บทที่ 1 ผู้ชายริมทาง
สามเดือนผ่านไป ณ บ้านทรงไทยที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง แขกที่มาเยือนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เขากำลังเครียดจัด มือกำแน่นจนเห็นเส้นเอ็นปูดโปน
“ยายพลอยท้องได้ยังไง ใครเป็นพ่อของเด็ก”
“ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่ได้เฝ้ายายพลอยไว้ตลอดเวลานี่นา ตอนมันไปเรียนหนังสือ มันแอบคบใครหรือเปล่า”
คุณชวนชมตอบน้องชายเสียงเหนื่อยหน่าย...ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย พลอยพยอมขอย้ายไปอยู่ที่หอพัก นางก็อนุญาต เพราะไม่อยากวุ่นวายกับหลานสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่เลี้ยงดูจนเจ้าตัวเติบโตมาได้ก็ถือว่านางเสียสละมากพอแล้ว
“ผมให้คนไปสืบมาแล้ว ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ยายพลอยไม่มีแฟน มันไม่ได้คบใคร ผมถึงได้ถามพี่อยู่นี่ไงว่ามันอยู่ทางนี้มีผู้ชายไปมาหาสู่บ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอก วันๆ ยายพลอยไม่ได้ออกไปไหน มันหมกตัวอยู่แต่ในโรงเรือนเพาะเห็ด ไม่ได้สุงสิงกับใคร กับข้าวกับปลาก็ทำกินเอง ถ้ามันออกไปข้างนอกก็ต้องเดินผ่านหน้าเรือนหลังนี้ คนในบ้านนี้ก็ต้องเห็น”
“คนงานเป็นพ่อของเด็กในท้องของมันหรือเปล่า?”
คุณชัชชัยถามอย่างคาดเดา ในขณะเดียวกันเขาก็ภาวนาว่าขออย่าให้มันเป็นจริง เขาไม่ได้คิดว่าพลอยพยอมใฝ่ต่ำแอบคบหากับคนงานในบ้าน แต่เขากำลังกลัวว่าลูกสาวที่เขาไม่เคยเหลียวแลนั้นอาจถูกคนงานบังคับขืนใจจนท้องป่องคาบ้าน...ซึ่งคำตอบของพี่สาวก็ทำให้เขาหายใจหายคอคล่องขึ้น
“เรื่องนี้เลิกคิดไปได้ ฉันถามพวกคนงานครบทุกคนแล้ว ไม่มีใครไปยุ่งกับยายพลอย ฉันเองก็ไม่ได้สงสัยใคร พวกผู้ชายที่อยู่ในรั้วบ้านของฉันก็มีแต่พวกเฒ่าชรา แต่ละคนก็แก่ใกล้ตายแล้วทั้งนั้น พวกนั้นไม่มีแรงไปทำอะไรลูกสาวของเธอหรอก”
คุณชวนชมบอกเสียงสะบัด นางเองก็รู้สึกหงุดหงิดใจที่รู้ว่าหลานสาวที่เกิดจากเมียลับของน้องชายได้ตั้งท้องขึ้นมา พลอยพยอมอาศัยอยู่ในบ้านของนาง นางกลัวว่าในท้ายที่สุดตนเองจะหนีความรับผิดชอบไม่พ้น...เมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงวัยกลางคนจึงพูดดักทางขึ้นมาก่อน
“ฉันไม่ยุ่งเรื่องของยายพลอยแล้วนะ เธอจะจัดการยังไงก็ตามใจเธอ คราวนังแสงเดือนก็ทีหนึ่งแล้ว อยู่ๆ ก็หนีไปมีผัวใหม่ ทิ้งยายพลอยเอาไว้ตั้งแต่ตัวแดงๆ พอไม่มีใครเอาไปเลี้ยง ยายพลอยก็ตกมาอยู่ในมือของฉัน อย่าคิดว่าพอฉันไม่มีลูกไม่มีผัวก็เอาภาระมาใส่มือฉันได้เรื่อยๆ ฉันอยากอยู่แบบสบายตัวเหมือนกัน ฉันไม่ใช่ที่ที่ใครจะเอาภาระมาให้อย่างไม่หยุดหย่อน”
“รู้หรอกน่า ผมไม่ได้คิดจะให้พี่ช่วยเลี้ยงลูกของยายพลอยสักหน่อย...ว่าแต่พี่ถามยายพลอยแล้วใช่ไหมว่ามันท้องกับใคร”
“โอ๊ย! ฉันถามจนปากจะฉีกถึงใบหูแล้ว ยายพลอยบอกแต่ว่าพ่อของเด็กในท้องเป็นคนที่มันไม่รู้จัก มันพูดจริงเท็จแค่ไหนฉันก็ไม่รู้ พอถามมากกว่านี้มันก็เงียบ ฉันเองก็จนปัญญา ไม่รู้จะง้างปากมันยังไง เธอไม่ได้เลี้ยงมันมา คงไม่รู้ว่ายายพลอยดื้อเงียบ มันไม่ได้หัวอ่อนอย่างที่ใครๆ คิด”
นั่นสินะ...
คุณชัชชัยนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เขาวาดแผนการไว้อย่างดีว่าเมื่อพลอยพยอมเรียนจบ เขาจะส่งลูกสาวไปให้คุณไกร นักการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในระดับจังหวัด ซึ่งฝ่ายนั้นทาบทามพลอยพยอมไว้ตั้งแต่เจ้าตัวเรียนมัธยมแล้ว หากคราวนั้นพลอยพยอมดิ้นรนจนได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย แถมยังให้ครูที่โรงเรียนมาช่วยพูดกับเขา ซึ่งเขาจะว่าอย่างไรได้ ก็ต้องยินยอมให้พลอยพยอมได้เรียนต่อ แล้วบากหน้าไปขอยืดเวลากับคุณไกร
ตลอดสี่ปีที่พลอยพยอมเรียนในมหาวิทยาลัย เขาเฝ้านับวันรอเวลามาตลอด หากสุดท้ายลูกสาวตัวดีก็ทำให้เขาแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้รู้ว่าเจ้าตัวท้องได้สามเดือนแล้ว...
ยายพลอยท้องกับใคร ใครบังอาจทำให้แผนฉันพัง ขอให้รู้เถอะ ฉันไม่มีวันปล่อยมันไว้แน่!
ไม่รู้ผีบ้าตนไหนมาเข้าสิง ถึงทำให้พลอยพยอมเลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ ทั้งที่เธอคิดไว้ตลอดว่าเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอจะหนีไปทำงานที่กรุงเทพฯ เชื่อมั่นว่าเธอสามารถพาตัวเองให้รอดพ้นจากอิทธิพลของคุณไกรได้ อีกทั้งยังคิดแผนที่จะตัดการติดต่อจากทุกคนในที่แห่งนี้ด้วย...
ในตอนเย็นของวันที่เธอเรียนจบการศึกษา เธอนั่งรถประจำทางกลับมาบ้าน ซึ่งอยู่คนละจังหวัดกับมหาวิทยาลัย ด้วยความเครียดที่ต้องย้ำคิดถึงแต่เรื่องนี้มาหลายวัน มันจึงทำให้เธอเกิดอาการพะอืดพะอมมาตลอดทาง เมื่อรถแล่นเข้าไปใกล้บ้านมากเท่าไร พลอยพยอมก็รู้สึกเหมือนจะเป็นจะตายเสียให้ได้ เธอจึงผลุนผลันลงจากรถ ทั้งที่รถยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แล้วเข้าไปซื้อยาแก้คลื่นไส้ในร้านขายยา
ในจังหวะที่เธอนั่งพักอยู่ในร้านขายยา พลันมีผู้ชายร่างสูงเดินเข้ามา เขาอยู่ในเครื่องแต่งกายเสื้อเชิ้ตเนื้อหนากับกางเกงยีนสีซีดและสวมรองเท้าผ้าใบ...
