บทที่ 3
เขาพยายามคิดหาเหตุผลหลากหลายที่เข้าข้างตัวเองตลอดเวลา แต่แม้จะไม่มีในสิ่งนั้น เขาก็คงจะทำอย่างที่กำลังทำอยู่ขณะนี้นั่นเอง อารมณ์กับความรู้สึกของเขาในยามนี้มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ประสมประสานกันอยู่ ทั้งการว่างเว้นเสน่หามาเป็นเวลานานเดือน พั้นช์ฤทธิ์แรงที่ดื่มเข้าไปไม่น้อยเลย มันย่อมกระตุ้นอารมณ์ให้อยากทำในสิ่งที่มนุษย์ผู้ชายคนอื่นพร้อมจะทำอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ เธอก็หันขวับมาและจ้องมองเขาด้วยตาคู่สีฟ้าเข้มเปี่ยมอิทธิพลคู่นั้นอีกครั้ง พวงผมสีเข้มยิ่งกว่าสีแห่งความมืดของยามราตรีประดับอยู่ด้วยช่อกล้วยไม้สีขาว เครื่องประดับที่เธอใช้ในค่ำคืนวันนี้เป็นเพียงต่างหูมุกคู่เดียวเพียง แต่มุกแต่ละเม็ดนั้นใหญ่เท่าหัวแม่มือทีเดียว
แม้ความงามของมุกนั้นจะไร้ตำหนิ แต่ยังมิอาจเทียบความงามแห่งผิวพรรณของเธอได้ ผิวเนียนละมุนนั้นเป็นสีครีมไร้ตำหนิอย่างที่หญิงใดก็ต้องอิจฉา และมันก็เปิดเผยความงามออกมาให้เห็นอยู่หลายแห่งทั้งช่วงลำคองามระหง ที่ลาดลงยังเนินทรวงที่เกือบเปิดเผยอยู่ข้างหนึ่ง และยังช่วงขา
เธอไม่ได้สวมถุงน่อง แม้จะสวมรองเท้าส้นสูงไว้ แม้แต่ช่วงใบเท้าก็ยังสวยได้รูป ซึ่งก็เช่นเดียวกับมือทั้งสองข้าง ซึ่งข้างหนึ่งมีกระเป๋าราตรีซาตินถือไว้
ช่างเป็นผู้หญิงที่มีความงามสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้ ภาพที่เห็นก่อให้เกิดความกำหนัดขึ้นในอารมณ์อย่างเหลือจะสงบระงับไว้ได้
เธอยืนอยู่ข้างรูปปั้นเทพเจ้าแห่งความดุร้าย ผู้มียิ้มเกลื่อนอยู่บนใบหน้า แต่มีอวัยวะเพศที่ใหญ่เกินความเป็นจริงมาก สเกาท์ยังจำวันที่นำรูปปั้นเทพเจ้ามาตั้งไว้ตรงตำแหน่งนี้ได้บรรดาคนงานทั้งหลายต่างพูดจาหยอกเย้าซึ่งกันและกันแบบผู้ชาย
แต่ขณะนี้ เขากล้าสาบานได้เลยว่าเทพเจ้ากำลังส่งยิ้มตรงมาที่เขา ราวกับล่วงรู้ความลับที่กำลังเกิดอยู่กับร่างกายของเขาขณะนี้ และแสดงความปรีดาปราโมทย์ออกมาจนออกนอกหน้า เขาพยักหน้ากับรูปปั้นราวสามารถสื่อความเข้าใจในกันและกันได้ แต่ขณะเดียวกันก็เอ่ยกับเธอว่า
“เพื่อนคุณหรือครับ”
เขาตั้งความหวังขึ้นในใจว่าจะได้รับคำตอบที่ดีที่สุด แต่อดคิดในใจไม่ได้ด้วยว่า น่าจะได้รับการตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงมากกว่า หัวใจพองโตขึ้น เมื่อเห็นเรียวปากคู่นั้นแยกออกเป็นรอยยิ้ม ไรฟันเรียงเรียบเป็นระเบียบ สวยสะอ้านเช่นเดียวกับส่วนอื่นของร่างกาย
“ท่านเป็นเพื่อนของทุกคนค่ะ เป็นเทพเจ้าแห่งการสังวาส”
อา... ดีเหลือเกิน เรื่องภาษาจะไม่เป็นอุปสรรคอย่างที่เขาหวั่นใจในตอนแรกอีกต่อไป เพราะเธอพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว แม้จะมีสำเนียงอื่นเจือปนอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงที่ไพเราะก่อให้เกิดความงามขึ้นได้ เป็นเสียงที่ทุ้มนุ่มนวลราวเสียงกระซิบแห่งเกลียวคลื่นทางเบื้องหลัง
