บทที่ 4
“แชนทอล... ”
“คะ... ”
เสียงขานรับเป็นภาษาฝรั่งเศสนั้น ทำให้เขาหันขวับมามอง และพบว่าเธอยืนอยู่เกือบจะชิดตัวเขาเสียด้วยซ้ำราวกับนางไม้ที่ปรากฏตัวขึ้นในยามค่ำคืน และยืนรอเขาอยู่ตรงนั้นก่อนหน้าแล้ว
“คุณ... คุณเป็นอะไรกันแน่ นางไม้หรืออะไร...”
เธอเปล่งเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วออกมา เป็นเสียงที่ปลุกอารมณ์ให้เริงโลดขึ้น
“ฉันก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น มีเลือดมีเนื้อเหมือนคุณนั่นแหละค่ะ”
เขากระตุกเงื่อนเนคไท และปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออก แต่แล้วมือนั้นก็ต้องหยุดทำงานลง มันคล้ายกับเขาถูกสะกดจิตด้วยความงามอันล้ำเลิศอีกครั้ง สายตากวาดไปทั่วใบหน้า ระเรื่อยลงมาตามช่วงลำคองามระหงและเนินทรวงที่พุ่งผงาด และกับทุกสัดส่วนของร่างกายเท่าที่สายตาจะมองเห็นได้
“ใช่... คุณพูดถูก... คุณเป็นผู้หญิงที่มีเลือดมีเนื้ออย่างสมบูรณ์แท้จริง” เขาสืบเท้าเข้าไปหา “แต่ที่คุณบอกว่าเหมือนผมน่ะ ไม่จริงหรอกนะ มันเป็นไปไม่ได้ คุณไม่เหมือนใครที่ผมเคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้เลยสักคน”
เขาจำเป็นต้องถูกเนื้อตัวเธออีกครั้งง... เพื่อเป็นการยืนยันความมั่นใจ ว่าเป็นมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้อจริงๆ เขายื่นมือออกไปแตะลงตรงส่วนโค้งของเนินทรวงเป็นสิ่งแรก... เนินทรวงที่ถูกดันขึ้นเหนือส่วนเว้าของคอเสื้อ ความเนียนนุ่มของมันชวนให้อยากสัมผัสแตะต้องมากกว่านั้น เขาลูบไล้แต่เพียงบางเบาด้วยปลายนิ้วชี้
แล้วเขาก็เลื่อนปลายนิ้วขึ้นลงอยู่กับช่วงลำคองามระหง... ไล้เรื่อยขึ้นไปจนถึงสันกราม เมื่ออุ้งมือโอบลงตรงท้ายทอยนั้น เธอก็แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวยินดีที่จะให้เขาประทับจูบแผ่วลง
กลิ่นหอมของผลไม้ที่ผสมอยู่กับแอลกอฮอล์หอมหวนอยู่ในลมหายใจของเธอ มันทำให้สมองของเขามึนงงไปขณะเดียวกันก็กระตุ้นประสาทสัมผัสในร่างกาย สร้างความร้อนรุ่มให้เกิดขึ้นปลายลิ้นจึงโลมไล้ไปตามเรียวปาก ในยามนั้นที่เขาครางชื่อเธอออกมาด้วยสุ้มเสียงแผ่วโผย ชื่อนั้นเป็นประดุจมนตราเช่นเดียวกับร่างกายของเธอ
ด้วยท่าทีสนองตอบ เธอทาบฝ่ามือลงกับแผงอกริมฝีปากของเขาเผยอออก และประทับจูบเร่าร้อนลง พร้อมกับที่อ้อมแขนข้างหนึ่งตระหวัดรัดร่างเธอไว้
เรือนร่างที่ได้ส่วนสัด งดงามอย่างหาที่ติไม่ได้นั้นแนบชิดอยู่กับร่างกายของเขา สเกาท์ได้สัมผัสความเคร่งครัดของเนื้อตัวที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงทุกกระเบียดนิ้ว ต้นขาที่แนบชิดอยู่กับเขา และในยามนี้ สมองเขาแทบระเบิดด้วยฤทธิ์แห่งปรารถนา
เขาเลื่อนมือลงคลึงเคล้าเนินทรวง ที่มีเพียงเนื้อผ้าบางเบากั้นไว้ สัมผัสความรู้สึกอยู่ว่า ยอดทรวงของเธอเคร่งครัดชูชันขึ้น ราวจะต่อสู้กับปลายนิ้วแข็งแกร่งของเขาอยู่
เขาสอดปลายลิ้นเข้าไปในเรียวปากด้วยความเร่าร้อนที่พลุ่งโพลงอยู่ในใจ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ดื่มชิมลิ้มรสความหวานชื่นจากปากนั้น มันช่างเป็นความหวานอย่างที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อนเลยในชีวิตนี้
หัวใจเขาเต้นระทึกจนอกแทบระเบิด และทำให้ความเป็นชายตื่นตัวเต็มที่จนปวดร้าวทุกแรงเต้นของหัวใจเขาซุกไซ้บนใบหน้าอยู่กับระหว่างทรวง เมื่อแนบร่างเข้าไปให้ชิดกว่าเดิมเขาก็อดคิดอยู่ในใจไม่ได้ ว่าเมื่อเธอได้สัมผัสความเป็นชายที่แข็งขันของเขาในยามนี้นั้น มันจะสร้างความรู้สึกอย่างไรให้เกิดขึ้นบ้าง หรือว่าเธอจะสนองตอบด้วยความร้อนเร่าเท่าเทียมกัน...
