บทที่ 3 (1)
ภายในคฤหาสน์หรูหราบนเนื้อที่หลายสิบไร่ หญิงงามสองคนที่นั่งอยู่ในห้องนอน กำลังนั่งถกเถียงกันถึงทริปการเดินทางไปท่องเที่ยวของผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนรักและเป็นทั้งเจ้านาย ซึ่งผู้เป็นลูกน้องไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่นายสาวแสนสวยจะเดินทางไปไกลถึงอีกซีกโลก เพื่อไปดูคลื่นเม็ดทรายสีทองอันแสนจะแห้งแล้งร้อนระอุจนกายแทบมอดไหม้
“หยุดทัก หยุดท้วงและก็หยุดห้ามได้แล้ววินด้า ยังไงๆ จันทร์เจ้าก็จะไปเที่ยวให้ได้ รู้ไหมว่าจันทร์เจ้ารอเวลานี้มานานแค่ไหนแล้ว”
จิลลาภัทร วิชชุกร หรือจันทร์เจ้า ออกปากห้ามคนที่เป็นทั้งเพื่อนและเลขาส่วนตัวของตัวเองทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายได้ทำปากขมุบขมิบ เตรียมพร้อมจะคัดค้านเรื่องการเดินทางไปท่องเที่ยวของเธอ
“โธ่...คุณจันทร์เจ้าขา จะไม่ให้วินด้าห้ามได้ยังไงล่ะคะ ก็สถานที่ท่องเที่ยวที่คุณจันทร์เจ้าจะเดินทางไปนั้น มันแสนจะแห้งแล้ง ไกลก็ไกลอยู่คนละทวีปกับประเทศไทยเลยนะคะ”
นวินดา หรือวินด้า เลขาสาวแสนสวยอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ เพราะตัวเธอนั้นไม่เคยเห็นดีเห็นงามกับความคิดของผู้เป็นนาย ที่คิดจะเดินทางไปท่องเที่ยวในดินแดนที่เธอเห็นว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลทราย
“ไกลอะไรกันเล่าวินด้า จันทร์เจ้านั่งเครื่องบินแค่ไม่กี่สิบชั่วโมง ก็ไปถึงดินแดนที่เต็มไปด้วยความงดงามแล้ว”
จิลลาภัทรเอ่ยค้านเพื่อนสาวบ้าง ขณะเดียวกันร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้น ก็ได้เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าบานใหญ่ คว้าอาภรณ์ตัวสวยที่แขวนอยู่ในตู้มาวางบนเตียงนอนใกล้ๆ กับนวินดาที่ยังตีหน้ามุ่ยไม่เลิก
“วินด้า ช่วยจันทร์เจ้าจัดกระเป๋าด้วย”
ผู้ที่เป็นนายเอ่ยขอร้องแกมออกคำสั่งไปในตัว จากนั้นก็เดินไปหยิบเครื่องสำอางประทินผิวหลายหลายยี่ห้อมาวางกองอยู่บนเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแล้วจัดข้าวของลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
“คุณจันทร์เจ้าคะ วินด้าไม่เห็นด้วยเลยนะคะ ที่คุณจันทร์เจ้าจะไปเที่ยวทะเลทราย วินด้าว่าประเทศแถบทะเลทรายไม่เห็นจะมีอะไรให้ดู นอกจากเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทะเลทรายแห้งแล้ง ไกลสุดลูกหูลูกตา”
คนที่ไม่เห็นดีด้วยกับทริปการท่องเที่ยวของผู้เป็นนายสาว และไม่เคยชอบแผ่นดินแห่งอาหรับเลย ได้บ่นแกมต่อว่านายสาวไม่ได้หยุดปาก แต่ในขณะเดียวกัน มือเล็กก็ได้พับเสื้อผ้าใส่ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ให้ผู้ที่เป็นนายอย่างไม่มีทางเลี่ยง
จิลลาภัทรมองใบหน้าของเพื่อนสาว ซึ่งงดงามไม่แพ้กับความชาญฉลาดที่มีอยู่เต็มหัวสมอง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยแซวออกมา
“นี่ยายวินด้า รู้ตัวไหมว่าชักจะทำตัวเป็นแม่ไก่แก่ ที่บ่นไม่ได้หยุดปากเข้าไปทุกวันแล้ว”
“ก็เพราะวินด้าเป็นห่วง และไม่อยากให้คุณจันทร์เจ้าไปเที่ยวที่ทะเลทรายยังไงล่ะคะ วินด้าถึงได้ทำตัวเป็นแม่ไก่แก่เหมือนที่คุณจันทร์เจ้าต่อว่า”
นวินดาเอ่ยตอบเสียงขุ่น ออกจะน้อยใจคนที่เป็นนายอยู่มาก ที่ไม่ยอมรับฟังคำคัดค้านของเธอ ซึ่งทั้งเป็นห่วงทั้งเป็นกังวลกับการเดินทางไปเที่ยวคนเดียวของอีกฝ่าย
จิลลาภัทรวางมือจากการจัดของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า จากนั้นก็จับมือเล็กของนวินดามากุมไว้ ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าวให้อีกฝ่ายได้คล้อยตามตัวเอง
“วินด้า...จันทร์เจ้ารู้ว่าวินด้าเป็นห่วงจันทร์เจ้า ถ้าเป็นห่วงมาก ทำไมไม่ไปเที่ยวทะเลทรายกับจันทร์เจ้าล่ะ วินด้าจะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย หากวินด้าได้เห็นทะเลทรายอันแสนงดงามเป็นสีทองไปทั่วทั้งแผ่นดิน ราวกับมีใครเอาเปลวทองมาราดลงไปบนเม็ดทรายเล็กๆ เหล่านั้น วินด้าจะหลงรักและลืมแผ่นดินทะเลทรายไม่ลงเลยชั่วชีวิต”
ขณะที่เอ่ยบอก ดวงตาคู่สวยดำขลับของหญิงสาวผู้หลงรักดินแดนทะเลทรายเข้าเส้นเลือด เต็มไปด้วยประกายแห่งความความสุข เมื่อเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง เธอก็จะได้เดินทางไปเยือนแผ่นผืนทะเลทราย ที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลกแล้ว
นวินดาทำหน้าเซ็ง ต่อให้ผู้ที่เป็นเพื่อนรัก เป็นเจ้านายยกแม่น้ำทั้งห้ามาโน้มน้าวยังไง เธอก็ไม่มีทางชื่นชอบหรือคิดที่จะเดินทางไปยังดินแดนอันไกลแสนไกล ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตานอกจากทะเลทรายที่ร้อนระอุ
“บอกตามตรงนะคะคุณจันทร์เจ้า วินด้าพยายามนึกถึงภาพอันแสนสวยงาม ของคลื่นเม็ดทรายแห้งแล้งที่คุณจันทร์เจ้าได้เอ่ยบอกมา แต่วินด้านึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่ามันจะสวยงามตรงไหน นอกจากจะมีแต่ฝุ่นแล้ว ยังร้อนแทบไหม้ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงาเลยแม้แต่ต้นเดียว”
นวินดาคิดว่าดินแดนทะเลทรายทุกๆ ที่ จะต้องเป็นเช่นดั่งมโนภาพที่ตนเองได้นึกคิดไว้ และด้วยไม่ชอบดินแดนทะเลทรายเอามากๆ หญิงสาวจึงไม่เคยคิดหาข้อมูลของดินแดนที่อยู่ห่างไกลคนละซีกโลก ซึ่งหากเปิดใจให้กว้างอีกนิด นวินดาจะได้รู้ว่าแผ่นผืนทะเลทรายเหล่านั้น งดงามมีมนต์เสน่ห์มากกว่าที่เธอคิดไว้มาก ไม่เช่นนั้นแล้วผู้ที่เป็นนายสาวคงไม่มีทางดิ้นรนเดินทางไปท่องเที่ยวยังดินแดนแห่งนี้ให้ได้ ทั้งๆ ที่มีคำสั่งจากพี่ชาย ผู้เป็นผู้ปกครองคนที่สองได้สั่งนักสั่งหนาไม่ให้เธอเดินทางไปยังดินแดนอาหรับ
