ทั้งใบหน้าก็ลอยอยู่ใกล้ ลมหายใจที่สัมผัสอยู่กับใบหน้าเขายามนี้ดูจะแรงเร็วขึ้น เขาจับตาอยู่กับเรียวปากที่เผยอค้าง อยากประทับจูบลงบนเรียวปากคู่นั้น เหมือนที่เคยทำมาแล้วอีกครั้ง
“หน้าอกผมไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาพูดห้วนๆ
เธอยืดร่างขึ้นทิ้งผ้าเช็ดปากลงในถาด และเขาก็รีบดื่มน้ำซุปจนหมดด้วย อดย่นจมูกไม่ได้เมื่อดื่มอึกสุดท้ายเข้าไป
“เมื่อไหร่ผมถึงจะกินอาหารแข็งได้เสียทีล่ะ หรือว่ามันเป็นแผนของคุณที่จะทำให้ผมต้องสู้กับความหิวให้มากร่างกายจะได้อ่อนแอ เลยให้กินซุปม้าเพียงรักษาชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ... ”
“เปล่าเลย ฉันอยากจะให้คุณแข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้เสียด้วยซ้ำ”
“เพื่อว่าผมจะได้... คุณจะให้ผมทำอะไรนะ... สร้างสะพานให้ใช่ไหม?”
“ถูกต้อง” เธอตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมว่า คุณตากแดดมากไปหน่อยแล้วละมั้งเจ้าหญิง” เขาพูดปนหัวเราะ “ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากจับตัวคุณส่งตำรวจ อย่าลืมว่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองแล้วพาร์ริช ไอส์แลนด์ คือดินแดนของสหรัฐอเมริกาซึ่งผมคิดว่าคุณจะต้องรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แม้ว่ามันจะยังเป็นป่าดงดิบไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนส่วนอื่นๆ ในแผ่นดินสหรัฐ แต่ก็ต้องคุ้มครองมาถึงที่นี่ด้วยเพราะฉะนั้น ทันทีที่ผมจับตัวคุณส่งศาลได้ คุณจะติดตารางข้อหาลักพาตัวผมทันที”
“ก็อาจจะเป็นได้ค่ะ... แต่ว่าก่อนอื่นคุณจะต้องสร้างสะพานให้ฉันก่อน”
“สะพานอะไรกันน่ะ... แล้วนั่นอะไรอีกล่ะ” เขาถามเสียงเครียดเมื่อเห็นเธอพยายามยัดเยียดอะไรบางอย่างเข้ามาให้ในมือ
“น้ำกะทิค่ะ คั้นมาจากมะพร้าวไง รับรองว่าคุณต้องชอบแน่”
เขายอมรับมาดื่มแต่โดยดี หลังจากกินซุปเนื้อม้าเข้าไปแล้ว... รสชาติของน้ำกะทิที่เธอให้กินดูจะเลอเลิศเพราะเหมือนมิลค์ เชคไม่มีผิด
“โอเค ผมดื่มแล้ว ตอนนี้ตอบคำถามผมเสียทีสิ”
“คำถามอะไร”
“อ้าว... ก็ที่ผมถามเรื่องสะพานนั่นยังไงล่ะ ผมอยากรู้ว่าสะพานอะไรที่คุณพูดถึงอยู่ตลอดเวลาน่ะ”
“ฉันว่าเรื่องนั้นเราเอาไว้พูดกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า ตอนนี้คุณอยากเข้าห้องน้ำหรือเปล่าล่ะ?”
“ผมน่ะปวดจนแทบน้ำตาจะร่วงแล้ว”
“ที่จริงคุณน่าจะบอกนะ” น้ำเสียงของเธอเหมือนตำหนิ ก่อนจะเอื้อมมือลงไปใต้เตียงหยิบกระบอกกระเบื้องเคลือบขึ้นมา
สเกาท์มองกระบอกใบนั้น แล้วก็เลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าเธอ รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นทั้งใบหน้า
“ฉันว่ามันออกจะโง่สักหน่อยที่มานึกอายกันตอนนี้นะคะคุณริทแลนด์ เพราะคุณก็รู้ว่าฉันพยาบาลคุณตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมา เนื้อตัวคุณไม่เป็นความลับสำหรับฉันหรอกใช้กระบอกนี่ไปก่อน ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องทนปวดไป”
เขากัดริมฝีปาก ท่าทางของเธอเอาจริง และขณะนี้อาการปวดปัสสาวะก็เหลือทนเต็มที
“ถ้ายังงั้น... เอ้อ... ถ้าผมจะขอความเป็นส่วนตัวหน่อยจะได้ไหมล่ะ”
เธอหันหลังเดินออกจากห้องไป ขณะที่มาก็อดคิดในใจไม่ได้ ว่าผู้หญิงอะไรช่างขาสวยเหลือเกิน เธอนุ่งกางเกงขาสั้นแบบที่ผู้หญิงทั่วไปสวมใส่กันอยู่ ไม่ใช่โสร่งแบบพื้นเมืองที่เพียงแต่เอามาพันเรือนกายท่อนล่างไว้ เขาอดโล่งใจไม่ได้ที่อย่างน้อยเธอยังมีเสื้อใส่อยู่ด้วย เสื้อสั้นตัวนั้นตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายธรรมดา และผูกชายเป็นปมอยู่ตรงหน้าท้อง
จากทรวงอกที่ส่ายไหว ทุกครั้งที่เธอเคลื่อนไหวร่างกายเขากล้าท้าพนันได้เลย ว่าเธอไม่ได้สวมใส่ชุดชั้นในไว้ด้วย
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังสวมเสื้อไว้ ซึ่งทำให้เขาอดดีใจไม่ได้ เพราะเขาคงไม่มีปัญญาแสดงความขุ่นเคืองใส่เธอแน่ถ้าเธอเดินตรงเข้ามาหาด้วยทรวงอกที่เปิดเปลือย แต่ที่เห็นเพียงฝ่าเท้ากับท่อนขานั่นก็ทำให้เขาแทบจะครองสติไม่ไหวอยู่แล้ว
