บทที่ 2 (2)
“ไม่ต้องหรอกลูก พ่อไปเองดูจะเหมาะกว่า ฟารีสต์อยู่ที่นี่นั่นแหละดีแล้ว จะได้เตรียมตัวเข้ารับการสถาปนาเป็นท่านชีคต่อจากพ่อ”
เมื่อพระบิดาได้ตรัสถึงการเข้าพิธีราชาภิเษกให้เป็นท่านชีคต่อจากพระองค์ ผู้ที่เป็นโอรสก็เผยอาการเคร่งเครียดให้เห็นแค่เพียงเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีพระพักตร์และแววตาให้เป็นปกติ แต่กระนั้นผู้ที่เป็นพระมารดาก็จับสังเกตได้ จนอดรนทนไม่ไหวต้องตรัสถามโอรสผู้หล่อเหลา
“ฟารีสต์...ลูกยังไม่พร้อมที่จะรับตำแหน่งนี้ต่อจากท่านพ่อหรือลูก”
ผู้เป็นพระมารดาได้ตรัสถามแทงใจดำ ผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นนั่งบนบัลลังก์อัสดารานส์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และแม้จะเผลอแสดงความรู้สึกให้พระมารดาได้เห็นแค่ชั่วพริบตาเดียว แต่มกุฎราชกุมารหนุ่มก็ไม่มีทางยอมบอกความจริงในเรื่องนี้ ให้พระบิดาพระมารดารู้อย่างแน่นอน
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะท่านแม่ ลูกแค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องจัดพิธีให้ยิ่งใหญ่ก็ได้ เอาแบบเงียบๆ เรียบง่ายก็พอแล้ว จะได้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายงบหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ชีคฟาซิซต์กับพระชายาปิณฑิราได้หันมามองหน้ากัน รู้ดีว่าโอรสนั้นกำลังโกหกพวกตนอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่ได้คาดคั้นให้โอรสได้ตรัสบอกความจริง ตรงกันข้ามผู้ที่เป็นพระบิดา ได้ย้ำเตือนให้โอรสได้ตระหนักถึงภาระหน้าที่ ที่บุรุษชาติอาหรับผู้หนึ่ง ซึ่งถูกชะตาฟ้าลิขิตให้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่อันทรงเกียรติ ได้ทำใจยอมรับในสิ่งที่ตนเองไม่อาจเลี่ยงได้ตลอดชั่วทั้งชีวิต
“ฟารีสต์...พ่อจะไม่คาดคั้นว่าลูกอยากรับตำแหน่งนี้ต่อจากพ่อหรือเปล่า แต่พ่ออยากบอกให้รู้ว่า ตอนที่พ่อต้องก้าวขึ้นบนบัลลังก์อัสดารานส์ต่อจากคุณปู่ของลูก พ่อก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากที่ฟารีสต์กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ แต่เมื่อพ่อถูกเลือก ถูกสวรรค์เบื้องบนลิขิตให้ต้องรับหน้าที่นี้ พ่อก็ไม่อาจปฏิเสธมันได้ และพ่อได้สัญญาต่อหน้าราษฎรทั้งแผ่นดินทะเลทรายว่า จะปกครองประเทศและทำให้ราษฎรทุกคนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขภายใต้สองมือของพ่อนี้”
ชีคฟาซิซต์ได้จับพระหัตถ์ใหญ่ทั้งสองข้างของโอรสมากุมไว้ ก่อนจะตรัสออกมาด้วยความมั่นใจ เรียกพลัง เรียกกำลังใจให้กับว่าที่ชีคพระองค์ใหม่ ที่จะสืบทอดตำแหน่งไปจากพระองค์
“พ่อเชื่อว่าชีคคนใหม่นั้นก็คือฟารีสต์ จะต้องปกครองประเทศได้ดีเช่นเดียวกับพ่อ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไป พ่อกับแม่และติย่า รวมทั้งบรรพบุรุษของตระกูลเรา จะคอยเป็นกำลังใจให้ลูก ราษฎรทั่วทั้งแผ่นผืนทะเลทรายจะรักและเคารพท่านชีคพระองค์ใหม่ที่องอาจ ไม่ต่างจากที่เคยเคารพในตัวพ่อ”
ผู้เป็นพระมารดาได้ก้าวเท้ามาสวมกอดโอรสไว้ พร้อมกับตรัสให้กำลังใจโอรสบ้าง
“แม่เชื่อว่าฟารีสต์ต้องทำได้อย่างแน่นอน และเชื่อว่าอีกไม่นานลูกจะต้องพบกับดอกไม้งามที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจ เติมพลังให้กับฟารีสต์ในวันที่ลูกอ่อนล้า”