“อันที่จริงผมเองก็น่าจะเดาได้นะ แล้วเทพเจ้าที่คุณเรียกว่าท่านนี้ชื่ออะไรล่ะ” รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาออกจะเฝื่อนอยู่
เธอบอกชื่อเทพเจ้านั้นแก่เขา และสเกาท์ก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
“เป็นชื่อที่เรียกยากมาก สุ้มเสียงสูงๆ ต่ำๆ พิกลอยู่นะ”
นับแต่วันที่เขาเดินทางมาถึงที่นี่ สเกาท์พยายามศึกษาภาษาพื้นเมืองอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็จำได้เพียงไม่กี่คำที่จำเป็นต้องใช้ในการสั่งงานเท่านั้น
แต่ถึงแม้เขาจะสามารถพูดภาษาพื้นเมืองได้อย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่เขาต้องการจะบรรยายออกมาก็คงจะกล่าวกับผู้หญิงคนนี้โดยตรงไม่ได้อยู่ดี
เขาจะกล้าบอกเธอหรือว่า... จริงๆ แล้วเทพเจ้านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาพที่มันกำลังเกิดอยู่กับร่างกายของผมในเวลานี้เลย ที่ผมแข็งเกร็งอยู่ทั้งตัวนี่คุณต่างหากที่เป็นต้นเหตุ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าจะไปที่บ้านคุณหรือบ้านผมดี...
เขารู้ว่าค่าพูดแบบนี้มันไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเปิดฉากการสนทนากับหญิงสาว ผู้ซึ่งเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกและกำลังอยู่ในความสนใจ
“ผมชื่อสเกาท์ ริทแลนด์ ครับ” เขายื่นมือออกไป
และเธอก็ยื่นมือเรียวงามนุ่มนวลออกมาสัมผัสด้วย
“แชนทอล ดูปองท์ ค่ะ” เมื่อดึงมือกลับมาเธอก็เอ่ยต่อว่า “ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้จักค่ะ คุณริทแลนด์” เพียงเท่านั้นแล้วเธอก็ขยับจะเดินออกจากตรงนั้น
สเกาท์ต้องใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ กว่าจะปลุกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์เคลิ้มฝันจากรอยยิ้มที่เธอส่งมาให้ และกับสัมผัสนวลนุ่มที่ได้รับจากอุ้งมือนั้น และเมื่อรู้สึกตัวเขาก็ออกเดินเคียงข้างไปตามเส้นทางโรยกรวดเข้าสู่ปริมณฑลของรีสอร์ต
“คุณจะมาทำงานที่โรงแรมนี้ไหมครับ” เขาถามต่อต้องการจะถ่วงเวลาการสนทนาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอตวัดสายตามองหน้าเขา รอยยิ้มขบขันฉาบขึ้นบนใบหน้า
“เห็นจะเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ คุณริทแลนด์”
“แล้วทำไมคุณถึงมาร่วมงานปาร์ตี้ด้วยล่ะครับ”
“ก็เพราะว่าฉันได้รับเชิญน่ะสิคะ”
เมื่อมาถึงตอนนี้ มันคล้ายกับสถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องเอื้อมมือไปยุดแขนเธอไว้เพื่อไม่ให้หนีไปไหน ซึ่งทำให้เธอหันขวับมามองหน้า แสงจันทร์สาดส่องลงต้องเสี้ยวหน้าอยู่
