บทที่ 3 ผู้ที่ถูกเลือก
พวงทิพย์เดินกลับเข้าโถงคฤหาสน์ด้วยอาการคอแข็งจัด เธอไม่สบอารมณ์กับเหตุการณ์เมื่อครู่ แม่คนที่คุณใหญ่เลือกมาดูจะหัวแข็งไม่น้อย เธอหวั่นว่าสิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ง่าย มันอาจไม่ใช่เสียแล้ว
“เป็นอะไรคุณทิพย์ ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือ”
เสียงห้าวทุ้มดังจากคนร่างสูงตรงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสแล็กสีดำทำให้เจ้าตัวยิ่งดูแข็งแกร่งเคร่งขรึมขึ้นไปอีก
พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่พ่วงตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ถึงกับสะดุ้ง ดูน่าตลกในสายตาคนมอง หากใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มด้วยการผสมอย่างลงตัวของเลือดตะวันตกและตะวันออกนั้นแค่แย้มขบขันนิดเดียว ก่อนเลือนหาย กลายเป็นสีหน้าแห่งความเรียบเฉยเหมือนเดิม
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณใหญ่บอกเรียกดิฉัน ต้องการอะไรหรือคะ”
“ไม่มีหรอก แต่คุณทิพย์เดินหน้าเครียดเข้าบ้าน คิดว่าจะมีปัญหาแก้ไม่ตก ฉันจะได้ช่วย” เจ้าของคำพูดหยอกเล่นอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นเดินนำไปทางระเบียงด้านข้างของคฤหาสน์ซึ่งดูเป็นสัดส่วนพอควร ทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหาร
“อุ๊ย! คุณใหญ่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ดิฉันจะไม่มีปัญหาอะไร ที่คิดๆ อยู่ก็เป็นเรื่องคุณใหญ่ทั้งนั้น”
“คิดเรื่องของฉัน...บอกให้รู้ตัวหน่อยสิว่าตัวฉันมีปัญหาอะไร”
รัชตะถามยิ้มๆ วินาทีแรกพวงทิพย์สังเกตเห็นว่านายหนุ่มอารมณ์ดี... ดีจนผิดปกติที่คงต่อล้อต่อเถียงอย่างไม่ยอมจบเรื่อง แต่ครั้งนี้เธอมีเรื่องสำคัญและน่าร้อนใจกว่า จึงปัดออกจากใจ
“เมื่อกี้เด็กนั่นมาหาคุณใหญ่ค่ะ”
บอกด้วยประโยคที่คาดหวังว่าจะเห็นปฏิกิริยาของคนร่างใหญ่ที่นั่งรอชุดอาหารเช้าพลางกางหนังสือพิมพ์อย่างพร้อมจะอ่าน...หากเขาแค่เลิกคิ้ว แล้วตั้งต้นไล่สายตาอ่านข่าวสารเหมือนไม่สะดุดกับสิ่งที่รับรู้
“คุณใหญ่ควรเรียกหมอมาตรวจร่างกายเธอ เตรียมความพร้อมได้แล้วนะคะ อย่าลืมว่าคุณใหญ่เหลือเวลาอีกแค่ปีกว่า ถ้าร่างกายผู้หญิงคนนั้นไม่พร้อมหรือมีปัญหา เราจะได้มีเวลาเปลี่ยนคนทัน คราวนี้จะได้เลือกเฟ้นคนที่มีคุณสมบัติดีพร้อมหน่อย”
