บทย่อ
"เธอเป็นผู้หญิงของเขา แล้วเคยเจอเขาหรือเปล่า รู้หรือว่าเขาเป็นคนยังไง" "ทำไมจะไม่รู้ ถึงเขาจะแก่ แต่ฉันชอบเขา คุณใหญ่ใจดี ไม่หยาบคายอย่างนาย จำไว้นะ อย่าบังอาจแตะต้องตัวฉันอีก ไม่งั้นฉันจะฟ้องเขาให้สั่งคนจับนายยิงเป้า" หล่อนประกาศก้อง คนร่างใหญ่ถึงกับยืนจังงัง หากปิ่นลดาตีความไปว่าเขากำลังกลัวโทษที่หล่อนขู่ "อย่าตามมานะ ถ้าไม่อยากตาย" หล่อนถอยอีกสามก้าว ก่อนหันกายวิ่งหนี ร่างน้อยในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เห็นลางๆ ในคืนเดือนมืดจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง รัชตะมองตาม ดวงตาคมหรี่ลง กระตุกยิ้มอย่างจอมวายร้าย อย่างนี้จะพึ่งเทคโนโลยีผลิตเลือดเนื้อเชื้อไขให้โง่ทำไม ก็หล่อนร่ำร้องอยากเป็นผู้หญิงของนายใหญ่ใจจะขาดแล้ว! * นิยายชุดสิงห์หนุ่มแห่งเชียงราช * ภาค เลือดขัตติยะ 1. เบี้ยปราถรถนา (รัชตะ+ปิ่นลดา) 2. มายาสีฝุ่น (รัชภาคย์+พราวพิชชา) ภาค ดอกไม้กลางป่าหนาว 1. กล้วยไม้ล้อมตะวัน (ไรวินทร์+ณิชา) 2. ดอกเหมยห่อไฟ (ฉัตรฉาย+ญาณิน) 3. บัวยั่วเพลิง (แม็กซ์เวล+บัวบูชา)
บทที่ 1 เบี้ย
สายลมหนาวกระโชกแรง เสียดเสียงหวีดหวิวเป็นระยะ ท่ามกลางความเงียบสงัดที่โอบล้อมบ้านปูนชั้นเดียวขนาดหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำและหนึ่งห้องรับแขก ขนาดช่างกะทัดรัดเหมาะเจาะกับการอยู่คนเดียวเสียจริง ปิ่นลดาคงอุ่นใจกว่านี้หากที่พักพิงแห่งใหม่จะมีเพื่อนบ้านในระยะสายตามองเห็น...ไม่ใช่ตั้งอยู่ชิดขอบกำแพงสูงที่ล้อมคฤหาสน์ใหญ่ที่เห็นดำทะมึนอยู่เบื้องหน้า
คฤหาสน์ใหญ่โต หรูหรา ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางวัน หากมืดสนิทในทุกค่ำคืน
หญิงสาวเอื้อมปิดหน้าต่าง ปิดกั้นความหนาวเย็นและมืดสนิทของบรรยากาศด้านนอกที่จะแทรกผ่านเข้ามา แล้วมองหนังสือในมือจากแสงนวลของโคมไฟส่อง หนังสือเล่มเดียวที่ติดกระเป๋าเสื้อผ้ามาจากบ้านซึ่งสร้างความเพลิดเพลิน สิ่งเดียวที่ช่วยคลายเหงาและลดทอนความหวาดหวั่นที่มักจู่โจมเข้ามายามความคิดระแวงผุดแทรก และเหมือนมันจะถี่ขึ้นในพักหลังอย่างที่เธอไม่อาจหักห้ามตัวเอง
“งานพี่เลี้ยงเด็ก”
เธอพึมพำกับตัวเอง ก้มมองร่องรอยการใช้งานอย่างหนักของหนังสือ ไล้มุมกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับ ใช้เรียวนิ้วคลี่มันออก แล้วปิดลง หยิบวางตรงโต๊ะหัวเตียง ปีนขึ้นเตียง ทอดกายนอน พยายามหลับตา กว่าชั่วโมงที่เธอจะหลับใหล ไม่ต่างจากสิบกว่าวันก่อนนับจากมาอยู่ในบ้านหลังเล็กสีฟ้านี้
กระดาษเก่าคร่ำคร่าถูกวางบนโต๊ะไม้เนื้อดีในห้องทำงานขนาดกว้างขวางทางปีกขวาบนชั้นสองของคฤหาสน์ โดยผนังด้านหนึ่งของห้องมีประตูเชื่อมติดกับห้องนอนใหญ่สุด
“เอาแน่แล้วใช่ไหม”
“ทำไมถามอย่างนี้ คิดว่าฉันจะลังเล เปลี่ยนใจปล่อยผู้หญิงคนนั้นกลับไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ” รัชตะพูดพลางวางมือเรียวแข็งแรงจากงาน เงยหน้ามองคนถาม
