บทที่ 5
... แชนทอลเต็มไปด้วยความตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในครั้งนี้
“คุณไปฟาดหัวเขาทำไมน่ะอังเดร... ” เธอถามอย่างตกใจ
ผู้ชายที่ลอบเข้ามาถึงข้างหลังสเกาท์กำลังคุกเข่าอยู่ข้างตัวเขาในขณะนี้
“ผมกลัวว่าเขาจะทำร้ายคุณผู้หญิงน่ะครับ”
“แต่คุณก็เห็นนี่ว่าฉันจัดการกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้แล้วนี่เขาเจ็บมากหรือเปล่า”
“ผมฟาดหัวเขาแรงไปหน่อย เขาก็เลยหมดสติไปครับ”
แชนทอลสังเกตเห็นแววแห่งความไม่เข้าใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของชายหนุ่มชาวพื้นเมืองคนนั้น จึงเปลี่ยนน้ำเสียงเสียใหม่
“ฉันรู้ว่าที่คุณทำอย่างนั้นเพื่อป้องกันอันตรายให้กับฉัน ซึ่งฉันก็ขอบใจมากนะ แต่ตอนนี้ฉันว่าเราเห็นจะต้องรีบจัดการเรื่องนี้เสียแล้วละ”
เธอเองก็คุกเข่าอยู่ข้างร่างของวิศวกรหนุ่มที่นอนสิ้นสติอยู่บนพื้นดิน ค้นไปทั่วทุกกระเป๋าจนพบผ้าเช็ดหน้าจึงได้คลี่ออกและเอาพันห้ามเลือดไว้เหนือบาดแผลจากกระสุนปืนเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ด้านหน้าของเสื้อราตรีสีขาวชุดนั้น
“รู้สึกว่าเลือดเขาจะออกมากทีเดียวนะนี่”
“รถจี๊ปจอดอยู่ไม่ไกลหรอกครับ ผมจะอุ้มเขาไปเอง”
แม้รูปร่างของชายหนุ่มชาวพื้นเมืองจะไม่สูงใหญ่เท่าไรนัก แต่ก็แข็งแรงมาก เขาใช้ความพยายามออกแรงยกร่างสเกาท์ขึ้นพาดไหล่ และด้วยความช่วยเหลือของแชนทอลอีกแรงหนึ่ง เขาจึงลุกขึ้นยืนได้ แต่ก็ออกจะซวนเซ
“ไม่หนักอย่างที่คิดหรอกครับ” อังเดรบอก
“เนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้าม” แชนทอลเอ่ยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
ซึ่งคำพูดประโยคนั้นของเธอทำให้อังเดรเหลือบตามองหน้าอย่างสงสัย ทำให้เธอต้องรีบเดินสายตาไปเสียทางอื่น ที่เธอรู้ว่าเนื้อตัวของสเกาท์เต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะเธอได้สัมผัสแผงอกใต้เสื้อทักซิโด้ที่เขาสวมใส่อยู่สัมผัสความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่ตึงตัว ก่อนหน้าที่มันจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น
ก่อนจะออกเดินตัดผ่านเข้าไปในราวป่า เธอจึงได้พิจารณาศีรษะส่วนที่ถูกตีจนบวมปูดออกมา ขณะปลายนิ้วเคลื่อนไปตามหนังศีรษะนั้น เขาก็ครางเบาๆ
“เราเห็นจะต้องรีบหน่อยแล้วนะอังเดร” เธอบอกพร้อมกับถอดรองเท้าออกอย่างรีบเร่ง
“ครับ”
หลังจากนั้น หญิงสาวกับชายหนุ่มชาวพื้นเมืองก็เดินผ่านราวป่าแห่งนั้นด้วยฝีเท้าเงียบกริบ แม้ไม่มีผู้ใดที่อยู่ในบริเวณรีสอร์ตจะได้ยินเสียง เนื่องจากเสียงเพลง “แยงกี้ ดูเดิ้ล แดนดี้” ดังกระหึ่มอยู่ ดอกไม้ไฟยังจุดสว่างไสวและสวยงามอยู่เหนือทะเลสาบ เพราะเสียงพลุนั่นเองที่ทำให้ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงปืนที่ดังขึ้น
“ฉันจะนั่งข้างหลังกับเขาเอง” ทันทีที่ถึงจี๊ปคันที่อังเดรจอดทิ้งไว้ แชนทอลก็กระโดดขึ้นในที่นั่งตอนหลังอังเดรวางร่างสเกาท์ลงข้างกาย และแชนทอลก็ประคองศีรษะเขาลงบนตักเมื่อเรียบร้อยแล้วอังเดรก็กระโดดขึ้นหลังพวงมาลัยติดเครื่องขึ้นและในนาทีต่อมารถคันนั้นก็พุ่งผ่านไปตามเส้นทางด้วยความชำนาญของคนขับ
สเกาท์ยังคงอยู่ในสภาพหมดสติ แม้ว่าทุกครั้งที่รถจี๊ปกระดอนขึ้นลงด้วยเส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อเขาจะครางออกมาด้วยความเจ็บก็ตาม
แชนทอลก้มลงมองใบหน้า ไม่ใคร่พอใจกับความเผือดซีดเสียเลย ไรเคราที่แม้จะเพิ่งผ่านการโกนมาใหม่ ๆ ดูเขียวครึ้มตัดกับสีของใบหน้ายามนี้
