บทที่ 1 (2)
องค์หญิงฟาติย่าร้องบอกรัวเร็ว ก่อนจะวิ่งหนีเชษฐาอยู่รอบๆ ตัวพระบิดากับพระมารดา พอเห็นจวนตัวว่ากำลังจะถูกเชษฐาจับได้ก็รีบเอ่ยบอกเสียงร้อนรนอีกครั้ง
“ท่านพี่...ติย่ายอมแพ้แล้ว เลิกไล่เถอะ ติย่าเหนื่อย”
องค์หญิงคนสวยยังหลบอยู่ข้างหลังพระบิดาเหมือนเดิม โผล่เฉพาะใบหน้างดงามคมเข้ม แบบลูกครึ่งอาหรับมามองเชษฐา ตอนที่ได้เอ่ยขอร้องเสียงสั่นเพราะเหนื่อยหอบ
“ทำไมเหนื่อยเร็วนักล่ะติย่า ตะกี้พี่ยังเห็นเธอร้องกรี๊ดๆ วิ่งรอบท่านพ่ออยู่เลย”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อมารยาของขนิษฐาคนสวย เพราะฟาติย่านอกจากจะสวยน่ารัก ชาญฉลาดแล้ว ยังมารยาไม่มีใครเกิน
องค์หญิงฟาติย่าหันไปมองท่านพ่อท่านแม่ ก่อนจะทำตาปริบๆ ดูน่าสงสาร พร้อมกับร้องขอเสียงอ่อย เรียกรอยยิ้มได้จากผู้ที่เป็นเชษฐา
“ท่านพ่อ ท่านแม่คะ บอกให้พี่ฟารีสต์ หยุดไล่ติย่าหน่อยสิคะ ติย่าเหนื่อย เมื่อยขาไปหมดแล้ว”
พระชายาปิณฑิรากับชีคฟาซิซต์ พระมารดา พระบิดาของมกุฎราชกุมารหนุ่มและองค์หญิงฟาติย่า ต่างก็มองพระพักตร์กันแล้วยิ้มกว้าง ส่ายพระพักตร์ราวกับระอาการเล่นหยอกล้อของโอรสธิดาของพวกตน ที่มักจะเล่นกันราวกับเด็กตัวเล็กๆ ทั้งๆ ที่จะขึ้นครองราชย์อยู่ไม่กี่วันแล้ว
“ฟารีสต์ เลิกแกล้งน้องเถอะ เดี๋ยวติย่าหายใจหายคอไม่ทัน จะเป็นลมเป็นแล้งได้”
ชีคฟาซิซต์ ผู้เป็นบิดาได้ตรัสห้ามโอรส ที่ยังคงแกล้งตีหน้ายักษ์ใส่ขนิษฐาอยู่ และหากให้เดา พระองค์รู้ว่าองค์หญิงแสนสวย ซึ่งหลบอยู่ข้างหลังพระองค์ คงกำลังตีหน้าทะเล้นใส่ผู้ที่เป็นเชษฐาอยู่เช่นเดียวกัน
“จริงด้วยค่ะ เลิกแกล้งติย่าได้แล้ว ติย่านะแสนจะบอบบางและอ่อนหวาน ขืนให้วิ่งมากๆ จะเป็นลมล้มพับไปกองกับพื้นนะท่านพี่”
องค์หญิงฟาติย่า รีบพยักหน้าเออออห่อหมกตามที่พระบิดาได้ตรัสออกมา แต่แทนที่จะทำสีหน้าให้ดูน่าสงสารตามน้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา องค์หญิงคนสวยกลับตีหน้าทะเล้น แลบลิ้นใส่เชษฐา พร้อมกับแอบหัวเราะคิกอยู่ตลอดเวลา
มกุฎราชกุมารฟารีสต์กลอกตาขึ้นบนอย่างเซ็งๆ เมื่อรู้ว่าพระองค์ต้องพ่ายแพ้ ให้กับความแก่นแก้วของขนิษฐาอีกแล้ว
“ท่านพ่อ ถือท้ายบ่อยๆ แบบนี้ เดี๋ยวยายตัวเปี๊ยกก็เหลิงได้ใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่ตรัสออกมานั้นอาจจะฟังดูเป็นการตำหนิ แต่จริงๆ แล้วมกุฎราชกุมารหนุ่ม ตรัสออกมาเพราะความรักในตัวขนิษฐาต่างหาก องค์หญิงฟาติย่า ห่างจากพระองค์ 7 ปี แม้ว่าขนิษฐาจะมีอายุถึง 25 ปีแล้ว แต่พระองค์ก็คิดเสมอว่าฟาติย่ายังเป็นองค์หญิงน้อยๆ ตัวกะเปี๊ยกที่พระองค์เคยให้ขี่คอเล่นเมื่อหลายยี่สิบปีก่อน