“ที่จริงผมไม่ได้คิดจะหยาบคายอะไรหรอกนะครับ” เขาพูดเป็นเชิงอธิบาย “ผมรู้ว่าถึงยังไง คุณก็ต้องได้รับเชิญมาร่วมงานในครั้งนี้แน่ แต่ที่ผมถามก็เพราะไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน มันก็เลยทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า... ”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูหมิ่นนะคะ…” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนเดิม
เขาได้แต่จ้องมองหน้าที่งดงามอย่างยากจะหาหญิงใดเทียบได้ ไม่ว่าจะเป็นปากแก้มนคิ้วคางดูจะได้รับการเลือกสรรมาเพื่อประดับไว้บนใบหน้านี้เท่านั้น อุ้งมือของเขายังรวบรัดอยู่กับเนียนเนื้อตรงต้นแขน และสายตาของเธอที่มองอยู่ตรงจุดนั้นราวจะเตือนให้เขารู้ว่า ไม่สมควรที่เขาจะถูกเนื้อต้องตัวเธอในลักษณะนี้
เกาท์จำต้องเอามือออกทั้งที่สุดแสนเสียดาย และในตอนนั้นเองที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่ามืออีกข้างหนึ่งยังคงถือแก้วพั้นช์อยู่
“จะดื่มอะไรสักหน่อยไหมครับ” เขาเอ่ยถามออกไปรู้สึกว่าตนเองกำลังทำในสิ่งเขลาที่สุดอยู่เหมือนกัน
“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ”
“ผมเห็นจะตำหนิไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณจะไม่ชอบพั้นช์นี่ เพราะรสชาติมันค่อนข้างรุนแรงอยู่สักหน่อย”
รอยยิ้มแฝงเลศนัยปรากฏขึ้น เมื่อเธอเอื้อมมาดึงแก้วพั้นช์ไปจากมือเขา และยกขึ้นจรดริมฝีปากขณะเดียวกัน ก็จ้องมองหน้าเขาผ่านขอบแก้วอยู่ก่อนที่จะดื่มจนหมดเกลี้ยง แล้วจึงไล้ลิ้นเลียริมฝีปากช้าๆ ราวไม่ต้องการให้สูญเสียไปเลยแม้แต่หยาดหยด
“ถ้าคออ่อนเกินไปคงจะดื่มพ้นซ์แบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ คุณริทแลนด์”
สเกาท์ได้แต่มองตามหลังด้วยความงุนงง... รู้ดีว่าแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในพั้นช์ขนาดนั้น สามารถจะทำให้ผู้ชายล้มลงนอนแผ่ได้ ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังการดื่มให้ดี แต่เธอกลับดื่มมันอย่างหน้าตาเฉย ราวดื่มนมธรรมดาแก้วหนึ่ง และยังคงยืนอยู่กับที่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่เพียงแต่เท่านั้น เธอยังสามารถเดินผ่านเข้าไปในบริเวณราวป่าที่ค่อนข้างมืดได้ด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ราวสัตว์ร้ายที่ออกหากินในตอนกลางคืน โดยไม่สนใจกับภัยอันตรายที่อาจจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวเลย จะมีแต่ก็เพียงใบไม้ที่ส่ายไหวบางเบายามที่เธอเดินผ่านเข้าไปเท่านั้นเอง และในขณะที่เขากำลังจ้องมองอยู่นั้น มันก็คล้ายกับร่างของเธอได้เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา เพียงเดินผ่านเถาองุ่นป่าที่พาดพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่
เขาทิ้งแก้วลงในพงหญ้าก่อนจะออกเดินตามไปอย่างรีบเร่ง บุกผ่านเข้าไปในสุมทุมพุ่มพฤกษ์ ไม่สนใจกับชุดทักซิโด้ที่สวมใส่อยู่ ว่ามันจะถูกหนามไหนเกี่ยวทึ้ง และอาจจะขาดวิ่นได้ ฝูงแมลงบินวนรอบใบหน้าและเนื้อตัวพุ่งเข้ามาหาเขาราวจรวด เขาเพียงแต่ใช้มือปัดออกอย่างไม่ไยดี