โดยความเป็นจริงแล้ว การลักพาตัวครั้งนี้ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพียงแต่ไม่ได้มีเรื่องของการใช้ปืนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นมันจึงสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นกับแชนทอลไม่น้อยเลย
หญิงสาวพร่ำบอกตัวเองอยู่ว่า... เธอยิงคนเข้าแล้ว... อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาเสียเลือดมากถึงตายลง... แล้วสมมติว่า... เธอไม่สามารถจะผ่าเอาหัวกระสุนที่ฝังในอยู่ออก และยังทำลายเส้นประสาทจนทำให้เขาเป็นอัมพาตไปเล่า... สมมติว่า...ถ้าเธอไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้เลยเหตุการณ์ในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ยิ่งเวลาผ่านไป คำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ถ้า... ” ก็ดูจะยิ่งเพิ่มความน่ากลัวขึ้น แชนทอลมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย สังเกตเห็นอยู่ว่า อังเดรขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะเห็นแก่คนเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องรักษาความเร็วไว้เพราะรู้ว่ากำลังทำงานแข่งกับเวลาอยู่
เส้นทางสายที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตัวเกาะนั้น ถ้าขับในตอนกลางวันที่มีแสงสว่าง ก็นับว่าเป็นการท้าทายความสามารถอยู่แล้ว แต่ถ้าขับในตอนกลางคืนเช่นนี้ มันยิ่งกว่าเส้นทางในฝันร้ายที่น่ากลัวยิ่งนัก เพราะมันเป็นถนนดินที่ทอดตัวคดเคี้ยวผ่านเข้าไปในบริเวณภูเขาที่ปกคลุมอยู่ด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยขณะเดียวกันก็มีหุบเหวลึกล้ำอยู่ข้างทาง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่อังเดรต้องเหยียบเบรกอย่างแรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ชนเข้ากับแพะภูเขาตัวหนึ่งที่ตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด ร่างของสเกาท์กระดอนขึ้นและตกลงอย่างแรงทำให้เขาครางออกมาด้วยความเจ็บปวด และยังพ่นคำผรุสวาทออกมาด้วย แชนทอลรีบปกป้องด้วยการประคองศีรษะเขาแนบอยู่กับทรวงอกราวจะขออภัย
กางเกงที่เขาสวมใส่มีคราบเลือดจับอยู่เกรอะกรัง และโดยไม่ต้องใช้ความคิดเลยแม้แต่น้อยที่แชนทอลฉีกชายกระโปรงออกมาแล้วพันผูกบาดแผลที่ยังมีเลือดลามไหลอยู่ไม่ยอมหยุด
เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องทรวงอกข้างที่เปิดเปลือยอยู่จนเมื่อสเกาท์กลิ้งศีรษะไปมา ซุกใบหน้าอยู่กับเนินทรวงนั้น ความสากของไรเคราเสียดสีอยู่กับผิวเธอ ริมฝีปากของเขาก็แนบอยู่กับยอดทรวง สัญชาตญาณแห่งการปกป้องเนื้อตัวตามแบบผู้หญิงที่ทำให้เธอรวบพวงผมที่สยายยาวอยู่เบื้องหลังมาด้านหน้าให้มันปกคลุมเนินทรวงไว้ความยาวของเรือนผมที่ปกคลุมพอจะช่วยให้เธอคลายใจลงได้บ้าง
เมื่อรถวิ่งมาถึงสะพาน อังเดรจึงได้ชะลอความเร็วลงในที่สุด หลังจากนั้นเขากับแชนทอลก็ช่วยกันยกร่างสเกาท์ออกจากรถ โดยอังเดรประคองทางด้านศีรษะกับแผงไหล่ และแชนทอลช่วยยกขา หลังจากนั้นก็ช่วยกันประคองร่างข้ามสะพานไม้โยกเยกนั้นไปอย่างทุลักทุเลเต็มที
บรรดาชาวบ้านทั้งหลาย ซึ่งราวจะรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ต่างหลั่งไหลมาจากกระท่อมทับของตน แม้ว่าขณะนั้นจะเป็นเวลากลางดึกก็ตาม คบไฟสว่างจ้าอีกฟากหนึ่งของสะพาน แชนทอลตะโกนขอความช่วยเหลือ เพียงครู่ทุกคนก็มาถึงอีกฟากหนึ่งของลำธารลึกและผู้คนก็เข้ามารุมล้อมสอบถามกันจ้อกแจ้กไปหมด
เธอออกคำสั่งให้ผู้ชายคนนึงเข้ามาช้อนปลายเท้าของสเกาท์ไว้
“พาเขาเข้าไปในบ้านเร็ว” เธอออกคำสั่งเป็นภาษาฝรั่งเศสเร็วปรื๋อ ก่อนที่จะออกวิ่งไปยังบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากบ้านหลังอื่นๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ วิ่งตัดเฉลียงกว้าง กระชากประตูให้เปิดออก คว้าตะเกียงที่อยู่ใกล้มือที่สุดมา
