บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 เบี้ย

ในบ้านหลังกะทัดรัดที่ปลูกสร้างมาหลายสิบปีตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ สภาพภายนอกเก่าคร่ำคร่าเพราะขาดการดูแล แต่ด้านในยังคงสะอาดสะอ้าน เครื่องใช้เครื่องเรือนแม้จะเป็นของเก่าแต่ดูมีราคา เห็นกลิ่นไอความหรูหราครั้งอดีต

“เด็กบอกว่าคุณให้รื้อของในห้องยายลดาทิ้ง หมายความว่ายังไง เด็กคนนั้นแค่ไปทำงานไม่ใช่หรือ กลับมาแล้วจะพักห้องไหน”

“กว่าจะกลับมา บ้านก็เปลี่ยนมือไปแล้ว ทยอยเคลียร์ของในบ้านตอนนี้แหละดีแล้ว”

“คุณ...” คู่ชีวิตอุทาน มองชายวัยกลางคนอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าและแววตานั้นดูเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกอย่างที่เธอว่าดูแปลกตา

“ผมตัดสินใจแล้วว่าเราควรย้ายออกจากบ้าน ไปอยู่ใกล้ลูกของเรา หรือว่าคุณไม่อยากไป”

“อยากสิคะ ฉันบอกคุณให้ขายตั้งนานแล้ว คุณมัวแต่เสียดายสมบัติเก่าของพ่อแม่คุณ ที่ดินแถบนี้ใครๆ ก็ต้องการ ขายกันตารางวาละตั้งหลายแสน ยิ่งของเรากินเนื้อที่ตั้งสองไร่กว่า ขายตอนนี้เราก็เป็นเศรษฐีกันแล้วนะคุณ”

นายวัฒนะพยักหน้า มองสีหน้าดีใจของภรรยาแล้วมีกำลังใจว่าตนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

สำหรับเด็กคนนั้น เขาก็ได้ทำตามคำขอของลูกน้องเก่าเหมือนกัน เลี้ยงดูลูกสาวกำพร้าของเจ้าตัวก่อนจะสิ้นใจให้มีการศึกษา ส่งเสียให้เรียนจบปริญญา...คำสัญญาที่เขายึดถือมีเพียงเท่านี้ และมันสิ้นสุดเมื่อหลายเดือนก่อน

นับจากนี้ปิ่นลดาจะมีชีวิตเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับเขา

“แล้วยายลดารู้เรื่องที่เราจะย้ายกันหรือยังคะ”

“ช่างเถอะ แกจะรู้หรือไม่รู้มีค่าเท่ากัน”

นายวัฒนะบอกปัด ภรรยาก็ไม่เซ้าซี้ถาม ในเมื่อเธอได้ในสิ่งที่ต้องการและหมายตามานาน เรื่องอื่นก็ไม่น่าสนใจอีก…แต่ยังมีอีกอย่างที่สงสัยอยู่

“แล้วเงินล่ะคะ เงินที่เราเอาของคุณรัชภาคย์มา ป่านนี้รวมดอกเบี้ยตั้งเท่าไหร่แล้ว จะคืนเขายังไง”

“ไม่ต้องคืน เราล้างหนี้ไปแล้ว”

“เมื่อไหร่คะ คุณเอาเงินที่ไหนไปคืน ฉันจำได้ว่าที่หยิบยืมเขาส่งให้ยายแหววเรียนต่อตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาที่ต่างประเทศมันก้อนใหญ่มาก ไหนเงินที่คุณเอาไปไถ่ถอนบ้านจากธนาคารเมื่อ 2-3 ปีก่อนอีก คุณเอาเงินตั้งมากมายมาจากไหน”

“ไม่ต้องสงสัยหรอก คุณรู้แค่ว่าผมหาเงินพวกนั้นมาได้ ไม่ได้คดโกงจี้ปล้นใครก็พอ เจ้าของเงินเต็มใจให้เรา แลกกับของที่ผมส่งไป จากนี้ไปบ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของผมกับคุณ หนี้ที่ส่งเสียยายแหววก็เคลียร์แล้วเหมือนกัน”