“เห็นนายทิ้งเรื่องนี้ไว้นาน นานจนฉันคิดว่านายใจดีปล่อยเงินก้อนโตให้นายวัฒนะเอาไปกินฟรี แล้วยังใจดีปล่อยสมบัติของพ่อให้คนมาชุบมือเปิบ”
ท้ายเสียงมีแววประชดประชัน จนคนนั่งบนเก้าอี้หนังสีดำหลังโต๊ะปรายตาคมกริบมองคนร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกันที่ยืนอิงหน้าต่างห้องทำงานเขา
“ฉันไม่ปล่อยให้นายชวดมรดกเพราะเงื่อนไขบ้าๆ นั่นหรอกน่า”
“อย่าทำใจดีหน่อยเลย ความจริงนายก็อยากได้มันด้วยใช่ไหม ถึงจะเป็นแค่เสี้ยวเดียวที่นายมีอยู่ แต่นายไม่มีวันตัดใจจากทรัพย์สินของพ่อเราได้หรอก”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” เจ้าของคำพูดหลุบตาลง เขามีเหตุผลที่ไม่อาจบอกใคร...เพราะตนเองก็ยังไม่มั่นใจมันเหมือนกัน “นายรู้เพียงว่าฉันจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อ และเราก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน”
“ใช่ ฉันจะได้สมบัติของพ่อ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่ขังจมอยู่ ส่วนนายโชคดี ได้จากคุณแม่มาลงทุน สร้างกิจการจนร่ำรวยมหาศาลไปแล้ว”
“พูดยังกับว่าถ้าไม่มีมันแล้วนายหมดทางทำกิน” เจ้าของห้องส่งเสียงกลั้วหัวเราะ “ถึงแม้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ได้ส่วนของคุณพ่อ นายก็สามารถสร้างมันเองได้ ตอนนี้นายก็ล่ำซำพอตัวแล้ว อีกอย่างฉันไม่มีวันทิ้งนายให้กลายเป็นยาจกข้างถนน สบายใจได้ น้องรัก”
“ถ้าจะรักฉันมากกว่านี้ นายก็ไปเร่งทำให้บรรลุเงื่อนไขของตาแก่นั่นเร็วๆ ฉันเบื่อการรอคอย...สำเร็จเมื่อไหร่ เราต่างคนต่างได้ แม้แต่ลูกหนี้ชั้นเลวของนายที่เอาลูกสาวมาแลกก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะฉันจะเลิกเอาระเบิดไปหย่อนเล่นที่ประตูรั้วบ้านสักที”
“พูดเรื่องนี้ก็ดี” คนร่างใหญ่ขยับตัวนั่งตรง น้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งกับคนบ้านนั้น เพราะฉันตกลงล้างหนี้ของนายวัฒนะแล้ว ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่”
คนถูกสั่งเพียงไหวไหล่ เหมือนว่าตนยังไงก็ได้ เพราะคนที่พูดถึงไม่มีความน่าสนใจและไม่สำคัญพอที่เขาจะติดใจ ในเมื่อพี่ชายฝาแฝดบอกให้จบ คนอย่างรัชภาคย์ก็จบได้เหมือนกัน
“ฉันกลับละ จะไปนอนเล่นแก้เบื่อที่เหมืองสักหน่อย”
ว่าจบ คนร่างสูงใหญ่ในเสื้อผ้าเนื้อหนาเก่าปอนแต่ดูน่าจะสบายพอตัวก็เดินผ่านไปอย่างง่ายดาย ทิ้งคนข้างหลังให้มองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนเขาจะหมุนเก้าอี้ไปทางด้านข้าง มองออกนอกหน้าต่างที่กรุกระจกนิรภัยซึ่งน้องชายยืนอิงเมื่อครู่ ภาพที่เห็นเป็นบ้านหลังเล็กสีฟ้าที่อีกไม่นานหรอกเขาจะเหยียบกรายไปหา
สายลมหนาวพัดเกรียวเข้ามาในเวลาบ่าย ปิ่นลดาห่อกายเมื่อความเย็นแทรกผ่านเสื้อไหมพรมเนื้อหนาที่เตรียมมาพร้อม ก่อนเดินทางหล่อนศึกษาข้อมูลอากาศ รวมทั้งภูมิประเทศของสถานที่ทำงานแห่งแรกในชีวิตนี้ค่อนข้างละเอียด
