บทที่ 2 ผู้ชายริมทาง
รถกระบะคันเก่าแล่นมาจอดเทียบหน้าร้านขายยาในเวลาเย็น ผู้ชายร่างสูงผลักประตูเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังตู้ยาปรายตาขึ้นมามองเขานิดเดียว ก่อนจะถอนหายใจยาว
“ไม่มีข่าวคราวของแม่หนูคนนั้นหรอก เธอไม่ได้มาที่นี่อีก”
“เธอไม่ใช่ลูกจ้างในร้านนี้จริงๆ หรือครับ”
“เคนถามน้ากี่ครั้ง น้าก็ตอบเหมือนเดิมว่าไม่ใช่ ที่เคนเห็นเธออยู่ในร้านตอนนั้น เพราะน้าเห็นว่าเธอไม่ค่อยสบาย ท่าทางเหมือนจะเป็นลม น้าเลยให้นั่งพักในร้านจนหายดี เราคิดไปเองสิท่าว่าเธอเป็นลูกจ้างของน้า”
ไม่ใช่เราคิดไปเอง แต่ผู้หญิงคนนั้นบอกเราว่าเธอขายยา...มันก็หมายถึงเป็นลูกจ้างในร้านขายยาร้านนี้นั่นแหละ
ธฤตพ่นลมหายใจพรั่งพรูออกมา อยากฟันธงว่าตนถูกผู้หญิงคนนั้นย้อมแมวมาอัปราคาขายตัว แต่เขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่ เพราะเขาพิสูจน์มาด้วยตัวเองแล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำ
ผู้หญิงคนนั้นยังสดใหม่ เธออาจไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน ธฤตนึกสงสัยว่าเธออาจเลือกเขาให้เป็นแขกคนแรกของเธอ ค่ำคืนนั้นทั้งสองคนร่วมหลับนอนกันหลายต่อหลายครั้ง จนเขาผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนสาย เขาก็ไม่พบเธอเสียแล้ว
ในตอนนั้นธฤตผลุนผลันไปสำรวจกระเป๋าสตางค์และกระเป๋าเสื้อผ้า คิดว่าตนถูกลอกคราบแน่นอนแล้ว หากทั้งเงินทั้งข้าวของทุกชิ้นยังอยู่ครบ เธอไม่ได้หยิบอะไรไปเลย แม้แต่เงินค่าตัวสองพันบาทของเธอ
ธฤตอยากคิดว่าส้มหล่นใส่ตนทั้งเข่ง แต่เขาดันคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะวันเวลาผ่านมาถึงสามเดือนแล้ว แต่เขายังตัดใจจากเธอไม่ได้
ดวงหน้าของผู้หญิงคนนั้นยังลอยวนเข้ามารบกวนจิตใจ เรือนร่างขาวนวลและผิวพรรณนุ่มละมุนทำให้ร่างกายของเขาตื่นตัวทุกครั้งยามนึกถึง...สุดท้ายเขาก็ต้องแวะเวียนมาถามหาเธอจากร้านขายยาแห่งนี้
“ถ้าเธออยู่ในอำเภอเรา ยังไงน้าก็คงได้เจอหน้าเธออีก เพราะร้านขายยาในตัวอำเภอมีแค่ร้านน้าร้านเดียว”
ธฤตคาดการณ์ไว้ มันต้องมีสักวันแหละน่าที่ผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาซื้อยาจากร้านนี้อีก
“เอาเป็นว่าถ้าเธอมา น้าจะบอกเธอไว้ให้ก็แล้วกัน...บอกทั้งที่น้าก็ไม่รู้เหตุผลว่าเคนตามหาเธอทำไม”
ใจอยากคิดว่าธฤตติดตาต้องใจผู้หญิงคนนั้น แต่พอนึกย้อนไปถึงตอนที่ทั้งสองคนอยู่ในร้านด้วยกัน เขาก็ไม่เห็นว่าธฤตไม่ได้แสดงท่าทีที่บ่งบอกว่าสนใจผู้หญิงคนนั้น แถมยังมองผ่านเธอเหมือนเป็นอากาศเสียด้วยซ้ำ