“ค่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันรู้ ฉันก็ไม่ต้องการรู้ ฉันไว้ใจคุณ ส่วนบ้าน ฉันจะเริ่มเคลียร์ของออกตั้งแต่พรุ่งนี้” ดวงหน้าอูมอิ่มของหญิงวัยกลางคนดูเบิกบาน หากเป็นครู่ก็เปลี่ยนเป็นระแวงขึ้นอีก “แล้วแน่ใจนะว่าคุณรัชภาคย์ไม่ตามมาทวงหนี้คุณ พูดก็พูดเถอะ ฉันกลัวเขาจริงๆ ดูป่าเถื่อนชอบกล ฉันได้ยินมาว่าคนคนนี้มีเส้นสาย รู้จักคนใหญ่คนโตอีกด้วย”

“เขาไม่ทำอะไรเราหรอก เพราะเจ้าของเงินตัวจริงที่เราเอามาไม่ใช่เขา และคนคนนั้นก็เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรล้างหนี้ให้ผมแล้ว”

“ใครกันคะ”

“คุณรัชตะ พี่ชายฝาแฝดนายรัชภาคย์ เจ้าพ่อธุรกิจยานยนต์ที่ไปลงทุนอยู่ทางภาคเหนือ กำลังรุ่งเรืองในธุรกิจข้ามชาติ เงินแค่นี้ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งเขาร่วง ส่วนนายรัชภาคย์ ถ้าพี่ชายสั่งอะไร นายคนนี้ไม่กล้าหือ”

“ขนาดนั้นเชียวหรือคุณ”

“นายรัชภาคย์ ไม่น่ากลัวเท่าคุณรัชตะ”

แค่นี้ร่างอวบท้วมก็ห่อไหล่ด้วยความรู้สึกชวนขนลุก ถ้าคนที่พูดถึงและเธอยังไม่เคยเห็นหน้าจะน่ากลัวกว่านายรัชภาคย์ที่ยกพวกมาทวงหนี้ รังควาญเธอกับสามีอยู่หลายครั้ง แล้วจะเป็นเรื่องน่ายินดีได้อย่างไร

“คุณรัชตะไม่ยุ่งกับเราแน่นอน เขาเป็นคนจริง คำไหนคำนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองในวัยสามสิบสองปีหรอก ที่สำคัญผมส่งของที่เขาต้องการไปให้ ไม่ได้ขอให้ล้างหนี้กันฟรีๆ ทุกอย่างลงตัว”

“ถ้าอย่างนั้นฉันค่อยโล่งใจหน่อยค่ะ”

เท่านี้ก็เป็นคำตอบให้คนขี้สงสัยได้คลายกังวล จนสามารถตัดทุกปัญหาออกจากใจ แล้วเร่งมือทำในสิ่งที่ตนและสามีต้องการโดยไม่เสียเวลานึกถึงใคร

ล่วงเข้าเดือนที่สองของการย้ายมาอยู่ในที่แห่งนี้ ปิ่นลดาเดินวนไปมาในเขตชายคาด้านข้างบ้านหลังสีฟ้า สีหน้าครุ่นคิด มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ถึงตอนนี้หล่อนมั่นใจทีเดียว และยังโทษตัวเองว่าคิดช้าไป เพราะหลายอย่างส่งสัญญาณให้รู้นับจากวันแรกด้วยซ้ำ

สัญญาณมือถือไม่มี...ศจีเป็นคนให้คำตอบเมื่อเธอถาม เพราะไม่สามารถติดต่อทางบ้านหรือเพื่อนคนไหนได้เลย ดังนั้นมันจึงกลายเป็นแค่เศษเหล็กที่นอนนิ่งอยู่ก้นกระเป๋าตั้งแต่มาถึงจนวันนี้