“ท่านพี่นะ ทำไมชอบเรียกติย่าว่ายายตัวเปี๊ยกด้วย ติย่าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
ผู้ที่เป็นพระบิดาไม่ทันได้ตอบโอรส คนที่ถูกเรียกว่ายายตัวเปี๊ยก ก็ก้าวออกมาจากหลังของพระบิดาแล้วยกมือเท้าสะเอว จ้องมองเชษฐาอย่างหาเรื่อง
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงหัวเราะร่วน ไม่ได้นึกหวาดกลัวเลยสักนิด กับท่าทางจ้องมองตาเขียวปั้ด กัดฟันกรอดๆ ของขนิษฐา พระองค์ก้าวเท้าเข้าไปยืนใกล้ๆ กับองค์หญิงแสนสวย ที่พระองค์รักและทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าตุ๊กตาเจียระไนเปราะบาง จากนั้นก็จิ้มนิ้วไปบนหน้าผากมนของขนิษฐา แล้วตรัสแซวกลั้วหัวเราะ
“ไม่ว่าติย่าจะเติบโตเป็นสาวสวยเพียงใด ติย่าก็ยังเป็นยายตัวเปี๊ยกของพี่เสมอ”
“แล้วเมื่อไรจะเลิกเรียกติย่าว่ายายตัวเปี๊ยก”
องค์หญิงฟาติย่าย่นจมูกใส่ เอื้อมมือไปคว้าปลายนิ้วของเชษฐาหมายจะจับมากัดให้จมเขี้ยว แต่ทว่าผู้ที่เป็นเชษฐารู้เท่าทัน รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรัสตอบกลั้วหัวเราะให้ขนิษฐาได้กระทืบเท้าเพราะความโมโห
“พี่จะเลิกเรียกติย่าว่ายายตัวเปี๊ยก ก็ต่อเมื่อติย่าได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสแล้ว”
“ฮึ! ถ้างั้นท่านพี่คงได้เรียกติย่าว่า ยายตัวเปี๊ยกไปตลอดทั้งชีวิตนั้นแหละ”
เจ้าของใบหน้าสวยหวาน ทำเสียงขึ้นจมูก ตอบกลับเชษฐาด้วยน้ำเสียงขุ่น จนผู้ที่เป็นพระมารดาอดที่จะตรัสถามออกมาไม่ได้ หลังจากฟังโอรสธิดาได้โต้เถียงกันอยู่นาน
“ติย่า...พูดแบบนี้แสดงว่าหนูไม่คิดจะแต่งงานเลยใช้ไหมลูก”
ผู้ที่เป็นพระมารดาเอ่ยถามเสียงเป็นกังวล อายุล่วงเข้าตั้ง 25 ปีแล้ว แต่ธิดาคนสวยยังไม่เคยคิดเรื่องคู่ครองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
องค์หญิงฟาติย่า ตีหน้ามุ่ยขณะหันมามองพระมารดา จากนั้นก็เอ่ยตอบเสียงอ่อย แต่ทว่าเรียกรอยยิ้มได้จากพระบิดาและเชษฐาของตนเอง
“ก็ติย่ายังไม่พบใครที่เหมือนท่านพ่อกับท่านพี่ฟารีสต์นี่คะ อีกอย่างติย่ายังไม่เห็นว่าจะมีบุรุษหนุ่มจากชาติใด ที่กล้าเสี่ยงลูกปืนเข้ามาจีบติย่า พอทุกคนรู้ว่าติย่าเป็นองค์หญิง เป็นขนิษฐาของท่านพี่ฟารีสต์ พวกผู้ชายเหล่านั้นก็พากันกลัวหัวหด ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ติย่าสักราย”
