บทที่ 4 ผู้ที่ถูกเลือก
“ผู้หญิงคนนี้อันตรายเกินกว่าจะให้อุ้มท้องสายเลือดราชเกียรติกูร หล่อนมีความคิดที่อันตรายต่อนายน้อยและตัวคุณใหญ่”
“ศจีบอกอะไรคุณทิพย์ ไหนว่ามาซิ”
“ปิ่นลดาพูดว่าบ้านหลังนี้เป็นวัง วังของท่านชาย...เอ่อ นอกรีต เลยว่าไม่แปลกใจที่ต้องทำตัวลึกลับ เพราะไม่กล้าเปิดตัวต่อสังคม กลางคืนก็ปิดไฟมืด แถมมาอยู่กลางป่าเขา”
กรามแกร่งบดเข้าหากัน ดวงตาสีสนิมเหล็กทอประกายวาบ พวงทิพย์สังเกตเห็นและฉลาดพอที่จะรีบขอตัวกลับไปในที่ของตัวเอง หลังจากย้ำบอกให้เด็กในบ้านเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะให้กับเจ้าของคฤหาสน์
รัชตะมองไปทางบ้านสีฟ้า ดวงตานิ่งสนิท แม้ทิศทางนั้นจะถูกปิดกั้นด้วยผ้าม่านหนาหนักสีเลือดนก ทาบด้วยผ้าลูกไม้เนื้อดีจากฝรั่งเศส แต่ดวงหน้านวลตลอดจนเรือนร่างแน่งน้อยที่เคยมัดใจเขา จนดึงดันที่จะเลือกมาให้ร่วมสายเลือดสีน้ำเงิน...สายเลือดที่แม้จะถูกคัดออก แต่ความเย่อหยิ่งทระนงยังอาบทั่วกาย
ยิ่งทวีความเข้มข้นเมื่อรู้ว่าจะมีคนคิดต่อต้านและตอกย้ำกับเขา
“ไม่แปลกที่ปิ่นลดาจะรู้เรื่องนี้ ถ้าพ่อเธอจะปากโป้งเล่าให้ฟัง...แต่เธอทำให้ฉันแปลกใจที่กล้าท้าทายฉัน ช่างหาเรื่องใส่ตัวจริงนะแม่คุณ อยู่รออย่างสงบในที่ของเธอไม่ได้ใช่ไหม”
น้ำเสียงเรียบเย็นที่เค้นออกมาจากลำคอหนา หากเจ้าของชื่อที่ถูกพูดถึงมาได้ยิน เธอคงต้องขนลุกด้วยความหวั่นกลัวเป็นแน่
คนร่างอรชรนอนคว่ำหน้า สายตาไล่ตามตัวหนังสือที่เธออ่านซ้ำ เป็นรอบที่สาม จนเกินชั่วโมงจึงพลิกกายหงาย แล้วทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย
“เบื่อจนเครียด ใกล้จะบ้าแล้วนะ รับรองเถอะ ฉันบ้าเมื่อไหร่ ลุงได้สังเวยความบ้าของฉันเป็นคนแรกแน่ ลุงคุณใหญ่แห่งบ้านผีดิบ!”
ท้ายเสียงกระแทกขุ่นมัว นึกภาพชายชราผมขาวโพลนทั้งหัว หากเรือนกายยังกำยำล่ำสัน มีรัศมีสีเทาแผ่ออกมา...และเมื่อภาพนั้นชัดขึ้นปิ่นลดากลับนึกขันปนสมเพช
“คงมีเมียเด็กซุกไว้ในคฤหาสน์ พอมีลูก เลยต้องซุกต่อ จะจ้างพี่เลี้ยงยังต้องทำลับๆ ล่อๆ แก่แล้วไม่เจียมตัว ทำเราเดือดร้อนไปด้วย”
หล่อนว่าใส่อารมณ์ พยายามสูดลมหายใจลึก บรรเทาอารมณ์เดือดพล่าน แต่เมื่อไม่เป็นผลจึงต่อว่าฝากฟ้าลม
“ถ้าลุงอยู่ส่วนลุง ฉันก็ไม่สนใจหรอก ชีวิตใครชีวิตมัน แต่ตอนนี้ฉันอยากฉีกอกลุง ตัณหาหน้ามืดของลุงทำฉันเดือดร้อน ลุงกำลังคุกคามชีวิตอันสงบสุขของฉันอยู่ เข้าใจไหม”
เจ้าหล่อนทุบกำปั้นลงกับที่นอน พ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างเคืองแค้น การถูกกักขังให้อยู่ในบ้านหลังเล็ก โดยมีคนคุมคอยส่งอาหารเช้าเที่ยงเย็น จะติดต่อใครก็ไม่ได้ การจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เป็นอันไม่ต้องคิดฝัน
ถึงขนาดนี้ ใครจะทนไหว!