ผู้ที่ได้รับคำอวยพร ได้รับกำลังใจจากพระบิดาพระมารดา ได้คลี่ยิ้มกว้างกอดเรือนกายอันแสนอบอุ่นของบุพการีทั้งสองพระองค์ไว้ ก่อนจะตรัสให้คำมั่นสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ก่อนหน้านี้ลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าตัวเอง ได้ถูกเลือกให้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็นเจ้าผู้ปกครองแผ่นดิน แต่ตอนนี้ลูกรู้แล้วว่าท่านพ่อและท่านแม่ได้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อลูก เพื่อราษฎรทั่วแผ่นดินทะเลทราย ลูกขอสัญญาว่าจะปก
ครองแผ่นดินอัสดารานส์ ให้เจริญรุดหน้าเฉกเช่นเดียวกันกับที่ท่านปู่ ท่านพ่อได้ปกครองมา”
“พ่อกับแม่เชื่อว่าลูกต้องทำได้ดีและดีมากๆ ด้วย”
ชีคฟาซิซต์ ผู้เป็นพระบิดาได้ย้ำคำอีกครั้ง ทรงภูมิใจในตัวโอรสมาก ซึ่งนอกจากจะชาญฉลาดอย่างหาตัวจับได้ยากแล้ว ยังเป็นอภิชาตบุตร ไม่เคยทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอันสูงศักดิ์ และไม่เคยทำให้พระบิดาพระมารดาต้องเสียเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ท่านพ่อท่านแม่ เสร็จจากพิธีราชาภิเษกแล้ว ท่านทั้งสองจะไปฮันนีมูนเลยหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ถามบุพการีทั้งสองพระองค์ พร้อมกับก้าวเดินตาม เมื่อท่านทั้งสองได้เดินออกจากห้องทรงงานไปยังด้านหน้าตำหนัก
“หากไม่ติดปัญหาของชีคอะเดลา รวมทั้งลูกกับติย่าไม่ว่าอะไร พ่อจะเดินทางไปประเทศไทยก่อน จากนั้นค่อยไปประเทศที่อยู่ใกล้เคียง พ่อตั้งใจไว้ว่าจะพาแม่ของลูกไปฮันนีมูนรอบโลก”
ผู้เป็นพระบิดาตรัสตอบแทนพระชายา ทรงยังไม่แน่ใจว่าจะทำตามกำหนดการเดิมหรือเปล่า เมื่อมีเรื่องของชีคอะเดลาเข้ามาแทรก ทำให้แผนการของพระองค์มีสะดุดไปบ้าง
“ท่านพ่ออย่าเป็นกังวลเรื่องของชีคอะเดลาเลยพ่ะย่ะค่ะ ลูกคิดว่าลูกจัดการเรื่องนี้ได้ และก็ทรงอย่าเป็นห่วงติย่าเลย ลูกจะดูแลยายตัวแสบให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะตรัสบอกบุพการีทั้งสองพระองค์ ราชนิกุลหนุ่มก็ลอบอมยิ้มออกมา เมื่อหางตาได้แลเห็นปลายเท้าเล็กของคนยายตัวแสบที่ได้แอบอยู่หลังประตู
“ได้ยินแบบนี้แล้วพ่อก็ค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง”
ผู้เป็นพระบิดาตรัสออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง พระองค์และพระชายารู้สึกเบาใจ เมื่อโอรสได้รับคำหนักแน่นว่าจะดูแลนางฟ้าองค์แสนสวยของแผ่นดินทะเลทรายให้ดีที่สุด
“เดี๋ยวลูกเดินไปส่งท่านพ่อท่านแม่ที่ตำหนักนะพ่ะย่ะค่ะ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ตรัสบอก พร้อมกับทำท่าจะเดินทางบุพการีทั้งสองไป แต่ก็ถูกพระมารดาตรัสห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอกฟารีสต์ เดี๋ยวพ่อกับแม่กลับกันเอง ลูกอยู่รับหน้าคนที่แอบอยู่หลังประตูจะดีกว่า”
พระชายาปิณฑิราตรัสยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกจากตำหนักของโอรสพร้อมกับพระสวามีที่ได้หัวเราะร่วน เมื่อได้ยินเสียงบ่นงึมงำของคนที่แอบฟังอยู่หลังประตูบานใหญ่
“อุตส่าห์แอบอยู่หลังประตูแล้วนะ ยังมองเห็นติย่าอีก”
องค์หญิงจอมแก่นแก้วได้พึมพำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับตีหน้ามุ่ยอย่างเซ็งๆ เมื่อถูกทุกคนจับได้
“ออกมาจากหลังประตูได้แล้วยายตัวแสบ”
ผู้เป็นเชษฐายืนกอดอก ขณะตรัสเรียกขนิษฐาที่พระองค์รัก พยายามกลั้นหัวเราะไว้สุดกำลัง เมื่อได้เห็นสีหน้าของขนิษฐาที่ตีหน้ามุ่ย ราวกับเซ็งจัดที่ใครๆ ก็จับผิดตัวเองได้ตลอด
“ท่านพี่...”