ผู้เป็นพระมารดารวมทั้งองครักษ์อัสรัสส์ ต่างก็หัวเราะออกมาเบาๆ กับคำบ่นขององค์หญิงแสนสวย เพราะเป็นที่รู้กันทั่วทั้งประเทศอัสดารานส์ ว่ามกุฎราชกุมารฟารีสต์นั้นหวง และรักขนิษฐามากเพียงใด ขนาดว่าตอนไปศึกษาอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ พระองค์ก็ได้โทรศัพท์ข้ามทวีปมาหาขนิษฐาทุกวัน มีอยู่ปีหนึ่งพระองค์ได้ทราบข่าวจากพระบิดา พระมารดาว่าองค์หญิงฟาติย่าไม่สบายมาก และในวันถัดมาก องค์หญิงฟาติย่าซึ่งกำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ก็ได้เห็นพระพักตร์ของเชษฐา ที่รีบบินด่วนมาจากอิลลินอยส์ มาเฝ้าไข้องค์หญิงถึงขอบเตียง
ผู้เป็นเชษฐาคลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ กับคำพูดของขนิษฐาที่รัก พระองค์ได้เดินไปโอบรอบบ่าขององค์หญิงฟาติย่า ก่อนจะตรัสสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่าย
“ดีแล้วที่ติย่าไม่เจอไอ้พวกผู้ชายขี้แยเหล่านั้น เพราะหากพวกมันปกป้องน้องสาวของพี่ไม่ได้ พี่ก็ไม่ยอมปล่อยให้นางฟ้าน้อยๆ ของพี่ ไปอยู่ในมือของพวกมันเช่นกัน”
ผู้เป็นพระบิดาได้เดินมาโอบกอดธิดา ก่อนจะตรัสบอกความคิดของพระองค์บ้าง “จริงอย่างที่ฟารีสต์พูดออกมานะติย่า หากคนที่จะมาเป็นคู่ครองของติย่า ไม่แกร่งมากพอที่จะปกป้องติย่าได้ พ่อก็ไม่ยอมปล่อยให้มันได้เข้าใกล้ติย่าเช่นเดียวกัน บุรุษหนุ่มไม่ว่าจากชาติใด ภาษาใด ที่คิดจะมาเป็นคนรักของติย่า พวกเขาต้องผ่านด่านของพ่อกับพี่ชายหนูให้ได้”
องค์หญิงแสนสวย ผู้ถูกพระบิดาและเชษฐาปกป้องเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน ได้ตีสีหน้าราวกับเซ็งสุดๆ ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา
“ติย่าคิดว่าท่านพ่อกับท่านแม่ ต้องเตรียมคานทองนิเวศไว้รอติย่าแล้วล่ะคะ เพราะป่านนี้แล้วติย่ายังไม่เจออัศวินขี้ม้าขาวสักราย และคิดว่าอีก 20 ปีข้างหน้าก็คงไม่เจอเช่นเดียวกันเพคะ”
องค์หญิงแสนสวยแห่งอัสดารานส์เอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่องค์หญิงฟาติย่า หารู้ไม่ว่าอีกไม่นานเกินรอ ก็จะมีอัศวินผู้ใจกล้าเสี่ยงลูกปืน ได้ขี่ม้าขาวเข้ามาในชีวิตขององค์หญิง
เมื่อได้พูดถึงเรื่องเนื้อคู่ตุนาหงันแล้ว ชีคฟาซิซต์กับพระชายาปิณฑิราก็ได้มองหน้ากัน ก่อนที่พระชายาปิณฑิราจะเป็นฝ่ายออกปากตรัสบอกกับโอรสหนุ่ม
“ฟารีสต์ แม่อยากจะคุยกับลูกเรื่องคู่ครองของลูก”