ร่างกลมกลึงในชุดนอนตัวเดียว สวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเนื้อบาง ไม่อนาทรต่อความหนาวที่แทรกมาสัมผัสผิวอ่อน เธอจ้ำออกจากบ้านหลังสีฟ้า เป้าหมายอยู่เบื้องหน้า...คฤหาสน์ใหญ่สูงตระหง่านในความสลัว ทาบกับทิวเขาที่เห็นเป็นเงาไกลๆ
ตลอดระยะทางสองร้อยกว่าเมตรในคืนข้างแรมกับสายลมเย็น ไม่ทำให้เธอคลายความเดือดดาลลงได้ มือบางกำแน่น
มันเรื่องอะไรที่ใครก็ไม่รู้ทำให้ชีวิตเธอต้องมาเป็นอย่างนี้!
“เฮ้ย! หยุดอยู่ตรงนั้นนะ”
เสียงตะโกนบอกด้วยสำเนียงท้องถิ่นทำให้หญิงสาวชะงักเท้า หยุดมองนิดหนึ่ง แต่ไม่สนใจ เพราะเป้าหมายของเธอเป็นคนที่อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ตรงหน้านี้แหละ
แต่เจ้าของเสียงเมื่อครู่กลับวิ่งมาขวาง แสงสว่างจากโคมไฟที่ติดอยู่ห่างๆ ทำให้ปิ่นลดามองฝ่ายนั้นชัด
นายคนสวนที่เคยเดินหนีเธอเมื่อกลางวัน ปิ่นลดาจำได้!
“ไปเรียกคุณใหญ่มาพบฉัน”
เสียงประกาศก้อง ทำให้ชายที่มีความสูงไม่ห่างจากเธอ แต่ความหนามากกว่าเป็นเท่าตัวชะงักงัน ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นก็จำเธอได้เช่นกัน ท่าทางอึกอักเงอะงะเลยกลับมาให้ปิ่นลดานึกขุ่นใจ
แล้วเสียงเดินสวบสาบก็ดังขึ้นพร้อมกับคำถาม
“ใครน่ะ ไอ้ปั้น”
“ผู้หญิงคนนี้จะพบนาย”
“พบนาย?” คนถามทำหน้าสงสัยเต็มที่ มองหน้าตาหล่อนไม่ชัด แต่ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ จึงไม่รีรอที่จะฟันธง “คนบ้าหรือคนเมาวะ หน้าตาไม่เคยเห็น หรือเป็นอีตัวในเมือง ใครมันหิ้วมากกอีกวะไอ้ปั้น ห้ามไม่ฟัง อย่าให้รู้นะ พ่อจะเตะให้สลบ”
จบคำพูดอวดเบ่งในความรู้สึกคนตัวเล็ก เสียงแว้ดแหวก็ดังสนั่นหวั่นไหว
“อีตัวบ้านนายน่ะสิ คนบ้านนี้ประสาทกันหมดหรือไง เพ้อเจ้อ บ้าบอ ไปเรียกคุณใหญ่ของนายมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้ ฉันมาทำงาน รออยู่ตั้งหลายวัน ยังไม่เห็นมีอะไรมาให้ทำ ค่าจ้างก็ไม่คิดจ่ายด้วยใช่ไหม นี่เดือนกว่าแล้วนะ หรือว่าบ้านหลังนี้เป็นที่ซ่องสุมค้าแรงงานทาส คอยดูนะ ฉันจะแจ้งตำรวจ แล้วเรียกนักข่าวมาประโคมให้ดังทั้งประเทศ”
ปิ่นลดาหายใจหอบ จ้องมองสองคนที่ขวางหน้าซึ่งกำลังอึ้งตามกัน
แล้วชายคนเตี้ยกว่าก็หันมองคนตัวใหญ่ที่มาภายหลัง เหล่มายังเธอในทำนองว่า เห็นฤทธิ์หรือยัง!
คนตัวเล็กที่ยืนเท้าสะเอวต่อว่าชายสองคนฉอดๆ อย่างไม่กลัวภัย สร้างแสงวาบให้จุดในดวงตาคมสีสนิมเหล็ก ดวงหน้าคมสันเรียบเฉยเช่นเดิม
เขาเห็นปิ่นลดาตั้งแต่หล่อนออกจากบ้านสีฟ้าจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ จึงมายืนกอดอกรอตรงระเบียงชั้นลอยอยู่เงียบๆ กระทั่งหญิงสาวปรากฏตัวอยู่ห่างจากจุดที่เขายืนมองไม่ถึงยี่สิบเมตร หากว่าแสงสลัวยามค่ำคืนคงทำให้เจ้าหล่อนไม่ทันสังเกต
“กลับไปได้แล้ว นายปั้น นายแสง”
รัชตะออกคำสั่งเสียงเข้ม ชายสองคนหันมอง แล้วทำท่าทางนอบน้อมรับคำสั่งจนปิ่นลดาเบ้หน้า...ก่อนตวัดสายตาไปยังเงาร่างใหญ่ที่ยืนอยู่
นายคนนี้เป็นใคร หรือเป็นเจ้าชีวิตอีกคนของคนในนี้ แต่คิดหรือว่าคนอย่างปิ่นลดาจะกลัว!
ปิ่นลดาสาวเท้าเนิบผ่านหน้านายสองคนที่บังอาจมาสกัดเธออย่างไม่ใส่ใจ เพราะเป้าหมายใหม่อยู่ที่คนยืนนิ่งตรงระเบียงนั่นแหละ
“คุณเป็นใคร ฉันไม่สนใจ แต่คิดว่าคงใหญ่พอตัว ไม่อย่างนั้นนายสองคนนี้ถึงไม่ทำท่ากลัวหงอขนาดนี้ เมื่อกี้ยังทำกร่างกับฉันอยู่เลย” ปิ่นลดาประชดอย่างได้ที
“เธอมีธุระอะไร”
“ฉันต้องการพบคุณใหญ่”
คำประกาศกร้าวของเธอ สร้างความเงียบให้เกิดถ้วนทั่ว หากอยู่ในระยะใกล้พอและมีแสงสว่างส่องถึง เธอคงได้เห็นแววตาทอความรู้สึกของชายหนุ่มออกมา และหากหันมองข้างหลังคงเห็นว่าชายสองคนมองหน้ากัน สีหน้างุนงงเต็มที่
“มีธุระอะไร”
“ฉันไม่ต้องการบอกผ่านใคร แม้คุณจะใหญ่แค่ไหน แต่ไม่ใช่คนที่ฉันจะพูดด้วย”
“คุณใหญ่ไม่พร้อมคุยกับเธอ กลับไปซะ ถึงเวลาแล้วได้พบเอง”
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือไง พูดอยู่ได้ซ้ำๆ ประโยคเดียว เมื่อเช้าคุณทิพย์อะไรนั่นก็ท่องให้ฉันฟังไปรอบหนึ่งแล้ว ยังจะมีคุณมาทวนซ้ำอีกเหรอ ตายละ นี่มันอะไรกัน โดนคุณใหญ่ฝังชิปตั้งโปรแกรมกันทั้งบ้านหรือไง”
แล้วเสียงหัวเราะพลิ้วที่แทรกผ่านความมืดกับสายลมเย็นทำให้คนฟังทั้งสามมีปฏิกิริยาต่างกัน
คนร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งบนระเบียงขบกรามแน่น สายตาคมกริบจ้องไปยังหญิงสาวอย่างประเมินและครุ่นคิด ขณะที่นายปั้นกับนายแสงถึงกับตัวสั่น กล้าๆ กลัวๆ ที่จะห้ามเธอ
“กลับไปได้แล้ว แล้วคืนนี้ไม่ต้องมาอีก”
เสียงดุกร้าวดังแทรกความเงียบ ปิ่นลดาทำท่าจะค้าน แต่พอเห็นว่าสองคนข้างหลังขยับตัว พากันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เธอเลยถึงบางอ้อ
คิดว่าจะถูกไล่ซ้ำไล่ซ้อนซะอีก เฮ้อ!
เมื่อสองคนนั้นหายไปแล้ว ปิ่นลดาจึงหันมายังชายคนที่หมายตาว่าจะทำให้เธอพบกับตาเฒ่าตัณหากลับที่ทำให้เธออยู่ในสภาพนี้ให้ได้ แต่พอเห็นว่าร่างนั้นกำลังก้าวลงจากบันไดที่ทอดเลื้อย เธอก็ขยับตัว บอกตัวเองไม่ได้ว่าควรดีใจหรือวิ่งหนีกันแน่
ร่างใหญ่ทะมึนหากเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ดูประเปรียว ทำให้เธอรู้สึกไม่ต่างกับการเผชิญกับเสือดำ!
“ฉัน...ฉันไม่อยากคุยกับคุณ แต่อยากให้เรียกคุณใหญ่มาคุยกับฉัน”
ปิ่นลดายอมเสียฟอร์ม เมื่อสัมผัสถึงรังสีอันตรายจากผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้า แต่คะเนจากขนาดร่างกายและความคล่องตัวของเขา หล่อนฉลาดพอที่จะไม่ต่อกร
“มีอะไรบอกกับฉันได้”
“ไม่ได้หรอก ฉันมีเรื่องสำคัญ คนนอกไม่เกี่ยว”
“อ๋อ เรื่องระหว่างเธอกับเขา เรื่องลับของสองคน”
น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเจ้าของวาจาดุกร้าวแถมยังมีท่าทางเคร่งขรึมเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทำให้ปิ่นลดาสะท้านอย่างไม่รู้ตัว สัญชาตญาณในกายร่ำร้องให้หาทางหลบจากเขา ยิ่งเมื่อตวัดสายตามองโดยรอบ...ความเงียบสงัดกับความมืดมิดของราตรีกาลยิ่งให้ปิ่นลดาตระหนักว่าไม่ใช่จังหวะเหมาะที่จะคาดคั้นเขาเพื่อจะพบกับเจ้าของคฤหาสน์
“ฉันว่า ฉันควรกลับ”
หล่อนว่าพลางหันกายกลับ คิดจะจ้ำอ้าวอย่างไม่เหลียวหลังไปยังสถานที่ที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด หากสองเท้าบางต้องชะงักกึก เมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจดังจากข้างหลัง
“ฉันยังไม่อนุญาตให้เธอกลับ”
แม้จะไม่ดังมาก หากบางอย่างที่เจือกับน้ำเสียงนั้นทำให้ปิ่นลดาตัวเย็นวาบ หายใจติดขัดขึ้นมาดื้อๆ มือเรียวสองข้างกำแน่น หล่อนกำลังตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรในห้วงเวลาวิกฤตนี้ แม้ทุกอย่างยังเงียบนิ่ง แต่รู้ว่าภัยอันตรายค่อยๆ แทรกมาหา และเธอคงไม่อาจยืนนิ่งเฉยโดยไม่คิดจะต่อสู้เลย
ปิ่นลดาตัดสินใจวิ่งหนีกลับทิศทางเดิม หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ท่ามกลางคืนเดือนมืดไร้แม้แสงจันทร์ส่องทาง เสียงตึกตักที่ดังพร้อมจังหวะย่ำเท้าของตัวเองยิ่งทำให้เธอต้องพยายามเร่งหนี ทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงหัวใจที่กระหน่ำสั่นหรือเสียงจากผู้ชายคนนั้น
หากเธอไม่มีเวลาคิดถึงมันอีกแล้ว เมื่อรู้สึกถึงแรงกระชากจากด้านหลังทำให้ร่างแทบหักกลาง แรงนั้นกระชากเธอปะทะกับกำแพงเนื้อหนาหนั่น
“กรี๊ด! ปล่อยฉัน”
ปิ่นลดาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง สำเหนียกในวินาทีนั้นว่าทางรอดของตนแทบเป็นศูนย์แล้ว
ท่อนแขนกำยำรัดเอวบางแล้วดึงแนบชิดลำตัวแกร่ง อุปาทานไปเองหรือเปล่าไม่รู้ว่าเขากำลังฉวยโอกาสลวนลามเธออยู่
กระทั่งลำแขนข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นสูง ช้อนทรวงอกอิ่มเต็มขึ้น แล้วรัดกระชับแน่นเข้า หญิงสาวหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินเสียงหอบแปลกๆ จากคนซ้อนหลัง มันไม่ใช่เสียงหอบเพราะเหนื่อยที่ต้องวิ่งตามเธอแน่นอน
หญิงสาวกรีดร้องดังสุดเสียงด้วยไม่อาจระงับความกลัว เมื่อความร้อนผ่าวแข็งขึงดุนดันอยู่กับบั้นท้าย เขาจงใจทำมัน คนหยาบคายตั้งใจลวนลามเธอ!
“ปล่อยฉัน! ปล่อย! ฉันไม่พบคุณใหญ่แล้ว ไม่พบก็ได้ ปล่อยสิ!”
หล่อนตะโกนพลางดิ้นสุดกำลังหวังจะหลุดพ้นจากการกระทำจาบจ้วง เขาเป็นใครกัน ทำไมถึงได้อุกอาจทำกับเธอในเขตคฤหาสน์แห่งนี้ที่ใครต่อใครก็ต่างกลัวเจ้าของกันทั้งนั้น
“ทำไมยอมง่ายๆ ล่ะ ฉันกำลังสนุก จะว่าไปเธอก็ถูกใจฉันนะ ปิ่นลดา”
“หยุดพูดนะ นายทำหยาบคายกับฉันไม่ได้ เพราะ...เพราะคุณใหญ่จะโกรธนาย”
“คุณใหญ่?” เสียงห้าวฟังดูประหลาดใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นถามเหมือนกำลังขำเธอ “คุณใหญ่เนี่ยนะจะโกรธฉัน แล้วโกรธเรื่องอะไร”
“ฉันเป็นคนของเขา ฉันเป็นผู้หญิงของคุณใหญ่ นายจะทำหยาบคายกับผู้หญิงของนายไม่ได้ ปล่อยฉันลงถ้าไม่อยากตาย”
ปิ่นลดาขู่ฟ่อเท่าที่สติและปัญญาที่เหลืออยู่จะเค้นออกมาได้ แล้วร่างใหญ่นั้นก็หยุดลวนลาม แรงรัดจากลำแขนแกร่งคลายลง
หญิงสาวหัวใจพองโต...หรือชื่อของ ‘คุณใหญ่’ จะได้ผลจริงๆ
“เธอเป็นผู้หญิงของเขา แล้วเคยเจอเขาหรือเปล่า รู้หรือว่าเขาเป็นคนยังไง”
เสียงถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ปิ่นลดาได้จังหวะสะบัดตัวออก ถอยห่างราวกับร่างใหญ่ยักษ์นั้นเป็นของร้อน และน่าเจ็บใจที่เขายังยืนได้มั่นคง ส่วนเธอนั้นหรือ...เซแซดๆ ไปสองสามก้าว แทบจะสะดุดเท้าตัวเองล้ม ก่อนตั้งตัวยืน
“ทำไมจะไม่รู้ ถึงเขาจะแก่ แต่ฉันชอบเขา เขาใจดี ไม่หยาบคายอย่างนาย และจำไว้นะ อย่าบังอาจแตะต้องตัวฉันอีก ไม่งั้นฉันจะฟ้องเขาให้สั่งคนจับนายยิงเป้า”
หล่อนประกาศก้อง คนร่างใหญ่ถึงกับยืนจังงัง แม้ไม่เห็นหน้าแต่ปิ่นลดาก็รู้หรอกว่าเขากลัวโทษที่เธอขู่
“อย่าตามมานะ ถ้าไม่อยากตาย”
หล่อนถอยห่างอีกสามก้าว ก่อนหันกายวิ่งหนีสุดฝีเท้า ร่างน้อยในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เห็นรางๆ ในคืนเดือนมืดจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง
คนข้างหลังยกมือเท้าสะเอวมองตาม ดวงตาคมหรี่ลง เรียวปากหยักกระตุกยิ้มอย่างจอมวายร้าย
อย่างนี้จะพึ่งเทคโนโลยีผลิตเลือดเนื้อเชื้อไขให้โง่ทำไม ก็หล่อนร่ำร้องอยากเป็นผู้หญิงของนายใหญ่ใจจะขาดแล้ว!