“ดูเหมือนคุณทิพย์จะอยากให้ฉันคัดผู้หญิงคนนั้นออกจริงๆ นั่นละ จำได้ว่าคุณทิพย์เป็นคนเดียวที่ค้านตั้งแต่ฉันบอกเรื่องนี้กับทุกคน” รัชตะถามเสียงเรียบ ไม่ส่ออารมณ์ใดๆ ก่อนจะดึงสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์มองคนที่ยืนอ้ำอึ้ง “ผู้หญิงคนนี้ไม่ดียังไง คุณทิพย์บอกให้ฉันรู้ตัวหน่อยสิ”
“คุณใหญ่รู้ดีว่าได้เธอมายังไง เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า ถูกเลี้ยงดูโดยลูกหนี้ที่ทำอะไรก็ล้มเหลวแถมขี้โกงสารพัดของคุณใหญ่ ทั้งเชื้อสายและการอบรม ไม่มีข้อไหนผ่าน ดิฉันไม่เข้าใจ ทำไมทั้งคุณเล็กและคุณใหญ่ถึงปักใจเลือกไว้ตั้งแต่สามปีก่อน ยังใจดีส่งเสียค่าเรียน ค่ากินให้อีก”
ออกความเห็นยืดยาว แต่คราวนี้ไร้เสียงตอบจากนายหนุ่ม ทำให้คนหวังดีรู้สึกตัว รีบปิดปาก
รัชตะใจดีกับลูกน้องและบริวารอยู่ก็จริง แต่ความถือตัวที่มาพร้อมสายเลือดสีน้ำเงินอันเข้มข้นทางฝ่ายพ่อก็เต็มเปี่ยมอยู่ในกาย คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่เลี้ยง เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออด รู้นิสัยอันนี้ดี และรู้อีกว่าจะไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเธอเช่นกัน
ส่วนคนที่ไม่เอะใจแม้กระทั่งว่านายรัชตะ ราชเกียรติกูร คนนี้เป็นใคร ถ้ากล้าอวดดี แข็งขืน ก็คงโดนดีไม่น้อย
แล้วความคิดนั้นแล่นปราดไปถึงเจ้าของดวงหน้านวล...
บางทีแค่เธออยู่เฉยๆ ปล่อยให้รัชตะเห็นตัวตนแม่คนนั้น อาจไม่เกินสามวันที่หล่อนจะโดนเฉดหัวกลับ แค่นี้เธอก็ไม่ต้องฝืนใจเลี้ยงนายน้อยๆ ที่ปะปนมากับสายเลือดคนชั้นต่ำ น่ารังเกียจพวกนั้นแล้ว!
ร่างขาวผ่องกลมกลึงเดินกระแทกเท้ากลับบ้านหลังสีฟ้า ซึ่งอยู่ห่างจากคฤหาสน์ด้านหน้าพอสมควร ไกลพอที่จะเรียกจุดแดงขึ้นมาประดับบนพวงแก้มใสด้วยเลือดสาวถูกกระตุ้นจากการออกแรงเดิน อย่างที่คนมองหาอย่างหงุดหงิดเมื่อครู่ ต้องใจอ่อนลง
“ฉันเอามื้อเช้ามาให้ เมื่อกี้คุณไม่อยู่ในบ้าน”
“ฉันออกไปเดินเล่น หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน มันทำให้ฉันหดหู่ รู้สึกเบื่อ แล้วยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ถูกขังไว้ในกรง”
ปิ่นลดาประชดแรง ก่อนเหลือบตามอง ‘ผู้คุมส่วนตัว’ คิดว่าจะได้เห็นเจ้าตัวแก้กลับหรือทำสีหน้าตกใจ แต่เปล่าเลย ทุกสิ่งที่แสดงออกมา ทั้งสีหน้าและแววตานั้นเรียบเฉย จนคนช่างประชดต้องเป็นฝ่ายหงุดหงิดขึ้นมาเอง