ผู้ที่เป็นโอรส เจ้าของนัยน์ตาสีนิลได้หันมามองพระมารดา ด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ก่อนจะตรัสถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะท่านแม่”
“เราไปคุยกันที่ห้องทำงานดีไหม”
ผู้เป็นพระบิดาเสนอความเห็น เพราะไม่ต้องการให้ธิดาได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว ธิดาจอมแก่นคงได้โวยวายไม่เลิกแน่ หากรู้เรื่องนี้เข้า เพราะองค์หญิงฟาติย่าไม่ถูกกับผู้ที่อาจจะกำลังก้าวมาเป็นพี่สะใภ้ของเธอ
“ถ้างั้นเชิญท่านพ่อกับท่านแม่พ่ะย่ะค่ะ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ผายพระหัตถ์ให้พระบิดาพระมารดา ได้เดินไปที่ห้องทรงงานของพระองค์ พอขนิษฐาคนสวย ทำท่าจะก้าวตามไปด้วย ก็รีบขวางทางไว้ ก่อนจะส่งสัญญาณให้องครักษ์อัสรัสส์ได้เข้ามาจับตัวองค์หญิงไว้
“ติย่า...” ผู้เป็นเชษฐาเรียกขนิษฐาเสียงทุ้มลึก ดวงตาสีนิลขึงมองคนตรงหน้าเขม็ง ก่อนจะตรัสสั่งห้ามอีกครั้ง “งานนี้น้องไม่เกี่ยว ห้ามเข้าไปในห้องทำงานของพี่และห้ามแอบฟังด้วย”
องค์หญิงฟาติย่าถึงกับตีหน้ามุ่ยแอบกัดฟันด้วยความโมโห ที่ถูกเชษฐาดักคออย่างรู้เท่าทัน
“ฮึ! ไม่เห็นจะอยากรู้เลย ติย่าไปขี่ม้าเล่นก็ได้เพคะ”
ว่าแล้วองค์หญิงแสนสวยก็สะบัดหน้าพรึบราวกับงอนหนักหนา ก่อนจะกระแทกเท้าเดินหนีออกไปจากตำหนักของผู้ที่เป็นเชษฐา
“อัสรัสส์ ยืนเฝ้าหน้าห้องทำงานด้วย เรารู้ว่าไม่เกินห้านาที ติย่าต้องกลับมาแน่นอน”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
องครักษ์อัสรัสส์รับคำ พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะเขาเองก็คิดเช่นเดียวกันกับเจ้าเหนือหัว ว่าองค์หญิงฟาติย่าไม่ได้ไปขี่ม้าเล่นตามที่ได้เอ่ยบอกไว้ และเมื่อเรือนกายกำยำล่ำสันของมกุฎราชกุมารฟารีสต์ ได้เข้าไปในห้องทรงงานแล้ว เขาก็ปิดประตูตามหลัง ก่อนจะยืนตรงแด่วราวกับเสาธงชาติเฝ้าโยงอยู่หน้าห้องทรงงาน ทำหน้าที่ไม่ต่างจากยักษ์วัดแจ้ง ที่คอยรักษามรดกของประเทศนานนับร้อยๆ ปีโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
องค์หญิงฟาติย่าแอบย่องกลับเข้ามาในตำหนักของเชษฐา ใบหน้างามค่อยๆ โผล่เข้ามาในห้องหรูหรา พอได้เห็นองครักษ์อัสรัสส์ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทรงงาน ก็ถึงกับสบถออกมาเบาๆ
“ท่านพี่นะท่านพี่ รู้ทันติย่าไปหมดว่าติย่าคิดอะไรอยู่ ฮึ! ติย่าจะต้องรู้ให้ได้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่คุยกับท่านพี่ในเรื่องอะไร”