จิลลาภัทรแกล้งถอนหายใจดังเฮือกๆ ขณะได้ยินคำพูดของเพื่อนสาว จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าใส่ในกระเป๋าเดินทางต่อ โดยไม่ลืมต่อว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตัวเอง
“วินด้าน่ะไม่รู้อะไร ประเทศที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ที่วินด้าว่าแห้งแล้งไม่น่าสนใจนั้น มันงดงามน่าท่องเที่ยวกว่าบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยตึกราบ้านช่อง ที่มนุษย์ขยันสร้างขึ้นมาจนบดบังทัศนียภาพ ที่ธรรมชาติได้สร้างมา จันทร์เจ้าเบื่อที่จะไปเที่ยวสถานที่เหล่านั้นแล้ว และไม่ว่าวินด้าจะห้ามยังไง จันทร์เจ้าก็จะไปเที่ยวทะเลทรายให้ได้”
เอ่ยต่อว่าผู้เป็นเพื่อน เป็นลูกน้องแล้ว จิลลาภัทรก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยบอกให้ความรู้แก่นวินดา ซึ่งยังคงตีหน้ามุ่ยไม่
เลิก
“ดินแดนทะเลทรายที่จันทร์เจ้ากำลังจะเดินทางไปนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นแผ่นดินที่มีคลื่นทะเลทรายสวยที่สุด มีโอเอซิสถึงสองที่ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกพักผ่อน เลือกชมความงดงาม และที่สำคัญน่ะวินด้า มีนักท่องเที่ยวเล่าปากต่อปากว่า หากใครได้เข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหนึ่งปีจะมีการเปิดให้ราษฎรหรือนักท่องเที่ยว ได้เข้าไปเยี่ยมชมได้แค่เพียงครั้งเดียว แล้วได้ยืนบนหอคอยสุงสุดของวิหารในคืนพระจันทร์เต็มดวง พร้อมกับอธิษฐานให้พบกับเนื้อคู่ คนเหล่านั้นก็มักจะได้รับในสิ่งที่ตนเองได้อธิษฐาอยู่ร่ำไป”
“แล้วคุณจันทร์เจ้าชื่อเรื่องที่เล่าขานกันปากต่อปากด้วยหรือเปล่าคะ”
นวินดายังคงค้านความคิดของผู้เป็นนายดังเดิม ในใจนั้นไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องที่จิลลาภัทรพูดออกมาสักเท่าไร แต่กระนั้นเธอก็ไม่หลบหลู่ศาสตร์อันแสนลึกลับที่มองไม่เห็น หญิงสาวหรี่ตามองนายสาวแสนสวยหวานซึ่งทำให้หนุ่มๆ ในสังคมไฮโซ หลงใหลมานักต่อนัก อยากจับจองเป็นเจ้าของหัวใจของจิลลาภัทร ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเบาๆ ด้วยเดาใจไม่ออกว่านายสาวต้องการไปขอพรจากดวงจันทราเหมือนคนอื่นๆ หรือเปล่า
“อย่าบอกนะคะว่าคุณจันทร์เจ้าจะไปขอพรเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ”
คราวนี้จิลลาภัทรถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำถามของลูกน้อง หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยบอกความคิดของตัวเอง
“จันทร์เจ้าไม่ได้คิดที่จะไปขอพรให้เจอเนื้อคู่เหมือนคนอื่นๆ หรอก แต่จันทร์เจ้าอยากไปดูพระจันทร์เต็มดวงบนหอคอยของวิหารศักดิสิทธิ์ จันทร์เจ้าคิดว่ามันเป็นอะไรที่สุดแสนโรแมนติคมาก หากเราได้ยืนอยู่ใกล้ๆ ดวงจันทราที่ส่องประกายนวลทอดแสงไปทั่วแผ่นดินทะเลทราย”
นวินดาแอบถอนหายใจเบาๆ พลางนึกค้านนายสาวอยู่ในใจ
‘ดวงจันทร์ที่ไหนก็สวยเหมือนๆ กันนั่นแหละ ไม่เห็นต้องนั่งเครื่องบินให้เมื่อย ไปดูดวงจันทร์เต็มดวงไกลถึงคนละซีกโลกเลย’
“ตะกี้คุณจันทร์เจ้าบอกว่าหนึ่งปี เขาจะเปิดให้ราษฎร นักท่องเที่ยวเข้าชมวิหารได้แค่ครั้งเดียว แล้วคุณจันทร์เจ้าจะได้เข้าไปชมวิหาร ได้ขึ้นไปดูดวงจันทร์บนหอคอยหรือคะ”
จิลลาภัทรคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ “ได้เข้าไปชมแน่นอนวินด้า เพราะเราดูข้อมูลมาแล้วว่าที่โน่นเขาจะเปิดวิหารให้เข้าชม ในวันราชาพิเษกสถาปนามกุฎราชกุมารให้ขึ้นครองราชย์ต่อจากชีคพระองค์เดิมที่ได้สละราชสมบัติให้พระโอรสได้ปกครองประเทศแทน ซึ่งเขาจะเปิดให้เข้าชมถึงหนึ่งอาทิตย์เต็ม เพราะฉะนั้นจันทร์เจ้าจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้เป็นอันขาด”
ผู้ที่หลงรัก หลงมนต์ตราแห่งดินแดนทะเลทรายมานานแล้ว ไม่มีทางยอมเสียโอกาสทองในครั้งนี้อย่างแน่นอน เธอรอโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวแผ่นดินอันแสนงดงามแห่งนี้มานานแล้ว ต่อให้มีสักสิบนวินดามาเอ่ยห้าม ยังไงเธอก็ยืนกรานที่จะไปให้ได้ เพราะหากพลาดโอกาสในครั้งนี้แล้ว เธอต้องรอถึงหนึ่งปีเต็ม กว่าจะได้เข้าไปชมดวงจันทราลอยเด่นกลางนภาในดินแดนทะเลทราย
เมื่อรู้แล้วว่าไม่อาจห้ามความตั้งใจของนายสาวแสนสวยได้ นวินดาจึงต้องทำใจยอมรับทริปการท่องเที่ยวของจิลลาภัทรในครั้งนี้ หญิงสาวปิดกระเป๋าเดินทางให้นายสาวอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยทักถึงปัญหาใหญ่ ที่อาจจะตามมาหลังจากจิลลาภัทรได้เดินทางไปท่องเที่ยวแล้ว
“แล้วถ้าเกิดคุณตะวันรู้ว่าคุณจันทร์เจ้าขัดคำสั่ง คุณจันทร์เจ้าจะทำยังไงล่ะคะ”
จิลลาภัทรถึงกับชะงักกึก ใบหน้าถอดสีเล็กน้อย เมื่อคำสั่งของพี่ชายค่อยๆ สะท้อนก้องเข้ามาในโสตประสาท
‘ระหว่างพี่ไม่อยู่ ห้ามจันทร์เจ้าหนีไปเที่ยวเด็ดขาด โดยเฉพาะไอ้ประเทศทะเลทรายบ้าๆ ที่จันทร์เจ้าหลงใหลนักหนา’
ภูริช หรือตะวัน พี่ชายของจิลลาภัทร ซึ่งทั้งหวงและห่วงน้องสาวคนนี้ยิ่งนัก ก่อนจะเดินทางไปประชุมผู้นำด้านธุรกิจ พร้อมกับศึกษาดูงานที่เมืองผู้ดี ก็ได้สั่งย้ำคำ ห้ามไม่ให้น้องสาวผู้หลงรักดินแดนทะเลทราย ได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังแผ่นดินที่ตนเองสั่งห้าม พร้อมกันนั้นก็ได้สั่งกำชับให้นวินดาได้ดูแลจิลลาภัทรทุกฝีก้าวระหว่างที่ตนเองไม่อยู่ แต่ทว่า
นวินดาก็ไม่สามารถขัดใจ หรือห้ามความต้องการของนายสาวผู้ดื้อรั้นได้
ผู้ที่ถูกผู้ปกครองคนที่สอง สั่งห้ามนักห้ามหนา ได้รับปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะยักไหล่ราวกับไม่หวั่นเกรงต่อคำสั่งของพี่ชายสุดหล่อ
“พี่ตะวันไปประชุมและดูงานไกลถึงประเทศอังกฤษ ยังไงก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าจันทร์เจ้าหนีไปเที่ยวที่ทะเลทราย กว่าพี่ตะวันจะประชุมเสร็จ จันทร์เจ้าก็เดินทางกลับมาบ้านคืนแล้ว”