เมื่อเธอจุดตะเกียงติดก็พอดีกับที่ริทแลนด์ถูกอุ้มผ่านประตูบ้านเข้ามา
“พาเข้าไปในห้องด้านหลังเลย... เร็วเข้า”
ร่างของเขาถูกวางลงบนโต๊ะตัวยาวภายในห้องด้านหลังของตัวบ้านที่ปราศจากการตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เป็นห้องที่จัดไว้สำหรับคนไข้ที่จำเป็นต้องรับการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน แชนทอลขยับศีรษะสเกาท์ให้หันไปข้างหนึ่งตรวจรอยช้ำบวมบนกะโหลกศีรษะ พบว่ามันค่อนข้างแข็งแต่ไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น
“คิดว่า ถ้าผ่าเอากระสุนออกโดยไม่ยุ่งยากก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก” เธอระบายความคิดออกมาดังๆ กัดริมฝีปากล่างข่มความร้อนใจ “แต่นั่นหมายความว่าเขาจะต้องไม่เสียเลือดมากเกินไปด้วยนะ และถ้ากล้ามเนื้อตรงขาอ่อน... ตัดกางเกงเขาออกเร็ว”
เธอรีบใช้น้ำยาฆ่าเชื้อล้างมือและท่อนแขนอย่างรวดเร็วเช่นที่เคยเห็นบิดาทำ เมื่อหันกลับมาก็พบว่าผู้ชายที่เธอลักพาตัวมานอนเปลือยกายอยู่บนโต๊ะยาวตัวนั้น บาดแผลที่ปรากฏอยู่บนต้นขาซ้ายน่าเกลียดเหลือเกิน และจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดเป็นการด่วน
สิ่งที่สร้างความกลัดกลุ้มให้เกิดกับแชนทอลในยามนี้ก็เนื่องจากขณะนี้บิดาไม่อยู่ และการผ่าตัดก็ไม่ใช่งานที่เธอมีความเชี่ยวชาญแต่อย่างใดเลย แต่ขณะนี้เธออยู่ในภาวะจำยอม สิ่งที่พอจะทำให้เกิดความสบายใจขึ้นได้บ้างก็คือ หญิงสาวชาวบ้านซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยของบิดาได้เดินทางมาถึงแล้ว และขณะนี้กำลังทำความสะอาดร่างกายให้สเกาท์อยู่
แชนทอลดูดมอร์ฟีนเข้าหลอด ก่อนจะฉีดเข้าเส้นเลือดของผู้ป่วย
“ฉันเห็นจะรอเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว อังเดร อยู่ก่อนนะอย่าเพิ่งไปไหน ฉันต้องการให้คุณช่วยจับตัวเขาไว้หน่อยส่วนนิคกี้ดูแลเกี่ยวกับเรื่องตะเกียงให้ดี เราต้องการแสงสว่างมากและจะต้องมีแสงตลอดเวลาด้วย”
“ครับ คุณผู้หญิง”
เธอจัดวางเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดให้อยู่ใกล้มือหยิบมาสค์ขึ้นมาคาดส่วนล่างของใบหน้า และพยักหน้าให้ผู้ที่ยืนอยู่รอบโต๊ะตัวนั้นทำเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นเธอก็เอาผ้าผืนสะอาดมาพันท่อนขาของสเกาท์ไว้ เหลือแต่เพียงส่วนที่จะต้องรับการผ่าตัด
ถ้าเพียงแต่พ่อจะอยู่ที่นี่... เธอคิดขณะเอื้อมไปหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมาถือไว้...
แต่ถึงอย่างไรเธอก็จำต้องยอมรับความจริง ว่าขณะนี้บิดาไม่ได้อยู่ที่นี่ และชีวิตของสเกาท์ก็แขวนอยู่กับความเป็นความตายเท่าเทียมกัน จะด้วยเหตุผลประการใดก็ตามทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความผิดของเธอเพียงคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาเกิดตายลง
การผ่าตัดครั้งนี้ เป็นครั้งที่เธอกลัวอย่างที่สุด ด้วยเกรงว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ตาย แต่ถ้าการผ่าตัดพลาดไปถูกประสาทสำคัญ มันก็อาจจะทำให้เขาต้องกลายเป็น คนพิการไปตลอดชีวิต ซึ่งเท่ากับเธอได้ฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นด้วยเช่นกัน
ก่อนจรดมีดผ่าตัดลง เธอได้อธิษฐานต่อพระเจ้าของชาวคริสเตียน หลังจากนั้นจึงได้อธิษฐานต่อเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่ามีเดชานุภาพปกป้องคุ้มครองให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข
แต่ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะพร่ำอธิษฐานต่อเทพเจ้าองค์ใดทั้งสิ้น...