ระยะนี้ หล่อนรู้จากข่าวในทีวีว่าความกดอากาศสูงในประเทศจีนพัดผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทางตอนเหนือ ทำให้อุณหภูมิลดต่ำอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ปิ่นลดาจึงไม่พลาดที่หยิบบรรดาเสื้อหนาวที่นานๆ ครั้งจะได้ใช้ยามอยู่บ้านในกรุงเทพฯ มาพับใส่กระเป๋า ก่อนเดินทางโดยเครื่องบินมาลงที่สนามบินประจำจังหวัด แล้วต่อด้วยรถยนต์ที่ไปรอรับเธอเพื่อมายังที่แห่งนี้
ความจริงแล้วเมืองเชียงราชซึ่งเป็นเมืองชายแดนในภาคเหนือของไทยก็ใหญ่พอ แถมมีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากยิ่งกว่าตัวเมืองของจังหวัด เพราะถูกวางเป็นเป้าหมายในการพัฒนา เป็นประตูเมืองในการเปิดการค้าเสรีในกลุ่มประเทศแถบนี้ จนสามารถมีท่าอากาศยานนานาชาติตั้งอยู่ แต่เนื่องจากสายการบินภายในประเทศมีน้อยและราคาค่อนข้างสูง หล่อนจึงเลือกลงที่สนามบินของจังหวัดแทน แล้วนั่งรถต่อมายังเมืองนี้ แม้ระยะทางจะไกลหน่อย แต่ประหยัดได้หลายพันบาททีเดียว
เมื่อสิบกว่าวันก่อน ปิ่นลดายังตื่นตากับบรรยากาศสวยงาม ไร่ผลไม้กว้างสุดลูกหูลูกตาที่ปลูกในพื้นที่ราบระหว่างหุบเขา เมื่อทอดสายตาออกไปไกลๆ หล่อนยังเห็นความอุดมสมบูรณ์ของพรรณไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นงดงามแซมจนทั่ว
กระทั่งรถแล่นผ่านสะพานคอนกรีตที่สร้างตัดแม่น้ำสายหนึ่ง แม่น้ำสายเล็กแต่มีน้ำไหลผ่านสมบูรณ์ รถยนต์แล่นตรงมาอีกไม่กี่ร้อยเมตร หญิงสาวก็เห็นคฤหาสน์ใหญ่สีแดงอิฐมาแต่ไกล รูปทรงเมดิเตอร์เรเนียนที่ดูน่าทึ่งถูกปลูกสร้างอย่างโดดเด่น ท่ามกลางความเขียวขจีของทิวเขาที่โอบล้อม ปิ่นลดาตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น และยิ่งพอใจเมื่อรู้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ทำงานของตน
หากทั้งหมดนั้น มันเกิดเมื่อสิบกว่าวันก่อน ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนรู้สึกในเวลานี้
ปิ่นลดาเดินทอดฝีเท้าเดินจากบ้านหลังเล็กสีฟ้าเรื่อยๆ จนมาถึงเขตสวนดอกไม้ด้านข้างคฤหาสน์ คะเนด้วยสายตาเฉพาะสวนดอกไม้แห่งนี้ก็น่าจะกินพื้นที่กว่าสองไร่ ทุกอย่างช่างงดงามและสมบูรณ์แบบ หากเธอรู้ว่ามันจะสร้างความประทับใจแต่แรกเห็นเท่านั้น แต่หลังจากนั้นมันคือความเงียบสงัด เย็นชาและมืดมิด ไร้อิสระโดยสิ้นเชิง
ลูกจ้างที่ไหนกันถึงห้ามออกพ้นเขตรั้วบ้าน เราไม่ใช่นักโทษสักหน่อย ถึงจะจ้างด้วยค่าจ้างสูงลิบ แต่สิทธิพื้นฐานของลูกจ้างยังต้องมีเหมือนกัน ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเจออย่างนี้ ไม่มีทางมาหรอก
คนหน้าหวานมุ่ยหน้าลง เมื่อประจักษ์กับความจริงในข้อนี้ เธอกำลังจะหันกายกลับเมื่อรับรู้ว่าได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ด้านหน้าแล้ว เพราะศจีสาวใหญ่ร่างผอมบางที่เธอพูดคุยอยู่ทุกวันได้บอกเป็นเชิงห้ามเอาไว้
หากว่าความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เธอต้องชะงักพลัน