หากเพิ่งสังเกตว่าในคฤหาสน์ใหญ่ก็มีการสื่อสารเป็นปกติ ด้วยระยะทางแค่ร้อยกว่าเมตร ไม่น่าจะเป็นเฉพาะพื้นที่บ้านสีฟ้าที่กลายเป็นจุดอับสัญญาณ...แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

“หรือจะเป็นเพราะโทรศัพท์ของเรา เป็นไปได้ไหม”

หล่อนพึมพำถามตัวเอง แล้วเมื่อเห็นร่างผอมบางเดินมาส่งอาหารเช้า จึงรีบเดินมาทางหน้าบ้าน เพื่อจะถาม

“ฉันอยากโทร.หาพ่อกับแม่ ต้องทำยังไง”

“คงต้องเข้าเมืองค่ะ”

“งั้นพาฉันไปหน่อย”

“ไม่ได้ค่ะ ต้องขออนุญาตคุณใหญ่ก่อน”

“ใครคือคุณใหญ่” คำถามของหล่อนคงแปลกประหลาดที่สุดในโลก เพราะทำให้คนหน้าเรียบเฉยถึงกับแสดงอารมณ์ประหลาดใจสุดฤทธิ์

“คุณใหญ่คือนายของพวกเรา”

“เขาเป็นนายของฉันด้วยหรือเปล่า”

“เอ่อ...ฉันไม่ทราบ”

“แล้วเธอรู้อะไรบ้าง” ปิ่นลดาเผลอตัวหงุดหงิด ปกติหล่อนไม่ใช่คนขึ้นเสียงกับใคร แต่ด้วยภาวะคลุมเครือที่ต้องมาอยู่ในที่ไม่น่าไว้ใจ จึงทำให้กดดัน จนยากจะควบคุมตัวเอง

“อีกไม่นาน คุณจะได้พบคุณใหญ่เอง”

ศจีบอกน้ำเสียงเป็นปกติ เหมือนไม่ติดใจอารมณ์เกรี้ยวกราด จะว่าเธอเข้าใจหรือไม่ถือสากับอารมณ์คนอื่น ปิ่นลดาก็ยากจะรู้...เธอไม่อยากเก็บมาคิด เพราะแค่ปัญหาที่เจอก็ทำให้ปวดหัวและหวั่นระแวงจนเจียนบ้าแล้ว

“ฉันจะไปถามเขา”

“คุณว่าอะไรนะคะ”

“ถ้าศจีหรือใครๆ ให้คำตอบฉันไม่ได้ คงมีแต่คุณใหญ่อะไรนั่นที่ฉันควรถาม เพราะเขาเป็นเจ้าชีวิตทุกคนที่นี่ใช่ไหม”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”

“อะไรนะ” ปิ่นลดาเบิกตาโต ไม่คาดจะได้ยินน้ำเสียงเออออตามจากคู่สนทนา “ศจี เมื่อกี้ฉันประชด จะบ้าหรือไงยุคนี้จะมีใครเป็นเจ้าชีวิตใครกันอีก”

ปิ่นลดาครางกับตัวเอง นอกจากหลงมาอยู่ในที่แปลกประหลาด แต่ละคนที่หล่อนเจอก็เหมือนหลุดจากโลกที่เธอไม่คุ้นเคยด้วย

ศจีไม่ต่อล้อต่อเถียง หิ้วปิ่นโตเดินไปในห้องครัว คงจะจัดอาหารให้เธออย่างที่เคยทำ

นี่เป็นหน้าที่ของศจีใช่ไหม ใครเป็นคนสั่งมา หรือจะเป็นคุณใหญ่คนนั้น

“ฉันอยากพบคุณใหญ่ค่ะ”

ปิ่นลดาต้องพูดซ้ำถึงสามครั้งกับคนสามคนในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเดินมายังคฤหาสน์ใหญ่

คนแรกที่เจอเมื่อเข้ามาถึงเขตต้องห้ามตามที่ศจีเคยบอก เธอเห็นผู้ชายที่คงเป็นคนสวนง่วนอยู่กับการดูแลสวนดอกไม้ที่เคยเผลอเดินเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งพอสังเกตใกล้ ปิ่นลดาก็นึกทึ่งว่าแท้จริงนอกจากไม้ดอกและไม้ประดับที่พอคุ้นตาแล้ว ยังมีพืชผักต่างๆ ปลูกเป็นแปลงยาว ดูเป็นระเบียบ สวยงามไม่ต่างกัน

หากว่ารายแรกนั้น เมื่อเธอถามก็ต้องอารมณ์เสียสุดฤทธิ์ นอกจากเธอจะถูกมองเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด แล้วถูกเดินหนีอีกต่างหาก

มันน่าหงุดหงิดนักเชียว หญิงสาวถึงฮึดมาถึงหน้าระเบียงคฤหาสน์ คราวนี้เป็นผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เห็นเธอแล้วทำหน้างุนงง ก่อนเดินมาถามอย่างลังเล และปิ่นลดาก็ต้องพูดประโยคนั้นเป็นครั้งที่สอง

ผลที่ได้นั่นหรือ...เลวร้ายไม่ต่างกับรายแรก...จะดีนิดหน่อยตรงเจ้าตัววิ่งไปบอกหญิงสูงวัยกว่าที่ตอนนี้กำลังจ้องเธอด้วยสายตาเข้มงวด เหมือนว่าปิ่นลดาได้ทำความผิดร้ายแรงอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างนั้นแหละ

และเมื่อเห็นผู้อาวุโสยังไม่เปิดปากพูด เธอจึงต้องย้ำถามอีกรอบ

“ฉันจะพบคุณใหญ่ได้ที่ไหนคะ เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า หรือฉันต้องไปพบที่อื่น” ...เป็นผีดิบหรือเปล่าถึงพบยากพบเย็น สิงอยู่ในปราสาทกลางป่าอีกต่างหาก

“เธอควรอยู่ในที่ของเธอ แม่ศจีไม่ได้บอกหรือว่าห้ามเธอมาเพ่นพ่านแถวนี้ แขกไปใครมาจะว่าที่นี่ไม่อบรมคน”

“อะไรนะ ป้าว่าฉันเพ่นพ่านเลยเหรอ ฉันแค่มาถามว่าจะพบคุณใหญ่ได้ที่ไหน เขาเป็นเจ้านายป้าใช่ไหม”

“คุณใหญ่เป็นเจ้าของที่ที่เธอยืนอยู่”

“แล้วเป็นเจ้าชีวิตของทุกคนด้วยหรือเปล่า”

“เอ๊ะ!”

หญิงวัยกลางคนร่างท้วมแทบกระทืบเท้าเร่า เมื่อถูกสวนมาด้วยคำพูดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินใครพูดถึงนายหนุ่มแบบนี้มาก่อน และท่าทางของเธอคงทำให้สาววัยคราวลูกรู้สึกตัว เจ้าหล่อนจึงพูดขึ้น ซึ่งทำให้อุณหภูมิอารมณ์ลดลง

“ฉันขอโทษค่ะ ฉันหงุดหงิดไปหน่อยที่มาอยู่โดยไม่รู้อะไรเลย แถมยังติดต่อใครไม่ได้ ฉันมารับจ้างเลี้ยงเด็ก รออยู่ในบ้านหลังสีฟ้าเป็นเดือน แต่ยังไม่เห็นเด็กสักคน เลยอยากมาพบและถามคุณใหญ่...เมื่อกี้บอกว่าคุณใหญ่เป็นเจ้าของที่นี่ ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นนายจ้างของฉันด้วยไหม”