“ว่าแต่เช้านี้มีอะไรกิน”
“ซุปฟักทองกับขนมปังกรอบค่ะ”
“ฝีมือของศจีเองหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ คนครัวของบ้านราชเกียรติกูรทำมาให้”
“บ้านราชเกียรติกูรนี่คือคฤหาสน์สีแดงอิฐ ใหญ่โต เงียบขรึมหลังนั้นใช่ไหม ตอนแรกคิดว่าเป็นวังของท่านชายที่ไหนปลอมตัวมาซะอีก แต่ไม่สิ ดูไปดูมา ฉันว่าเหมือนปราสาทของท่านเคานต์แดรกคิวล่ามากกว่า”
คราวนี้คนหน้านิ่งถึงกับเบิกตาโต สีหน้าตกใจจริงจัง จนคนที่จะผ่านเข้าบ้าน จัดการกับอาหารเช้าเพราะเริ่มหิว ถึงกับชะงักเท้ามอง เอียงคอถาม
“มีอะไรศจี ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น”
“ไม่ค่ะ ไม่มี”
“ไม่เชื่อ! ก็ฉันเห็นอยู่ว่ามี” คนดื้อรั้นโต้ เธอมั่นใจว่าต้องมีสิ่งผิดปกติ เห็นๆ อยู่ว่าศจีถึงกับหน้าซีด ดวงตาเลิ่กลั่ก “บอกมา ศจีตกใจอะไร ที่ฉันพูดเมื่อกี้ใช่ไหม ตรงไหนที่ไปสะกิดต่อมของศจีเข้าล่ะ”
“ไม่...ไม่มี ฉันกลับละ”
“งั้นเชิญ กลับไปเลย ไม่ต้องมาอีกยิ่งดี ฉันเบื่อหน้าคนขี้ขลาด ไม่มีหัวใจอย่างศจีเต็มทีแล้ว” คนไล่สะบัดหน้าพรืดเข้าบ้าน ท้ายเสียงเครืออย่างระงับไม่อยู่
สองเท้าพาร่างบางเข้าห้องนอน แทนที่จะตรงไปยังห้องครัว เพราะความหิวมันหายไปหมดแล้ว กระแทกกายนั่งบนเตียง แล้วพ่นถ้อยคำระบายอารมณ์
“เหมือนกันทั้งเจ้านายลูกน้อง ลึกลับ ทึมทื่อ เป็นผีดิบกันทั้งบ้าน ถามอะไรไม่รู้เรื่องสักคน”
ใกล้ค่ำ รัชตะกลับมาถึงคฤหาสน์ราชเกียรติกูร บ้านที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงมารดาชาวแคนาดาที่จากโลกนี้ไปเมื่อห้าปีก่อน
เขามีความทรงจำดีๆ กับมารดา แถมด้วยญาติสนิททางนั้น และยิ่งมากขึ้นเป็นทวีเมื่อเทียบกับญาติทางฝั่งบิดา บิดาถือกำเนิดในราชสกุลชั้นสูงของเมืองไทย แต่ถูกขับไล่ทั้งครอบครัวเพราะเลือกแต่งงานกับมารดาที่เป็นชาวต่างชาติ แทนที่จะเป็นคนสายสกุลใกล้ชิดกันที่ถูกวางตัวไว้เพื่อจะหนุนงานด้านการทูต
มันคือความผิดที่รัชตะไม่ต้องการรับรู้ ไม่อยากเข้าไปยุ่ง อีกทั้งยิ่งหาข้อมูลหลายด้านก็ทำให้มั่นใจว่าอยู่ห่างกันไว้เป็นดีที่สุด เพราะไม่มีทางเลยที่เขาหรือคนอื่นจะรับรู้ถึงความจริงจากเหตุการณ์ซับซ้อนพวกนั้น แม้ ‘พ่อ’ ที่ให้กำเนิดพ่อของเขาจะเคยกรอกหูตั้งแต่เขาเป็นเด็กก็ตาม