คนร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายกางเกงยีนส์กระชับตัวกับเสื้อทีเชิ้ตสีน้ำเงินไว้ข้างใน สวมทับด้วยแจ๊กเกตสีน้ำตาลเนื้อหนาที่ดูน่าจะเหมาะสำหรับการบุกงานอยู่กลางแจ้งหรือลุยเข้าป่ามากกว่าเดินอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา เขากำลังย่างเท้าออกมาแล้วตรงไปยังรถยนต์คันใหญ่ที่มีดินโคลนเกาะแห้งกรัง จังหวะชายคนนั้นเปิดประตูรถ เขาก็หันขวับมาทางเธอ
ปิ่นลดาเบิกตาโต หลบเลี่ยงไม่ทัน รู้ว่าตนช่างเสียมารยาทที่แอบมองและยืนจ้องเขาอยู่อย่างนั้น พักเดียวที่เธอเห็นแววตาของเขาทอความสงสัยก่อนจะจางหายในไม่กี่วินาที
เขาก้มหน้าทักทายให้เธออย่างสุภาพ...ยิ่งทำให้ปิ่นลดาเงอะงะหนักกว่าเดิม เธอได้แต่ยิ้มตอบ แต่คงทั้งแหยและจืดเจื่อนอย่างน่าตลก เพราะเห็นประกายพริบพราวในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
ชายคนนั้นขับรถออกไปแล้ว ปิ่นลดาจึงหันกายกลับ เร่งฝีเท้าไปยังที่ของตัวเองโดยไม่คิดจะเหลือบแลไปทางอื่นด้วยความอยากรู้อีก
ภาพการพบเจอของเธอกับผู้ชายร่างใหญ่หนวดเครารุงรังอยู่ในสายตาผู้ชายอีกคน ดวงตาคมเข้มสีสนิมเหล็กทอดมองจากหน้าต่างห้องทำงาน เขาหรี่ตามองเธออย่างประเมิน ก่อนจะปรายตามองตามรถยนต์คันที่แล่นห่างออกไป
“เมื่อกี้คุณไปไหนมา ฉันเอามื้อเที่ยงมาให้ วางอยู่บนโต๊ะ ใกล้จะเย็นชืดแล้ว รีบกินซะนะ”
คำพูดแรกจากคนเดียวที่แวะเวียนมาให้เธอได้พูดคุยอยู่ทุกวันนับจากย่างกรายมาดังขึ้น แต่บ่อยครั้งก็ทำให้ขัดใจเพราะศจีไม่ใช่เพื่อนคุยที่น่าเพลินใจนักหรอก...สารพัดคำห้าม ข้อควรปฏิบัติและบางทีก็เป็นคำถามเข้มงวดที่มาจากเจ้าตัว จนทำให้ปิ่นลดาคิดว่าเธอมีผู้คุมมากกว่าคนร่วมงาน หรือแม้แต่จะเป็นใครที่มาพูดคุยให้หายเหงา
“ออกไปเดินเล่น อุดอู้อยู่ในบ้านทั้งวัน ฉันเบื่อ” ปิ่นลดาบ่น ถึงอย่างไรศจีก็เป็นคนเดียวที่เธอบอกความรู้สึกได้ “ฉันจะได้ทำงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ พักอยู่อย่างนี้รู้สึกกินแรงนายจ้างชะมัด”
เจ้าหล่อนบ่นพึม โดยไม่ได้มองคนวัยสูงกว่าที่เบือนไปทางอื่นพร้อมสีหน้าแปลกเปลี่ยนไป
ปิ่นลดานั่งประจำเก้าอี้ตรงโต๊ะทานอาหารในห้องครัว เปิดสำรับที่จัดมาอย่างประณีตและตั้งใจ หล่อนหันมองสาวใหญ่ที่เดินอย่างเงียบกริบเป็นเชิงขอบคุณ หากไม่วายทิ้งท้ายด้วยคำบ่น
“ไม่นานฉันคงอ้วนตัวกลม นั่งๆ นอนๆ ทุกวัน อาหารที่ศจีเอามาให้ก็อร่อยทั้งนั้น”
“คุณอ้วนอีกนิดก็ยังสวยค่ะ”
“จริงเหรอศจี พูดอย่างนี้รู้หรือเปล่าว่าฉันบ้ายอ ถือเอาจริงจังเลยนะ”
ปิ่นลดาล้อคนหน้านิ่ง ขนาดนี้แล้วเจ้าตัวแค่ยกมุมปากยิ้มตอบนิดเดียว
“ฉันกลับแล้วนะ เย็นจะมาใหม่ คุณอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า”
ปิ่นลดาชะงักมือที่กำลังตักอาหาร นิ่งเป็นครู่ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ
สุดท้ายก็อยู่ตามลำพัง ศจีคงไม่ใช่เพื่อนคุยของเธอจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่แค่มาส่งข้าวปลาวันละสามครั้งแล้วจากไปเมื่อหมดหน้าที่อย่างนี้หรอก