คำพูดรัวเร็วอย่างคนอัดอั้นมานานแล้วได้จังหวะปลดปล่อย ทำให้หญิงสองคนมีปฏิกิริยาต่างกัน คนแรกทำหน้างุนงง ฟังเธอแล้วหันไปหา คนสูงวัยกว่า และปิ่นลดาก็ทันเห็นว่าหล่อนถูกปรามด้วยสายตา...แต่สุดท้ายพวกเขาก็เงียบ

นานเป็นนาทีที่ปิ่นลดารอลุ้น

“กลับไปเถอะ เมื่อถึงเวลาเธอจะได้เริ่มงานเอง และฉันขอเตือนไว้ว่าอยู่บ้านนี้อย่าสร้างปัญหา อย่านำความวุ่นวายมาให้คุณใหญ่ เพราะเธอเองจะเดือดร้อน”

“คุณใหญ่...เขาเป็นเจ้านายฉันด้วยใช่ไหมคะคุณน้า”

“ใช่ คุณใหญ่เป็นเจ้านายของทุกคน รวมทั้งเธอด้วย แล้วอีกอย่าง...” หยุดคำพูดดื้อๆ แล้วมองดวงหน้านวลอย่างเรียบเฉย “เรียกฉันว่าคุณทิพย์”

“อ๋อ ค่ะ คุณทิพย์” ปิ่นลดากลายเป็นคนว่าง่ายเมื่อเห็นว่าหญิงวัยกลางคนยอมให้คำตอบเธอ แม้จะไม่กระจ่างนักก็เถอะ “งั้นฉันพอเข้าใจแล้ว คุณใหญ่ท่านคงอายุมากแล้ว เลยอยากอยู่อย่างสงบ มิน่าล่ะ ตอนกลางคืนเห็นปิดไฟมืดเลย ยังคิดว่าเหมือนปราสาท...ปราสาทในนิยายน่ะค่ะ”

แล้วเจ้าของคำพูดก็ยิ้มแหย หลบหน้าหลบตา เธอเกือบจะหลุดความในใจที่คงทำให้คุณทิพย์ต้องขัดเคืองเป็นแน่...ถ้ารู้ว่าคฤหาสน์สุดหรูในสายตาเธอนั้นไม่ต่างกับปราสาทแดรกคิวล่าเลยจริงๆ

และเมื่อช้อนตามอง เธอเห็นสาวรุ่นเดียวกันลอบยิ้ม เหมือนเจ้าตัวจะรู้ทันความคิด ส่วนคุณทิพย์นั้นแค่พยักหน้าเนิบว่าเข้าใจอย่างเสียไม่ได้...ปิ่นลดาจึงถือโอกาสเข้าประเด็นคาใจอื่นต่อ

“แล้วฉันจะโทร.กลับบ้านได้ยังไงคะ มือถือที่ใช้ ไม่มีสัญญาณ แล้วบ้านนี้เขาติดต่อคนข้างนอกกันยังไง”

“ฉันจะบอกคุณใหญ่ให้ ระหว่างนี้เธออยู่เฉยๆ ในที่ของเธอ อะไรที่สงสัยเมื่อถึงเวลาเธอจะได้รู้เอง เข้าใจไหม”

“ค่ะ คงต้องเข้าใจตามนั้น”

ปิ่นลดาเลิกคิ้วแล้วพ่นลมหายใจ แน่นอนว่าท่าทางนี้ดูขวางตาคนอาวุโสกว่าชะมัด

“เชิญกลับไปได้แล้ว ตอนนี้ศจีรออยู่ที่บ้านเธอแล้ว”

เพียงเท่านี้ หญิงสาวผิวนวลผ่องก็จำใจเดินกลับด้วยท่าทางเนือยๆ อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้า หลบผู้คุมส่วนตัวออกมา แต่คำตอบที่ได้กลับมีเพียงเท่านี้

คิดไปก็ทอดถอนใจ ได้แต่ปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยก็รู้ว่าชีวิตในนี้ของตนต้องขึ้นอยู่กับ ‘คุณใหญ่’ คนเดียว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel