บทที่ 4
จวนรุ่ยอ๋อง ณ ห้องโถงใหญ่ ดวงหน้าคมเข้ม หัวคิ้วผูกปมทอดสายตามองลูกน้องคนสนิทอย่างหนานเจิงรายงานเรื่องที่สั่งให้ไม่สำเร็จ
“ไม่สำเร็จอย่างนั้นรึ” รุ่ยอ๋องตบโต๊ะดังปัง!!!
ดวงตาดุจน้ำทะเลลุ่มลึกทอดมองหนานเจิงนั่งคุกเข่าแล้วประสานมือ “ข้าน้อยสมควรตายที่ทำงานไม่สำเร็จขอรับ”
“นักฆ่าพวกนั้นเล่า” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามลูกน้อง
“ตายหมดแล้วขอรับ”
กว่าเขาจะมีโอกาสได้สังหารรัชทายาทมันช่างยากเย็นยิ่งนัก เขาหมายในบัลลังก์มังกร เขาคือรุ่ยอ๋ององค์หรือองค์ชายสี่ จ้าวเว่ยเกิดจากสนมเสิ่นซูเฟย อายุยี่สิบสามปี แต่งตั้งเป็นรุ่ยอ๋อง เขานั้นหมายในบัลลังก์แต่ทว่า เสด็จพ่อนั้นแต่งตั้งจ้าวหลี่ที่เกิดแต่คังฮองเฮาเป็นรัชทายาทเรียบร้อยแล้ว ป้ายคำสั่งทางการทหารก็อยู่กับจ้าวหลี่ ชีวิตของจ้าวหลี่ช่างดียิ่งนักมีอำนาจทางการทหาร ส่วนเขามันแค่สั่งให้ทำงาน ในเมืองตงหนานคือมีหน้าที่ตัดสินคดีเล็กๆน้อยๆ มันน่าเจ็บใจยิ่งนักที่เกิดเป็นลูกสนม
“แล้วสตรีแซ่เจียงเล่า”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่า นางได้เดินทางมาถึงตงหนานแล้วขอรับพักอยู่ที่จวนเจียง”
“ข้าไม่คิดเลยว่า พี่สาม ติ่งอ๋องจะฉีกหน้าข้าเยี่ยงนี้ ถึงกับให้ข้าแต่งกับสตรีอัปลักษณ์” ติ่งอ๋องเป็นอีกคนที่อยากจะได้บัลลังก์จึงทำให้รุ่ยอ๋องเสียหน้า วันนั้นประชุมที่ท้องพระโรงยามเช้าตอนที่เขากลับมาจากแจกข้าวทางชายาแดนทางเหนือมีความดีและความชอบ ขุนนางฝั่งติ่งอ๋องเสนอชื่อบุตรสาวขุนนางต่างๆ จึงมีมติให้เขาแต่งงานกับคุณหนูใหญ่สกุเจียง เรื่องนี้ฝ่าบาทก็เห็นดีเห็นงามด้วย บอกว่าจวนรุ่ยอ๋องไม่มีชายาหรือสนมแม้แต่คนเดียวสมควรที่จะมีชายาได้แล้ว ด้านติ่งอ๋องพอใจยิ่งนักที่เห็นพระอนุชาได้หญิงอัปลักษณ์มาเป็นชายา
“ข้าจะรอวันชำระแค้นจวนเจียงกับติ่งอ๋อง” ดวงตาดุจน้ำทะเลฉายแววแดงก่ำขึ้นอย่างน่ากลัว จนหนานเจิงสั่นสะท้านกับแววตาเจ้านาย…
วันต่อมาที่จวนเจียงบรรยากาศในจวนพลันเงียบสงบ เจียงซูซูพลันตื่นขึ้นล้างหน้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ไปคารวะน้ำชาที่เรือนใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่า หลังจากที่คารวะน้ำชาเสร็จแล้ว อัครเสนาบดีเจียงเดินเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ เห็นบุตรสาวคนโตแต่งกายด้วยอาภรณ์สวยหรู แต่ทว่าดวงหน้านั้นปิดด้วยผ้าขาวบางพลันให้เห็นแค่ดวงตา
“คารวะท่านพ่อ” เจียงซูซูพลันยอบกายคำนับ
“นั่งลงเถอะ” อัครเสนาบดีเจียงเอ่ยขึ้น
“เจ้าคงรู้เหตุผล ที่ข้าให้เจ้ามาที่จวนแล้วสินะ”
“เจ้าค่ะ”
“ดี วันพรุ่งเจ้าต้องเรียนมารยาทจากนางในวัง อีกทั้งเพลงพิณหมากล้อมด้วย ภายในหนึ่งเดือนนี้เจ้าต้องเป็นทุกอย่าง ก่อนแต่งงานกับรุ่ยอ๋อง”
“เจ้าค่ะ” อัครเสนาบดีเจียงหมายจะเดินออกไป
“ท่านพ่อ” เจียงซูซูพลันเอ่ยเรียกบิดา ทำให้เจียงชิงพลันหมุนกายกลับมา
“ข้าแต่งงานกับรุ่ยอ๋อง ท่านรับปากได้ไหมว่า จะหาคนมารักษามารดาของข้าให้หาย” เรื่องนี้นางคิดอยู่นาน
“ได้ ข้าจะเสาะหาหมอที่ดีมารักษามารดาเจ้า” เจียงชิงสะบัดแขนเสื้ออกไป