เขาถึงกับครางออกมาด้วยความร้อนเร่า เมื่อสัมผัสความรู้สึกอยู่ว่า มือข้างหนึ่งของเธอนั้นกำลังเคลื่อนลงตรงกลางลำตัว คล้ายกับจะรูดซิป...
แต่แล้ว... เขาก็ต้องตะลึงไป เมื่อรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งเย็นเยียบกระแทกเข้าตรงกลางลำตัวในนาทีนั้นที่เธอผละออกห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเรื่องอะไร…”
เขาไม่อาจถามต่อได้จนจบ ดูเหมือนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยต่อออกมาค้างอยู่แค่ริมฝีปาก เมื่อลดสายตาลงและเห็นปากกระบอกปืนที่จ่ออยู่ตรงกลางของลำตัวนั้น
“นี่... นี่คุณจะทำอะไร” สเกาท์ซึ่งอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงเพิ่งจะหลุดคำถามออกมาได้
“ฉันก็กำลังเอาปืนจี้คุณอยู่น่ะสิคะ คุณริทแลนด์” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “และถ้าคุณยังล่วงล้ำก้ำเกินฉันมากกว่านี้ล่ะก้อ ฉันยิงคุณจริงๆ”
สีหน้าของเธอจริงจังอย่างน่ากลัว แต่สเกาท์ก็ยังไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้ ว่าเธอคิดจะทำอะไรที่ร้ายแรงจริงถึงเพียงนั้น น่าจะเป็นการขู่กันมากกว่า เขาไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่าผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาสวยสดขนาดนี้ จะทำอะไรที่รุนแรงเช่นการยิงเขาได้
“คุณน่ะเรอะจะยิงผม... มีเหตุผลอะไร” เขาหัวเราะเสียงกร้าว “เพียงแค่ที่ผมจูบคุณนี่น่ะเรอะ”
“เพราะคุณสันนิษฐานเอาเองว่าฉันต้องการให้คุณจูบ ซึ่งเข้าใจผิดถนัด ฉันไม่ใช่ผู้หญิงโสเภณีที่คุณจะล่วงเกินได้หรอกนะ”
เขายกมือทั้งสองขึ้นเท้าสะเอวไว้ มองหน้าเธออยู่
“ก็แล้วการที่คุณล่อหลอกให้ผมเดินตามออกมาถึงที่นี่ มันจะให้ผมคิดยังไงล่ะ”
“ฉันไม่ได้ล่อหลอกคุณ”
“ที่ทำยังงั้นน่ะเรอะไม่ใช่การหลอกล่อ” เขาตวาดออกไปด้วยความเคืองขุ่นใจ
“คุณตามฉันมาเองต่างหาก ฉันไม่ได้ชักชวนอะไรคุณแม้แต่น้อย”
อารมณ์ขันดูจะเลือนหายไปหมดสิ้นแล้ว
“อย่ามาวางท่ายะโสใส่ผมหน่อยเลยเจ้าหญิง ผมรู้นี่นาว่าคุณอยากจะให้ผมตามมาที่นี่จะแย่ การปฏิเสธแบบของคุณก็เท่ากับการกวักมือเรียกนั่นแหละ คุณไม่เพียงแต่จะชอบจูบของผมเท่านั้นหรอก ยังชอบทุกอย่างที่ผมกำลังจะมอบให้ด้วย” เขาปรายตาลงมองเนินทรวงอย่างมีเลศนัย
“คุณจะพูดยังไงก็พูดไปเถอะ แต่ผมรู้... ว่าสิ่งที่คุณต้องการน่ะมันตรงกันข้าม”
ดวงตาของเธอเป็นประกายน่ากลัว กับคำพูดของเขาประโยคนั้น ทำให้เธอยืดตัวพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น
“ฉันจะบอกให้ ว่าสิ่งที่ฉันต้องการจากคุณมันไม่ใช่จูบหรอกนะ คุณริทแลนด์ เอ้า... หันหลังแล้วก็ออกเดินได้แล้ว”
“คุณจะท่าอะไร”
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง เดินสิ...”