กลับเป็นผู้หญิงคนนั้นเสียอีกที่ลอบมองธฤตอยู่หลายหน แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไร เพราะเจ้าหมอนี่หล่อวายร้าย เดินไปทางไหน สาวๆ ก็หันมองกันเกรียวเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
“ว่าแต่เราเข้าเมืองมาทำอะไร”
“ซื้ออาหารไก่”
“ตั้งใจทำฟาร์มไก่จริงๆ รึ”
“ครับ ผมต้องเริ่มทำอะไรจริงจังแล้ว”
ธฤตกลับมาบ้านเกิดด้วยความรู้สึกของคนที่ล้มเหลวในการทำงานโดยสิ้นเชิง พ่อเลี้ยงชาวมาเลเซียซึ่งทำรีสอร์ตอยู่ที่มะละกาส่งเขาไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อเรียนจบ เขาก็บินกลับมาเมืองไทยเพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจหลายอย่าง แต่งานของเขากลับเจ๊งไม่เป็นท่า จนแม่ต้องเรียกตัวให้ไปหาที่มะละกา แล้วชักชวนให้เขาอยู่ดูแลรีสอร์ตที่นั่นด้วยกัน
ธฤตอยู่ที่มะละกาได้แค่ไม่กี่เดือน เขาก็ตัดสินใจก้าวออกมา เพราะรู้ว่าที่ตรงนั้นไม่เหมาะกับตน เมื่อไม่มีความสุขที่จะอยู่ เขาก็จะไม่ฝืนใจตัวเอง ซึ่งแม่กับพ่อเลี้ยงก็ห้ามเขาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องหอบเสื้อผ้ากลับมาปักหลักที่บ้านเกิดหลังจากที่จากไปนานถึงสามปี
เขาตั้งใจกลับมาพลิกฟื้นที่ดินมรดกของยายที่มีจำนวนหลายแปลง นับรวมกันแล้วก็เกือบถึงหนึ่งร้อยไร่ ที่ดินเหล่านี้ตกทอดมาถึงแม่ของเขา ซึ่งแน่นอน...ในฐานะที่เขาเป็นลูกคนเดียวของแม่ สมบัติเหล่านี้จะไปไหนเสีย
ธฤตถือว่าตัวเองเป็นคนโชคดี เขามีชีวิตที่ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนเพื่อนรอบตัวอีกหลายคน นับตั้งแต่จำความได้ แม่เลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี ส่วนพ่อนั้นรับราชการในต่างจังหวัด นานๆ ครั้งถึงมาหาเขากับแม่ กระทั่งวันหนึ่งเขารู้ว่าพ่อกับแม่แยกทางกัน โดยตัวเขาต้องอยู่กับแม่ ในคราวนั้นธฤตไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง เพราะเขาอยู่กับแม่กันแค่สองคนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
กระทั่งพ่อเลี้ยงชาวมาเลเซียก้าวเข้ามาในชีวิตของแม่ ธฤตกลับสัมผัสถึงความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์มากขึ้น พ่อเลี้ยงสอนให้เขาเรียนรู้ทักษะที่เด็กผู้ชายวัยกำลังเติบโตสักคนควรมี สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสนิทสนมกับพ่อเลี้ยงไปโดยปริยาย
ถึงแม้ชีวิตได้รับการเติมเต็มจากแม่และพ่อเลี้ยง แต่ธฤตยังรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรบางอย่าง...เขาอยากประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง เขาต้องการยืนให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ซึ่งการกลับมาที่บ้านเกิดคราวนี้ เขาตั้งใจไว้ว่าจะทุ่มเทแรงกายและแรงใจทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว ชนิดที่ว่าไม่สำเร็จไม่เลิกรา
ธฤตเดินออกมาจากร้านขายยาเมื่อหมดธุระของตนแล้ว ก่อนจะขับรถกระบะคันเก่าของแม่ที่ทิ้งไว้ในบ้านหลังเดิมเพื่อไปยังร้านขายอาหารสัตว์เจ้าใหญ่ของตัวอำเภอ
ร่างกายของพลอยพยอมยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเธอกำลังตั้งท้อง นอกจากป้าชวนชมที่เธอบอกให้รู้พร้อมกับใบแจ้งผลการตั้งครรภ์ที่ได้จากโรงพยาบาลรัฐประจำอำเภอ กระทั่งในเช้าวันนี้อาการแพ้ท้องของเธอก็สำแดงขึ้นมา จนคนงานที่กำลังกวาดใบไม้ตรงลานดินใกล้กับบ้านพักของเธอต้องชะเง้อมอง
“พลอยเป็นอะไร ป้าได้ยินเสียงอ้วกมาสักพักแล้ว”
ป้าจันทร์ลากไม้กวาดทางมะพร้าวเดินมาเกาะบานประตูแล้วถามเมื่อนางตัดความสงสัยออกไปไม่ได้ ดวงตาหรี่มองด้วยกำลังคาดเดาบางอย่าง
“ไม่เป็นไรจ้ะป้า”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง เห็นอยู่ว่าอ้วกจนจะเป็นลมอยู่แล้ว หน้าก็ซีดอย่างกับอะไรดี พลอยไม่สบายหรือเปล่า จะให้ป้าไปขอยาจากคุณชมมาให้ไหม”
“ไม่เป็นไร หนูมียาดมแล้ว”
“ยาดม? เวียนหัว? คลื่นไส้?”
ต่อมเอ๊ะ! เริ่มทำงาน ป้าจันทร์ก็ช่างปะติดปะต่อ ก่อนนางจะพูดโพล่งอย่างคนปากไว
“อาการเหมือนคนแพ้ท้อง”
เมื่อหลุดปากพูดไปแล้ว หญิงชราก็สะดุ้งโหยง มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันแบบไม่ระวังปากได้ เพราะพลอยพยอมยังสาวยังแส้ เจ้าตัวยังไม่มีสามี และที่สำคัญ พลอยพยอมเป็นหลานของเจ้านาย ไม่ใช่คนงานอย่างพวกนาง...ถ้าขืนพูดมากไป นางอาจเดือดร้อน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ป้าจันทร์ก็รีบบอกขอโทษด้วยหวังจะเอาตัวรอด
“เมื่อกี้ป้าปากพล่อย ขะ...”
“ป้าจันทร์เก็บตะลิงปิงหลังเรือนป้าชมมาให้หนูหน่อยสิ หนูอยากกิน เอามาเต็มถุงเลยนะ หนูจะเก็บไว้กินวันอื่นด้วย”
ขอโทษยังไม่เสร็จ คนที่กำลังยันกายลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางอ่อนระโหยก็พูดแทรกขึ้นมา นอกจากเจ้าหล่อนไม่ติดใจที่นางปากพล่อยแล้ว พลอยพยอมยังขอในสิ่งที่ทำให้หญิงชราตาค้างอีกด้วย
ท้อง! พลอยท้องแน่ๆ เอาหัวอีจันทร์เป็นประกันได้เลย!