เธอจำผู้ชายคนนั้นได้ เขาเคยเป็นคนดังในมหาวิทยาลัย แม้รูปลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควร แต่ดวงตาคู่คมที่เพียงตวัดผ่านก็ทำให้เธอหวั่นไหวได้นั้น เธอไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน
‘เคนเองเหรอ กลับมาเมื่อไรล่ะ’
เภสัชกรแสนใจดีที่ออกปากให้เธอนั่งพักอยู่ในร้านมาเกือบชั่วโมงนั้นเอ่ยทักทายเขา
‘เพิ่งมาถึงครับ ผมขอยาแก้ฟกช้ำหน่อยสิ’
‘เป็นอะไรมาล่ะ’
‘เมื่อวานผมนั่งรถจากมะละกาเข้ากัวลาลัมเปอร์ กระเป๋าของใครก็ไม่รู้ตกใส่หลัง มันปวดทั้งคืน เมื่อเช้าก็รีบขึ้นเครื่องมาที่นี่ ไม่ทันได้ซื้อยาทา’
พลอยพยอมยอมเสียมารยาทเงี่ยหูฟัง มันจึงทำให้เธอมั่นใจว่าไม่ผิดคนแน่นอนแล้ว
ผู้ชายคนนี้ชื่อ ‘เคน’ และมาจาก ‘มะละกา’ เขาก็คือรุ่นพี่ต่างคณะที่เธอเคยแอบชอบเขาตอนเข้าไปเป็นนักศึกษาใหม่ ในเวลานั้นเขาเรียนอยู่ปีสุดท้าย เธอแอบมองเขาได้ปีเดียว เขาก็เรียนจบและจากไป
พลอยพยอมคิดว่าตัวเองลืมเขาไปแล้ว แต่กลับไม่ใช่เลย เพียงเห็นหน้าเขาแวบเดียว ความทรงจำเก่าๆ ก็ย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ
เมื่อผู้ชายคนนั้นเดินออกไปจากร้านขายยา เธอจึงขอตัวอำลาเจ้าของร้านออกไปด้วย เธอเดินตามเขาไปห่างๆ เขาแบกเป้เดินย่ำเท้าไปตามถนนออกนอกตัวอำเภอ ก่อนจะเข้าไปเช็กอินในโรงแรมริมทาง
พลอยพยอมรู้ว่าโรงแรมแห่งนี้เป็นที่นิยมของคนเดินทาง มันเป็นโรงแรมเกรดไม่ดีนัก เธอนั่งอยู่ในล็อบบีโรงแรมนั้นตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงสี่ทุ่ม ก่อนจะลอบเดินขึ้นบันได แล้วไปเคาะประตูห้องพักของเขา...
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อนึกถึงตอนนี้ ความซาบซ่านยังไม่จางหาย สัมผัสแนบแน่นและหนักหน่วงที่เขาพร่างพรมลงบนกายยังติดตรึงอยู่ในใจเธอ
พลอยพยอมจมอยู่กับความรู้สึกนั้นนานแค่ไหนก็ไม่รู้ กระทั่งได้ยินเสียงผลักประตูบ้านให้เปิดออก ตามด้วยเสียงคุ้นหูจากใครคนหนึ่ง
“พ่อของเธอมาถามฉันว่าเธอท้องกับใคร เขาดูเครียดมาก”
พลอยพยอมยกมือขึ้นมาทาบบนหน้าท้องที่ยังแบนราบ ทุกสิ่งที่เกิดกับเธอในวันนี้ เธอไม่ได้วางแผนให้มันเกิด เธอเพียงแต่ปล่อยชีวิตให้ไหลไปตามโชคชะตา เธอแค่คิดว่ามันอาจเป็นทางออกให้กับเธอก็ได้
“หนูบอกป้าชมไปแล้ว”
“บอกว่าพ่อของเด็กเป็นใครก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่ค่ะ หนูเจอเขาแค่ครั้งเดียว”
“เธอนี่ใจง่ายจริงๆ มันคงหล่อสิท่า เธอถึงยอมถวายตัวให้มัน”
ป้าชวนชมปากร้ายเสมอ แต่พลอยพยอมชินเสียแล้ว เธอไม่ได้รู้สึกขุ่นใจอะไร เพราะเข้าใจในความเป็นสาวโสดที่ต้องแบกรับภาระเลี้ยงหลานอย่างเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต พลอยพยอมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมา ดังนั้นแค่คำพูดไม่รื่นหูของป้าชวนชมแค่นี้ เธอฟังได้สบายๆ