“ห้ามถาม! ห้ามซัก! ยังไงพี่ก็ไม่บอกแน่นอน ว่าท่านพ่อกับท่านแม่คุยเรื่องอะไรกับพี่”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์เบรกห้ามทัพ ก่อนที่ขนิษฐาจะทันได้เอ่ยออกมา ทรงรู้ดีว่าขนิษฐาจอมป่วนได้เฝ้ารอพระองค์นานแล้ว และรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปขี่ม้าเล่นอย่างที่ได้เอ่ยบอกในตอนแรก
คราวนี้องค์หญิงฟาติย่าตีหน้าหงิกหน้างอกว่าเดิม เมื่อเชษฐาได้รู้เท่าทันตนเองไปเสียทุกอย่าง ขนาดแค่อ้าปากกำลังจะเอ่ยถามก็ถูกดักคอไว้แทบจะทันที
“ท่านพี่ บอกน้องสักนิดไม่ได้หรือเพคะ”
องค์หญิงแสนสวยได้อ้อนวอนเชษฐาผู้หล่อเหลา พอเชษฐาเดินไปยังคอกม้าที่อยู่ห่างไปราวๆ 1 กิโลเมตร ก็คอยดักหน้าดักหลัง ยื้อยึดฉุดแขนเชษฐาให้หยุดเดิน แล้วเอ่ยบอกในสิ่งที่ตนเองนั้นอยากรู้ใจจะขาด
“ท่านพี่สุดหล่อของน้อง บอกสักนิดนะ รับรองว่าน้องจะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่วิจารณ์ ไม่โต้แย้ง ไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น”
ขณะขอร้องเสียงออดอ้อน องค์หญิงฟาติย่าก็คลี่ยิ้มหวานหยดย้อย ทำตาปริบๆ ให้ดูน่าสงสารและน่าเห็นใจเป็นที่สุด
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่เคยเชื่อสักทีว่าขนิษฐาจะทำได้ตามที่เอ่ยสัญญาออกมา เพราะฟาติย่าเป็นคนที่ใจร้อน โมโหเดือดได้เร็วกว่าพระองค์หลายสิบเท่านัก และถ้าหากรู้ว่าคนที่ไม่ชอบหน้าอย่างองค์หญิงอลีมา ได้เสนอตัวมาเป็นพี่สะใภ้ของตน คงได้ร้องกรี๊ดลั่นทะเลทรายเป็นแน่
“พี่คิดว่าติย่าอย่ารู้เลยดีกว่า เรื่องที่ท่านพ่อท่านแม่ได้เอ่ยบอกพี่ มันไม่น่าฟัง ไม่สุนทรีย์สักเท่าไรหรอก”
ราชนิกุลหนุ่มผู้หล่อเหล่าตรัสค้านยิ้มๆ พอเดินไปถึงคอกม้าขนาดใหญ่ ซึ่งมีพ่อม้าแม่ม้าพันธุ์เลิศ ฝีเท้าจัดจ้าน ที่ได้ทรงเลี้ยงไว้ราวๆ สามสิบตัว ก็ได้ชี้นิ้วไปยังเจ้าเพกาซัส พ่อม้าฝีเท้าจัดพันธุ์มอร์แกน แล้วเอ่ยสั่งให้องครักษ์อัสรัสส์ได้เตรียมม้าให้พระองค์
“อัสรัสส์ เอาเจ้าเพกาซัสมาผูกอ่านให้เราด้วย”
“ผูกอานเจ้าคิมีราให้เราด้วย เราจะขี่ม้าเล่นกับท่านพี่”
องค์หญิงฟาติย่าได้หันไปสั่งอัสรัสส์บ้าง ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าวันนี้เชษฐาผู้หล่อเหลาทำอะไร เสด็จไปที่ไหน เธอก็จะตามไปด้วย จนกว่าจะได้คำตอบที่เฝ้าถามมานานหลายสิบนาทีแล้ว
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงส่ายพระพักตร์อย่างระอากับการตื้อไม่เลิกของขนิษฐา พระองค์หยุดหันมามองใบหน้างดงาม ที่ยังคงตีหน้ามุ่ยไม่เลิก ก่อนจะลองตรัสหยั่งเชิง
“ถ้าพี่เล่าให้ฟังแล้ว สัญญาว่าจะไม่ร้องโวยวาย ไปกระโจนไปเล่นงานคนที่ตกเป็นคู่กรณี”
“สัญญาว่าจะไม่เอะอะโวยวาย”
ผู้ที่อยากรู้เรื่องใจจะขาด รีบเอ่ยสัญญายิงสัญญาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด และพอเชษฐากระโดดขึ้นบนหลังเจ้าเพกาซัส แล้วพาพ่อม้าสีดำสนิทคู่ใจกระโจนสู่ท้องทะเลทรายสีทอง ก็ไม่รอช้ารีบเหยียบโกลนม้า ดึงตัวขึ้นไปนั่งบนเจ้าคิมีรา กระแทกเท้าให้พ่อม้าแสนเชื่องให้ออกวิ่งไปหาเชษฐาของตนเอง
“ท่านพี่...ติย่าสัญญาแล้วนะ เมื่อไรจะบอกน้องสักทีล่ะ”
พอกระตุ้นม้าให้วิ่งมาควบคู่กับม้าของเชษฐาได้ องค์หญิงฟาติย่าก็รีบตะโกนถามทันที
เจ้าแห่งทะเลทรายดึงบังเหียนให้เจ้าเพกาซัสหยุดวิ่ง รู้ว่าหากพระองค์ไม่พูดออกมาสักที ขนิษฐาแสนสวยก็คงไม่เลิกตามติดพระองค์เป็นลูกลิงเช่นนี้แน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจตรัสบอกขนิษฐาในที่สุด
“ชีคอะเดลา นึกใจดีจะยกองค์หญิงอลีมาให้เป็นเมียของพี่”
“ฮ้า!!! อะไรน่ะ”
องค์หญิงฟาติย่าตะโกนร้องเสียงหลง รั้งบังเหียนเจ้าคิมีราอย่างรวดเร็ว จนเจ้าสัตว์สี่เท้าตกใจ ยกขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศ สร้างความตกใจให้ทั้งตัวเองและผู้ที่เป็นเชษฐาอย่างมาก
“จุ๊ๆๆ คิมีรา ใจเย็นๆ ฉันขอโทษที่ทำให้แกตกใจ”
องค์หญิงแสนสวยเอ่ยปลอบให้เจ้าคิมีราหายตกใจ ก่อนจะกระโดดลงจากม้าแล้วยืนเท้าสะเอวจ้องมองพระพักตร์ของเชษฐาเขม็ง จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างเอาเรื่อง
“ห้ามท่านพี่รับยายคางคกอลีมา มาเป็นพระชายานะ ไม่เช่นนั้นติย่าจะโกรธ ไม่คุย ไม่มองหน้าท่านพี่ไปทั้งชีวิต”
ผู้ที่เป็นเชษฐาได้หัวเราะออกมาเบาๆ กับสรรพนามที่ขนิษฐาได้ใช้เรียกองค์หญิงจากรัฐอะเดลา พระองค์กระโดดลงมายืนเคียงคู่กับร่างบอบบาง ก่อนจะตรัสถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“ทำไมถึงไปเรียกองค์หญิงอลีมาแบบนั้นล่ะติย่า รู้ไหมว่ามันไม่สุภาพเลย”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ ตำหนิองค์หญิงแสนสวยอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะชวนขนิษฐาถอดรองเท้าแล้วเดินเล่น สัมผัสกับพื้นทรายที่อยู่ใต้เท้าของพวกตน
องค์หญิงทำตามเชษฐา ก่อนจะสอดแขนไปจับต้นแขนสีแทนแข็งแกร่งของเชษฐาไว้ จากนั้นก็เอ่ยบอกที่มาที่ไปของฉายา ที่เธอได้ตั้งให้กับองค์หญิงอลีมา ซึ่งน้ำเสียงที่เอ่ยถึงอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บใจอย่างยิ่ง
“จะไม่ให้เรียกว่าคางคกได้อย่างไรล่ะเพคะท่านพี่ ก็ยายนี่เล่นโฉบผู้ชายของคนอื่นไปเป็นของตัวเองเสียหมด แฟนของเพื่อนติย่าสามคนเจอยายอลีมา คว้าไปกินเรียบ แม้แต่เพื่อนชายของติม่า ที่น้องให้ความสนิทสนมที่สุดจนเกือบเลื่อนขั้นให้เป็นคนรักแล้ว ก็ถูกยายอลีมาแย่งไปเป็นสามีในสังกัดของเธออย่างเรียบร้อย เวลาที่ยายอลีมา มาฉกผู้ชายของคนอื่นไปเป็นของตนเอง มองดูเหมือนพวกคางคกที่กำลังแลบลิ้นตวัดกินพวกแมลงไม่มีผิดเลยเพคะ”
คราวนี้เจ้าแห่งทะเลทรายถึงกับหัวเราะลั่น กับการเปรียบเปรยจนเป็นที่มาของฉายาขององค์หญิงอลีมา พระองค์หันมามองผู้ที่เดินเคียงคู่กันนิดหนึ่ง ก่อนจะตรัสถามต่อ
“ติย่าไม่เสียใจหรือที่ถูกองค์หญิงอลีมา ฉกผู้ชายที่เป็นเพื่อนสนิทไป”
พระองค์เลี่ยงที่จะเรียกบุรุษหนุ่มผู้นั้นว่าคนรักของขนิษฐา ตราบใดที่ยังไม่มีบุรุษใด ผ่านด่านของพระองค์ไปได้ พระองค์จะไม่ยอมเรียกบุรุษผู้นั้นว่าเป็นคนรักของขนิษฐาเด็ดขาด
“ฮึ!” องค์หญิงฟาติม่า ทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแค้นๆ “ติย่าไม่เสียใจหรอกเพคะ แต่รู้สึกเสียหน้าเสียมากกว่า แต่ก็ดีเหมือนกันที่ยายคางคกอลีมาคว้าผู้ชายคนนั้นไป เพราะทำให้ติย่าผู้ชายคนนั้นมันไม่ได้รักติย่าจริง มันไปอยู่กับยายอลีมาก็สมกันราวกับผีเน่าโลงผุ ขอให้พวกมันหาความสุขไม่เจอไปชั่วชีวิต”
ผู้เป็นเชษฐาถึงกับส่ายพระพักตร์อย่างขบขำ เมื่อได้ยินขนิษฐาเอ่ยออกมา ฟาติย่านอกจากจะดื้อรั้น เอาแต่ใจตนเองแล้ว ยังผูกใจเจ็บเป็นที่สุด หากใครทำให้องค์หญิงแสนสวยต้องโกรธเคือง รับรองได้ว่ามันผู้มันไม่มีทางได้ยินคำว่า ‘ให้อภัย’ ที่จะหลุดออกมาจากปากของนางฟ้าองค์นี้
“ว่าแต่ท่านพี่เถอะ จะรับยายคางคกอลีมา มาเป็นพระชายาหรือเปล่า”
องค์หญิงฟาติย่าย้อนถามเชษฐาอีกครั้ง เพราะยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด จากว่าที่ชีคพระองค์ใหม่แห่งอัสดารานส์
ราชนิกุลผู้องอาจมองใบหน้าอันงดงามของขนิษฐา ก่อนจะตรัสตอบให้องค์หญิงฟาติย่าแย้มยิ้มออกมาได้
“ต่อให้ผู้หญิงทั้งโลก เหลือแค่องค์หญิงอลีมาเพียงคนเดียว พี่ก็ไม่มีทางคว้าเธอมาเป็นชายาอย่างแน่นอน”
มกุฎราชกุมารแห่งแผ่นผืนทะเลทราย ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พระองค์ทำใจให้ยอมรับและรักองค์หญิงอลีมาไม่ได้ นอกจากองค์หญิงอลีมาจะมั่วผู้ชายไม่เลือกแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พระองค์รับไม่ได้ และคิดว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมยิ่งนัก พระองค์ได้ทรุดกายกำยำลงนั่งกับพื้นทรายซึ่งอุ่นไปด้วยไอแดดที่ได้แผดเผาในตอนเช้า จากนั้นก็กอบเม็ดทรายมาเต็มฝ่ามือ ก่อนจะเทลงไปที่เดิม แล้วพึมพำตรัสถามกับเม็ดทรายที่ค่อยๆ ไหลจากฝ่ามือลงสู่ผืนดินดังเดิม
“เมื่อไรจะได้พบคนที่รักเราอย่างจริงใจ เมื่อไรจะเจออิสตรีที่ทำให้เราแย้มยิ้มได้ เมื่อไรจะเจอดอกไม้งดงามที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขไปทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ หรือว่าไม่มีอิสตรีผู้นั้นเลย หรือว่าเราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตนี้”