เขาเปล่งเสียงหัวเราะห้วนห้าวออกมา กวาดสายตามองสุมทุมพุ่มพฤกษ์ที่แวดล้อมสถานที่แห่งนี้อยู่ ความหนาทึบของแมกไม้ทำให้แสงจันทร์สาดส่องลงมาได้น้อยมาก
“ขอโทษ ข้างนอกนั่นน่ะมันป่าทั้งนั้นนะ” เขาพูดเป็นเชิงเตือน
“ฉันสั่งให้เดินยังไงล่ะ คุณริทแลนด์”
“ทุเรศ”
“นี่จะให้ฉันต้องเตือนคุณอีกครั้งหรือไง ว่าขณะนี้ฉันกำลังเอาปืนจี้คุณอยู่ ฉันว่ามันจะฉลาดกว่านะ ถ้าคุณจะปฏิบัติตามคำสั่งของฉันแต่โดยดี”
“โอ... ผมกลัวจะแย่แล้วนี่...” มุมปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน “ผมยอมรับว่าผู้หญิงที่สวยเหมือนนางฟ้าและมีจูบที่เร่าร้อนเหมือนโสเภณีน่าจะถือเป็นบุคคลอันตรายได้ แต่โอกาสที่จะใช้ปืนให้เป็นประโยชน์กับตัวเองนั้นน้อยมากนะครับ... เจ้าหญิง”
“นี่คุณกล้าดียังไง ... ” เธอร้องออกมาด้วยความโกรธ
และในตอนนั้นเองที่เขาถลันเข้าแย่งปืน ต่างฝ่ายต่างก็บิดข้อมือเพื่อจะแย่งปืนกระบอกนั้นไว้
และแล้ว... แชนทอลก็ร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น ต่างฝ่ายต่างยืนตัวแข็งไปด้วยกันทั้งคู่ ต่างจ้องมองหน้ากันราวไม่อยากเชื่อว่ามันจะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง
และแล้ว สเกาท์ก็ซวนเซไป เขาก้มลงมองต้นขาของตนเอง เลือดกำลังลามไหลออกจากบาดแผลตรงนั้น
“คุณ... คุณยิงผม” เขาเอ่ยออกมาด้วยความงุนงงในตอนแรกและความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ “ คุณยิงผม... คุณทำได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือนี่”
ความเจ็บเริ่มแผ่ซ่านขึ้นทั่วสรรพางค์กาย มันเหมือนกับมีแสงสว่างแรงกล้าสาดส่องเข้ามา แสงนั้นกระจายอยู่รอบตัวเขาตกใจกับบาดแผลที่ได้รับ ตกใจที่นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงสาวสวยคนนี้จะกล้าหาญชาญชัยทำกับเขาถึงเพียงนี้ได้ลงคอ... ด้วยอารมณ์ของสัตว์ร้ายที่ต้องบาดเจ็บ เขากระโจนเข้าหาเธออีกครั้ง
และในครั้งนี้ เขาต้องสัมผัสความเจ็บปวดแปลบปลาบขึ้นไปในกะโหลกศีรษะ พร้อมกับร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้นดินที่มีตะไคร่เกาะอยู่อย่างหนาแน่น
ในท่ามกลางความหนาทึบของแมกไม้ใบบัง เขาแน่ใจว่าได้เห็นแสงสว่างที่สาดส่องลงมา เหมือนแสงที่เกิดจากฟ้าแลบ
และแล้ว... ความมืดดำก็เข้าครอบงำไว้ เขาไม่มีโอกาสมองเห็นอะไรได้อีกเลย...