ฮูหยินเฒ่ามองหลานสาวอย่างเอ็นดู “ซูเอ๋อร์ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงพ่อเจ้าก็ต้องหาทางรักษามารดาเจ้าให้หาย สามปีมานี้พวกเราไม่ได้ละเลยมารดาเจ้า”
“เจ้าค่ะท่านย่า”
“เรื่องที่เจ้าโดนลอบทำร้าย ย่าเพิ่งได้รู้เมื่อวานตอนที่จ้าวมามารายงาน เรื่องนี้ย่าจะสั่งให้คนสืบความ”
พูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าได้ไม่นานนางก็ขอตัวกลับเรือนหนิงฮวา ตอนที่นางกลับมาที่เรือนฮูหยินใหญ่กินข้าวแล้วกินยาจากนั้นก็นอนพักผ่อนเป็นที่เรียบร้อย
เจียงซูซูพลันนั่งที่เก้าอี้จากนั้นอาเจียรีบรินน้ำชาให้เจ้านาย ดูเหมือนว่าเจียงซูซูมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก
“เรียนคุณหนูใหญ่ คุณหนูสามขอพบเจ้าค่ะ” คุณหนูสามที่สาวใช้เอ่ยถึงคือ เจียงหยวนบุตรสาวบ้านสายรองนั่นเองนางอายุแค่สิบสี่ปี เป็นคุณหนูสามของตระกูลเจียง
เจียงซูซูพลันคิดในใจเด็กสาวอย่างเจียงหยวนจะมีหน้าตาเช่นไรบ้าง สามปีก่อนเจียงหยวนนั้นรังเกียจนางยิ่งกว่าอะไร เพราะใบหน้าด้านซ้ายมีปานขนาดใหญ่ จึงไม่มีผู้ใดในจวนเจียงเล่นกับเจียงซูซู รวมทั้งเจียงเหมยด้วย เจียงซูซูยังจำคำพูดเจียงหยวนได้ดี ที่ด่าทอนางในวันนั้น “นังอัปลักษณ์หน้าดำเมี่ยม” คำพูดประโยคนี้นั้นคงฝังในหัวสมองของเจียงซูซูไม่เสื่อมคลาย
เรือนร่างอรชรในชุดผ้าต่วนอย่างดีสีชมพูลายดอกไห่ถังฮวาปักด้วยดิ้นทองอย่างงามวิจิตร ดูท่าบ้านสายรองคงจะมีเบี้ยหวัดมากพอที่จะซื้อผ้าต่วนอย่างดีให้บุตรสาวใส่เป็นแน่แท้
เจียงหยวนหยุดมองเจียงซูซูที่พลันยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
“มาถึงก็นำความอัปมงคลมาให้ตระกูลเลยนะเจียงซูซู” เจียงหยวนพูดอย่างไม่ยี่หระ
เจียงซูซูมองประเมินเจียงหยวนตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงหน้าของเจียงหยวนยังคงงดงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
ที่เจียงหยวนพูดอย่างนั้นเพราะได้ยินข่าวว่าเจียงเหมยไปอาละวาดที่ห้องโถงใหญ่ ท่านย่าจึงสั่งให้เจียงเหมยไปคุกเข่าที่ห้องบรรพชนเรื่องนี้ทำให้เจียงหยวนโกรธเจียงซูซูเป็นอย่างมากที่ทำให้ เจียงเหมยโดนทำโทษคุกเข่าที่ศาลบรรพชน
“ข้านำความอัปมงคลอันใดมาให้ตระกูลเจียง น้องสามถึงได้กล่าวหาข้าเช่นนี้” เจียงซูซูพลันเอ่ยถามอย่างราบเรียบไร้ความรู้สึกโกรธแม้เจียงหยวนจะพูดแดกดันนาง
“หึ สตรีอัปลักษณ์อย่างเจ้าได้แต่งงานกับรุ่ยอ๋อง ช่างไม่เจียมตัวเองเสียเลย” ในใจเจียงหยวนแอบอิจฉาเจียงซูซูที่แต่งงานกับรุ่ยอ๋องบุรุษผู้งดงามในใต้หล้า ทำไมวาสนานั้นต้องตกเป็นของคนอัปลักษณ์ด้วยเล่า
คำว่าอัปลักษณ์มันจี้ใจเจียงซูซูยิ่งนัก นางเกิดมาชาตินี้อัปลักษณ์แล้วอย่างไร คนเรามองกันที่จิตใจหาได้มองกันที่หน้าตาไม่
“เจ้าออกไปได้แล้ว” นางชี้ไปทางประตูเรือนหนิงฮวา
“เจ้ากล้าไล่ข้า” เจียงหยวนพลันขึ้นเสียงใส่เจียงซูซู
“ใช่ ข้าไล่เจ้า ถ้าเจ้าจะมาพูดจาไร้สาระ ก็เชิญกลับไป อย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
“นังอัปลักษณ์!!!” เจียงหยวนพลันกระทืบเท้าแล้วเดินออกไปจากเรือนหนิงