บทย่อ
“จันทร์เจ้า ไวน์แดงที่เจ้าทำหกใส่ตัวเรา มันไหลเข้าไปในกางเกงของเราแล้วนะ”“เดี๋ยวจันทร์เจ้าจะไปหาผ้ามาเช็ดไวน์ออกให้ค่ะ”“จะหาผ้าให้เสียเวลาทำไม ใช้ปากน้อยๆ ของเจ้า จูบซับไวน์ออกให้หมดสิ...ยอดรัก”ชีคฟารีสต์ตรัสสั่งเสียงสั่นพร่า ก้มลงมองตามทิศทางไหลย้อยของไวน์แดง ที่ลับหายไปในขอบกางเกง“จันทร์เจ้าหาผ้ามาซับให้ดีกว่านะคะ”จิลลาภัทรกลืนน้ำลายลงคอ ขณะจ้องมองอกกว้างเต็มไปด้วยไรขนอ่อนๆ ซึ่งเปียกชื้นไปด้วยไวน์แดงราคาแพง“ไม่เอายอดรัก ใช้ปากของเจ้านั่นแหละดีแล้ว”ทรงสั่งเสียงกระเส่า พร้อมกับโอบกอดร่างหอมละมุน ให้ลงมือเช็ดคราบไวน์ออกจากอกกำยำ“ท่านชีค ชอบการเช็ดคราบไวน์ด้วยวิธีนี้ไหมคะ” จิลลาภัทรกระซิบถาม ขณะกดจูบลงไปบนยอดอก ตรงบริเวณที่ถูกไวน์แดงละเลงลงไป“ชอบ...ชอบมากเลยยอดรัก”เจ้าแห่งทะเลทรายครางตอบเสียงขาดห้วง หายใจรัวเร็วไม่เป็นส่ำ เลือดในกายปั่นป่วนแล่นพล่านด้วยฤทธิ์ของเรียวปากอวบอิ่ม ซึ่งได้มอบบทรักอันแสนเร่าร้อนให้ทั่วกายแข็งแกร่งแค่แรกสบตากับ จิลลาภัทร ที่ดันวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในสนามประลองชัย ชีคฟารีสต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ก็เกิดอาการสปาร์ค อยากได้แม่กระต่ายน้อยเนื้อหวานมาครอบครอง และเมื่อรู้ว่าสาวเจ้าดันเป็นน้องสาวของไอ้หนุ่มชาวไทย ที่บังอาจลูบคมพระองค์ด้วยการแย่งผู้หญิงไปจากอก จึงไม่ลังเลที่จะจับแม่กระต่ายน้อยเนื้อหวาน มากักขังให้อยู่ใน กรงสวาท อันแสนหฤหรรษ์ เพื่อเป็นการแก้แค้น!!!
บทที่ 1 (1)
ประเทศอัสดารานส์ แผ่นดินทะเลทรายสีทอง ที่เต็มไปด้วยสายแร่น้ำมันดิบ ทรัพย์ทางดินที่มีมูลค่าแพงเสียยิ่งกว่าทองคำ ทรัพย์ตามธรรมชาติอันเป็นที่ต้องการของมวลมนุษย์ทั่วทั้งโลก เมื่อ 25 ปีก่อน ประเทศอัสดารานส์ถูกปกคลุมด้วยเมฆร้าย ซึ่งก่อขึ้นจากฝีมือของคนในราชวงศ์ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ที่ต้องการช่วงชิงราชบัลลังก์ ช่วงชิงแผ่นผืนทะเล
ทรายอันเต็มได้ทรัพย์ที่มีมูลค่ามหาศาล
แต่เมฆร้ายที่ปกคลุมแผ่นดินทะเลทราย ก็ไม่อาจต้านทานพลังแห่งความดี พลังแห่งความรักและความชาญฉลาดของเด็กน้อยที่ชื่อฟารีสต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ได้ และในวันนี้ เด็กน้อยคนนั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่องอาจ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ตามแบบฉบับของบุรุษชาติอาหรับโบราณ
ฟารีสต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ มกุฎราชกุมารในวัย 31 ปี พร้อมแล้ว สำหรับการได้รับการสถาปนาให้เป็น ‘ชีค’
แห่งอัสดารานส์ แทนพระบิดา ที่ต้องการสละราชสมบัติ สละตำแหน่งเจ้าผู้ปกครองประเทศให้กับพระโอรสหนุ่ม เพื่อพระองค์จะได้พาพระชายาที่รักไปฮันนีมูน ดื่มน้ำผึ้งพะจันทร์รอบโลกอย่างที่ทรงต้องการทำมานาน
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยชื่อดังก้องโลกในอเมริกา อย่างมหาวิทยาลัยชิคาโก หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็นำวิชาความรู้กลับมาพัฒนาแผ่นผืนทะเลทราย ให้เจริญเทียบเท่ากับประเทศในโลกตะวันตก ที่ล้วนเจริญรุดหน้าไปมาก
แม้ยังไม่ได้รับการสถาปนาให้เป็น ชีค อย่างเต็มพระยศ แต่ทว่ามกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลา ก็สามารถบริหารประเทศแทนพระบิดา จนทำให้ประเทศอัสดารานส์เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วทั้งโลก หากได้ลองพูดถึงดินแดนแห่งทะเลทราย ที่เต็มไปด้วยสายแร่น้ำมัน และมีแหล่งโอเอซิสที่สวยงามที่สุดในโลก ซึ่งเป็นสถานท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเลือกที่จะมาชื่นชม มาสัมผัสกับความงดงามที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้างให้ ทุกคนล้วนแต่นึกถึงประเทศอัสดารานส์ ด้วยกันทั้งนั้น
และในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ประเทศอัสดารานส์จะเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วทั้งโลกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อจะมีการจัดพิธีราชาภิเษกสถาปนา มกุฎราชกุมารฟารีสต์ ให้ขึ้นเป็นชีคแห่งอัสดารานส์อย่างเต็มตัว ประชาชนทั่วทั้งประเทศต่างก็ใจจดใจจ่อ รอให้ถึงวันมหามงคลที่พวกเขาจะได้ร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าผู้ปกครองประเทศ
ในขณะที่ราษฎรทั่วทั้งแผ่นผืนทะเลทราย ต่างก็นับวันเร่งเวลาให้ถึงวันมหามงคลเร็วๆ แต่ผู้ที่เป็นมกุฎราชกุมารกลับตีสีพระพักตร์อย่างเซ็งๆ ราวกับไม่ต้องการให้วันเวลานั้นมาถึง
“อีก 7 วัน...อีก 7 วัน ก็หมดอิสระแล้ว”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ บ่นงึมงำอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย ขณะได้อ่านหมายกำหนดการ จัดพิธีราชาภิเษกสถาปนาพระองค์ ให้ขึ้นเป็นชีคแห่งอัสดารานส์ ซึ่งจะมีขึ้นในเร็ววันนี้
อัสรัสส์ วาลี บิลาน์ องครักษ์เอกของราชนิกุลหนุ่ม ได้ขยับกายเข้าไปนั่งแทบเท้าของผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัว ซึ่งกำลังตีสีพระพักตร์เซ็งสุดๆ จากนั้นก็ได้เอ่ยถามมกุฎราชกุมารด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาท ทรงไม่อยากขึ้นนั่งบนราชบัลลังก์อย่างงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ เหลือบสายตามององครักษ์เอก ก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความกลัดกลุ้ม จากนั้นก็ตรัสบอกความคิดของพระองค์ให้องครักษ์เอก ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนรัก เพื่อนตายได้รับรู้ความในใจของพระองค์
“ถ้าจะใช้คำว่า ไม่อยาก ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอกนะอัสรัสส์ เพราะเรารู้ว่าอย่างไรแล้ว เราก็ต้องขึ้นครองราชย์แทนท่านพ่อ ท่านปู่ริยาชิดห์ และท่านปู่อัฟมาส์ บอกเราเสมอว่าเราถูกเลือกให้เกิดมาเพื่อเป็นประมุขแห่งอัสดารานส์ ซึ่งเราก็ยอมรับในชะตาฟ้าที่ได้ลิขิตมา”
“เอ่อ...ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทหนักใจในเรื่องใดล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
อัสรัสส์เอ่ยถามด้วยความงุนงง เพราะกริยาท่าทางของมกุฎราชกุมารหนุ่มนั้น บ่งบอกให้รู้ว่าพระองค์ทรงไม่อยากขึ้นครองราชย์สักเท่าไร แต่ทว่าถ้อยคำที่ตรัสตอบออกมานั้น กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม
“ที่เรากลุ้มใจหนักใจ ก็เพราะว่าเราอยากเป็นมกุฎราชกุมารแห่งอัสดารานส์ไปอีกยี่สิบปี เอาไว้ให้เราอายุสักห้าสิบกว่าๆ ก่อน แล้วค่อยขึ้นครองราชย์อีกครั้ง”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ เผยความต้องการของพระองค์ให้คนที่เป็นองครักษ์เป็นเพื่อนรักได้ทราบ ทั้งๆ ที่ทรงรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“กระหม่อมว่าอีกยี่สิบปี ดูท่าว่าจะนานไปนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ ในเวลานี้เห็นจะเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะตอนนี้ทั่วโลกต่างก็จับตามองประเทศของเราเป็นอย่างมาก ที่กำลังจะมีเจ้าผู้ปกครองประเทศ ที่ทรงหล่อเหลา ชาญฉลาด แถมยังร่ำรวยที่สุดในโลกด้วย”
สิ่งที่องครักษ์อัสรัสส์เอ่ยออกมานั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงเพียบพร้อมไปทั้งรูปทรัพย์และรูปกาย ทรงมีเรือนกายที่กำยำล่ำสัน พระพักตร์หล่อเหลาคมเข้ม เป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆ จากทั่วทุกมุมโลก แต่กระนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้สาวๆ อีกหลายคน ไม่กล้าเข้าใกล้ราชนิกุลหนุ่ม นั้นก็คือนัยน์ตาสีดำสนิท ซึ่งมกุฎราชกุมารหนุ่มมีดวงตาสีนิล ที่ดูลึกลับราวกับดวงตาพญาเหยี่ยว เป็นดวงตาที่จับความรู้สึกได้ยากที่สุด ซึ่งเป็นดวงตาที่ถอดเค้ามาจากผู้ที่เป็นพระบิดาไม่มีผิดเพี้ยน
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงถอนหายใจยาวอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดขององครักษ์ จากนั้นก็ทรงบ่นออกมาเบาๆ ราวกับเซ็งจัด
“เฮ้อ! ความหล่อเหลา ความร่ำรวยที่เจ้าพูดมานั้น มันกำลังเป็นดาบสองคม ทำให้เราได้พบแต่พวกผู้หญิงที่หิวเงิน สนใจแค่เพียงรูปกายภายนอกของเรา สาวๆ พวกนั้นกระโจนหาเรา ราวกับเห็นเราเป็นขนมหวานก็ไม่ปาน จนบางครั้งทำเอาเราขยาด แทบจะไม่อยากออกจากตำหนักแล้ว”
“กระหม่อมเห็นด้วยกับที่ฝ่าบาทได้ตรัสมา กระหม่อมยังนึกสยองเลยว่า ฝ่าบาทจะพลาดท่าให้กับพวกเธอเหล่านั้นเข้าสักวัน”
องครักษ์อัสรัสส์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย กับคำพูดของผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัว เพราะตอนที่มกุฎราชกุมารหนุ่มได้เสด็จไปศึกษายังมหาวิทยาลัยชิคาโก เมืองชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ สาวๆ ในมหาวิทยาลัยทั้งสาวตาน้ำข้าว สาวเอเชีย หรือสาวยุโรป ต่างก็กรี๊ดให้ความสนใจราชนิกุลหนุ่มเป็นอย่างมาก และหากมีโอกาสพวกเธอเหล่านั้นก็ไม่รอช้า ที่จะกระโจนเข้าหาเจ้าเหนือหัวของเขา อย่างที่พระองค์ได้ตรัสออกมา
“ไม่มีทางหรอกอัสรัสส์ เราไม่ทางหลงเข้าไปในบ่วงของพวกผู้หญิงหิวเงินง่ายๆ หรอก หากเราจะอภิเษกหรือมีพระชายาสักคน เราจะเลือกหญิงสาวที่เหมือนท่านแม่ของเรา เอาแค่สักครึ่งหนึ่งของท่านแม่ก็ยังดี”
ขณะที่ตรัสบอกองครักษ์หนุ่ม มกุฎราชกุมารฟารีสต์ ก็นึกยังไม่ออกว่าจะมีใครที่งดงามทั้งกายและใจ เท่ากับพระมารดาปิณฑิราของพระองค์ ท่านแม่ของพระองค์นั้น เป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งที่สุด แต่ทว่าในความเข้มแข็งนั้น ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความอ่อนหวาน ทำให้พระบิดาของพระองค์นั้นหลงรักท่านเป็นอย่างมาก และมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พระองค์ประทับใจท่านแม่มาก นั่นก็คือเรื่องความรักที่ท่านแม่ได้มอบให้กับท่านพ่อเสมอมา แม้มีเรื่องให้เข้าใจผิดกันและต้องแยกกันอยู่คนละทวีป คนละขั่วโลกเสียเนิ่นนานถึง 7 ปีเต็ม แต่กระนั้นท่านแม่ก็ยังคงรัก และเฝ้ารอคอยท่านพ่อของพระองค์เสมอ
“หากกระหม่อมจะมีภรรยา กระหม่อมก็จะหาหญิงสาวที่งดงามเฉกเช่นพระชายาปิณฑิราเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์อัสรัสส์เอ่ยบอกความใจใจ พร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาทันที เมื่อมกุฎราชกุมารฟารีสต์ ได้ตรัสถึงพระชายาปิณฑิราพระมารดาของพระองค์ ราษฎรทั่วทั้งประเทศอัสดารานส์ ล้วนรู้ดีว่าพระชายานั้นเป็นกุลสตรีชาวไทยที่งดงามทั้งกายและใจ วีรกรรมในอดีตของพระชายา ที่ยอมเสียสละความสุของตัวเอง เพื่อราษฎรอัสดารานส์ ได้ทำให้ราษฎรทุกคนรักพระชายาเป็นอย่างมาก ซึ่งเขาเองก็อยากมีคนรัก อย่างมีคู่ชีวิตที่เข้มแข็งและงดงามอย่างพระชายาปิณฑิรา
“แล้วเจ้าเจอผู้หญิงคนนั้นบ้างหรือยังอัสรัสส์”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ เอ่ยถามคนที่นั่งอยู่แทบเท้าของพระองค์ ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบตีหน้ามุ่ย ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมหายังไม่เจอพ่ะย่ะค่ะ สงสัยชาตินี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เดียวดายไปทั้งชีวิต”
อัสรัสส์ตอบออกมาอย่างผิดหวัง คิดว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตของตน จะหาหญิงสาวผู้นั้นได้หรือเปล่า ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัว ก็ทรงคิดไม่ต่างจากองครักษ์ผู้รับใช้สักเท่าไร
“อย่าว่าแต่เจ้าเลยอัสรัสส์ เราก็รอมาจนถึง 31 ปีแล้ว แต่เรายังไม่เจอหญิงสาว ที่รักเราอย่างจริงใจสักคน”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงบ่นกระปอดกระแปด ถึงเรื่องเนื้อคู่ตุนาหงันของพระองค์ กับองรักษ์เอกไม่ได้หยุด โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ท่านพ่อและท่านแม่ของพระองค์ รวมทั้งขนิษฐาตัวแสบได้แอบมายืนฟังอยู่ข้างๆ ประตูห้องได้สักพักใหญ่แล้ว
ราชนิกุลหนุ่มผู้ที่จะก้าวขึ้นครองราชย์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปที่นอกระเบียบ ซึ่งสามารถทอดสายตา มองเห็นคลื่นทะเลทรายสีทอง อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็ทรงรำพึงงำพันออกมาอีกครั้ง
“ชาตินี้จะมีหญิงสาวคนไหนที่เหมือนท่านแม่บ้างนะ จะต้องรอไปอีกกี่ปี ถึงจะได้เจอหญิงสาวคนนั้น”
“แม่คิดว่าไม่นานเกินรอ ฟารีสต์ก็จะได้พบกับหญิงสาวคนนั้นอย่างแน่นอน”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์หันขวับตามน้ำเสียงที่ลอยมาตามสายลมอันแสนไพเราะ เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาที่พระมารดาได้มอบให้กับพระองค์เสมอ และเมื่อได้เห็นร่างโปร่งบางของพระมารดา ที่คงความสวยไม่สร่าง แม้จะล่วงเข้าวัยห้าสิบปีตอนปลายแล้วก็ตาม ซึ่งได้เดินนำหน้าพระบิดาของพระองค์มา ก็ได้รีบเข้าไปสวมกอดพระมารดาไว้แนบแน่นด้วยความรัก
“ท่านแม่ เสด็จมาเมื่อไร ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“แหม! ขืนมาแบบอึกทึกครึกโครม ก็ไม่ได้รู้กันพอดี ว่าพี่ชายสุดหล่อของติย่า กำลังบ่นหาเนื้อคู่ผู้เคราะห์ร้ายอยู่”
องค์หญิงฟาติย่า ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ หรือติย่า องค์หญิงแสนสวย ขนิษฐาของมกุฎราชกุมารฟารีสต์ ได้เอ่ยแซวเชษฐา ก่อนจะหัวเราะคิกพร้อมกับหวีดร้องเสียงหลง วิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังพระบิดา เมื่อเชษฐาแกล้งตีหน้ายักษ์ ทำเสียงฮึ่มๆ แล้วเดินเข้าใส่ทันที
“ยายติย่าตัวแสบ เข้าใจแซวพี่นักนะ มานี้เลย มาให้พี่ลงโทษซะดีๆ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ แสร้งตีสีพระพักตร์ถมึงทึง ก้าวเท้ายาวๆ เข้าหาองค์หญิงฟาติย่า นางฟ้าแสนสวยของราชวงศ์ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ที่นอกจะมีใบหน้างดงามไม่แพ้พระมารดาแล้ว ยังดื้อรั้น แสบซนสุดๆ และเมื่อขนิษฐาร้องกรี๊ดวิ่งเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังพระบิดา ใช้เรือนกายใหญ่โตของพระบิดาเป็นที่หลบกำบัง ก็รีบวิ่งเข้าไปหา พร้อมกับเอื้อมพระหัตถ์ไปคว้าต้นแขนขาวเนียนของขนิษฐาคนสวย
“กรี๊ด!!! ท่านพี่ฟารีสต์ ติย่าไม่เล่นแล้วนะ”