‘พ่อแกมันเห็นแก่ตัว ฉันพยายามทำให้สายสกุลเราแข็งแกร่ง วางเกมไว้ทุกทางเพื่อดึงอำนาจมาไว้ในมือ แต่มันกลับไม่รักดี ไปรักกับเมียฝรั่งจนออกมาเป็นแกกับนายเล็ก แต่สวรรค์ก็ไม่ได้ใจดำกับฉันมากไป เพราะแกจะเป็นตัวตายตัวแทนของพ่อแกให้ฉันทำงานใหญ่ได้สำเร็จ’
รัชตะในวัยสิบขวบ โตพอจะรู้ความ ขณะฟังปู่บ่นพล่ามถึงความคับแค้นใจในอดีต ต่อด้วยความฝันอันยิ่งใหญ่ที่วางตัวเขาเป็นคนทำ แค่นี้เขาทนได้
รัชตะพร้อมจะถนอมน้ำใจปู่ แต่ต้องไม่ใช่ฟังคำด่าทอถึงพ่อกับแม่ตนเอง
หากอะไรยังไม่ร้ายเท่าทันทีที่ปู่รู้ว่าเขาไม่มีทางเดินตามเส้นทางที่วาดไว้ให้ ปู่ถึงกับบีบทุกทางให้เขาต้องจำยอม ให้ทำทุกอย่างตามความต้องการและที่ตนเห็นว่าดี
ชายชราที่คุ้นชินกับการมีอำนาจบารมีอยู่เต็มมือรู้แน่นอนว่าหลานชายคนโตรักพ่อแม่ รวมถึงน้องชายฝาแฝดที่คลานตามกันมาก มากจนยอมทำทุกอย่างตามเงื่อนไขที่เขาผูกขึ้น
การบังคับรัชตะทางอ้อมช่างได้ผลกว่าการคาดคั้นจากเจ้าตัวโดยตรง…จากนั้น เงื่อนไขที่มีอนาคตของรัชภาคย์เป็นเดิมพันก็เริ่มขึ้น
“มายืนทำอะไรตรงนี้ คุณทิพย์”
ร่างสูงใหญ่กำยำที่เดินทอดฝีเท้าเอื่อยเข้ามาในโถงคฤหาสน์อย่างมั่นคงและสง่างามต้องชะงักเมื่อเห็นร่างของแม่บ้านวัยกลางคน อีกนัยก็เป็นพี่เลี้ยงของเขาที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่อยู่แคนาดาด้วยกัน
“รอคุณใหญ่ค่ะ” เธอบอก แล้วพยายามมองความรู้สึกบนเสี้ยวหน้าคมด้วยแสงสลัวจากโคมไฟที่เปิดไว้เพียงแห่งเดียวในโถงใหญ่สาดกระทบมา
"มีอะไร"
“ดิฉันรู้ว่าคุณใหญ่ไม่ชอบใจที่ยุ่งกับแม่คนนั้น”
“แล้วยังไงต่อ”
“ดิฉันเห็นว่าการปล่อยหล่อนไว้ในเขตรั้วบ้านนานๆ หล่อนจะก่อความวุ่นวายให้คุณใหญ่...หมายถึงอาจถึงขั้นทำให้แผนการของคุณใหญ่ล้มเหลว แล้วคุณเล็กจะชวดทุกสิ่ง”
“เธอน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือคุณทิพย์” เสียงกลั้วหัวเราะในลำคอทำให้คนตั้งหน้าตั้งตาเล่านั้นคอแข็ง
“คุณใหญ่ไม่เชื่อ เพราะไม่เคยเจอตัวจริงของหล่อนสิคะ แต่ดิฉันกับศจีเจอมาแล้ว”
“ศจี...” รัชตะทวนถาม ไม่แปลกหรอกที่เขาไม่รู้จักคนในบ้านครบทุกคน และไม่คิดสนใจที่จะจดจำมาก่อน เพราะคิดว่าหน้าที่นี้มีพวงทิพย์คอยสอดส่องดูแลอย่างละเอียดอยู่แล้ว...จนบางทีเขาก็คิดว่าละเอียดมากไปด้วยซ้ำ
“คนงานที่คุณให้หาไปเฝ้าแม่คนนั้นค่ะ ศจีอยู่ใกล้ชิดมากกว่าใคร”
“แล้วศจีบอกอะไรคุณทิพย์”
“ปิ่นลดาพูดเหมือนรู้ปูมหลังของคุณใหญ่”
“อะไรนะ”