ในบ้านสองชั้นหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวอำเภอ สองสามีภรรยากำลังพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ในห้องนั่งเล่น
“อย่างนี้ก็หมายความว่าเราส่งยายพลอยไปให้คุณไกรไม่ได้แล้วสิ ทีนี้จะทำยังไงล่ะ เงินวิ่งเต้นเลื่อนตำแหน่งของพี่เป็นเงินของคุณไกรทั้งนั้น แถมเขายังช่วยพูดฝากฝังพี่กับผู้ใหญ่ให้อีกด้วย ถ้าเขารู้ว่ายายพลอยท้อง เราไม่ต้องซวยกันหมดเหรอ”
“ฉันถึงบอกว่าเราต้องรีบหาทางออกให้เร็วที่สุดไง”
“ทางออกอะไร? พี่จะเอาเงินไปคืนคุณไกรเหรอ เขาจ่ายเงินแทนเราไปไม่ต่ำกว่าสิบล้านเลยนะ พี่จะหาเงินสิบล้านมาจากไหน”
“ฉันจะขายที่ดินริมหาดสักแปลง ส่วนความช่วยเหลือด้านอื่นที่คุณไกรเคยให้กับเรา เรายังตอบแทนเขาไม่ได้ ฉันก็ตั้งใจจะเข้าไปขอความกรุณาจากเขาไว้ก่อน”
เฮอะ!...
นางกัญญากระตุกยิ้มหยัน สามีของนางคิดจะขอความกรุณาจากคนอย่างคุณไกร!...เขาคงบ้าไปแล้วถึงคิดอะไรอย่างนี้ได้ คนอย่างคุณไกรนะหรือที่จะมีความกรุณาให้ใคร
แต่หากจะว่าไป เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ มันก็เป็นปัญหาของเขา นางควรปล่อยให้เขาแก้ปัญหาเอง นางไม่ควรพาตัวเองไปวุ่นวายกับเขา...ทว่านางก็ต้องติงบางเรื่องเอาไว้
“พี่จะขายที่ดินแปลงไหนก็ขายไป แต่อย่าแตะต้องที่ดินของฉันกับที่ดินที่กันไว้ให้ยายปุ๊กกับตาโป้งก็แล้วกัน”
“ที่ดินแปลงไหนๆ มันก็เป็นสมบัติของฉัน ถ้าฉันไม่หามาเอง มันก็เป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ของฉัน เธอน่ะมาแต่ตัว อย่าริอ่านพูดอะไรโง่ๆ ส่วนยายปุ๊กกับตาโป้งก็เป็นลูกของฉัน ฉันจะให้หรือไม่ให้ มันก็เป็นเรื่องของฉัน ตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังเดือดร้อน ถ้าฉันแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ทั้งเธอทั้งลูกก็ต้องเดือดร้อนเหมือนกัน ฉันอยากรู้นักว่าถ้าถึงเวลานั้นเธอจะยังงกอยู่ไหม”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณชัชชัยพูดแรงๆ ใส่หน้านางกัญญาเช่นนี้ แรกๆ นางรู้สึกหน้าชา แต่พอหลังๆ นางก็ชินชา รู้ว่าไม่ควรนำคำพูดของสามีมาถือเป็นอารมณ์ เพราะนางควรเพ่งความสนใจไปที่ผลประโยชน์ของตัวเองกับลูกเอาไว้เป็นสำคัญ
“ฉันแค่คิดว่ายายปุ๊กกับตาโป้งไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมพี่ต้องเอาที่ดินในส่วนของลูกไปชดใช้ให้คุณไกรด้วย ทำไมพี่ไม่ไปไล่บี้เอากับยายพลอย ทำไมพี่ไม่ให้ยายพลอยรับผิดชอบเอง เพราะเรื่องมันเกิดจากยายพลอยไม่รักดี มันรู้อยู่แล้วว่าหลังจากเรียนจบ มันจะต้องไปอยู่กับคุณไกร แต่มันก็แรดจนได้เรื่อง เป็นเพราะยายพลอยทำตัวไม่ดี บ้านเราเลยต้องเดือดร้อน”
นางกัญญาชี้ให้สามีมองอีกมุม...นางไม่สนหรอกว่าใครจะมองว่าตรรกะของนางวิบัติ ขอเพียงให้ปัญหานี้พ้นจากครอบครัวของนางได้ก็พอ