เธอเคาะประตูก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง สเกาท์รู้สึกอับอายขายหน้าอย่างไม่เคยประสบมาก่อนเลยในชีวิต เมื่อเธอเอากระบอกที่เขาถ่ายปัสสาวะไปเทให้อย่างหน้าตาเฉย
“ฉันคิดว่า... คุณควรจะนอนพักได้แล้วนะคะ... คุณริทแลนด์ หน้าตาคุณซีดมาก” เธอวางมือลงบนไหล่ดันร่างเบาๆ เพื่อให้นอนลง
แต่เขาตวัดแขนข้างหนึ่งโอบเอวเธอไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับพวงผมไว้กระชับมั่น เมื่อเห็นเธอนิ่วหน้าด้วยรู้สึกเจ็บจึงคลายมือออกเล็กน้อย
“คุณจับตัวผมเพื่อเรียกค่าไถ่ใช่ไหม” คำพูดประโยคนั้นผ่านริมฝีปากที่เผือดซีด... ซึ่งเกิดจากความเจ็บปวดของร่างกาย ความโกรธและอีกหลายอารมณ์ที่ประสมประสานกันอยู่
“ไม่ใช่”
“สายตาของคุณที่มองผม เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องรูปร่างหน้าตาของผม คุณคงไม่ได้ลักพาตัวผมมาทั้งที่อยู่ในท่ามกลางผู้คนเพราะรู้สึกดีว่าผมหล่อ มีเสน่ห์กว่าผู้ชายคนอื่นๆ ยังงั้นใช่ไหม”
“ถ้าฉันพูดอะไรตามความจริงมันก็คงทำให้คุณรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยเลยนะคะคุณริทแลนด์ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดหรอก การที่ฉันเอาตัวคุณมาที่นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรูปร่างหน้าตาคุณเลย”
“ถ้ายังงั้นก็หมายความว่า... เรื่องนี้มีการวางแผนกันมาตั้งแต่แรก”
“ใช่”
“แสดงว่าคุณเลือกที่จะต้องเป็นผม หลังจากนั้นคุณก็วางแผนที่จะให้ผมสังเกตเห็นคุณในงานปาร์ตี้นั่น”
“ถูกต้อง”
อ้อมแขนที่โอบอยู่รอบเอวแน่นกระชับขึ้นรั้งร่างเธอเข้ามาใกล้ ขาทั้งสองข้างของเธอกระแทกเข้ากับขาเขาเต็มแรง แต่ในยามนี้สิ่งที่เขารับรู้ก็คือเนื้อตัวที่เนียนนุ่มละมุนมือเท่านั้นแทบจะไม่รับรู้อาการปวดแปลบที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
“ เพราะอะไร... บอกผมมา... ”
“ก็ฉันบอกคุณตั้งแต่แรกแล้วไง ว่าฉันต้องการให้คุณสร้างสะพานให้”
“สะพานอะไร” เขาถามเสียงกระชาก
เธอดิ้นรนจนหลุดพ้นจากการเกาะกุม สลัดผมไปข้างหลังอย่างไม่พรั่น
“ฉันจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณฟัง เพียงแต่อยากจะรอเวลาให้คุณแข็งแรงกว่านี้อีกสักหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าคุณใจร้อนอยากรู้เร็วๆ เอาเป็นพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน”
เขายังจับตาอยู่กับใบหน้าเมื่อยอมให้เธอดันร่างลงบนเตียงนอน เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงได้เลื่อนเหยือกน้ำมาไว้ให้ใกล้มือ ดึงมุ้งให้คลุมเตียงอย่างเรียบร้อยแล้วจึงได้ดับตะเกียงลง
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินไปตามพื้นไม้ เธอเดินด้วยเท้าเปล่าไม่ได้สวมรองเท้าไว้และเขาก็จับตามองจนร่างที่เป็นเสมือนรูปเงาหายออกไปจากห้อง
สเกาท์ยังคงเพ่งสายตาไปในความมืดอยู่อีกนาน เขายังไม่ง่วง ไม่รู้สึกอยากนอนแม้แต่น้อย จิตใจกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจข่มตาข่มให้ใจหลับลงได้
เขาเฝ้าถามตัวเองอยู่ว่า... มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินอยู่ต่อไป แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่มาแต่ไหนโดยความเป็นจริงแล้ว หลายคนยังลงความเห็นว่าเขาเป็นคนที่มีสติปัญญาล้ำเลิศเหนือใครเสียด้วยซ้ำ
เขาประมาณเอาว่าน้ำหนักตัวของเธอประมาณเจ็ดสิบหรืออย่างมากที่สุดก็แปดสิบปอนด์ แต่เห็นได้ชัดว่าส่วนสูงแปลกตากว่าผู้หญิงชาวเกาะทั่วไป แต่เขาก็ยังไม่ลืม ว่าถึงแม้เธอจะสวมรองเท้าส้นสูงแต่ก็ยังสูงเพียงแค่คางเขาเท่านั้น เป็นความสูงที่เหมาะแก่การจูบ และ
“ห่าเอ๊ย... ” เขาพ่นคำผรุสวาทอยู่ในความมืดซึ่งมีเพียงแสงจันทร์สลัวสาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่าง เขาไม่อยากคิดถึงจูบนั้น เพราะมันจะทำให้ความปรารถนาทางร่างกายรุกรานขึ้นมาอีก มันจะเรียกร้องให้เขาใฝ่หาแต่สิ่งที่ต้องใจ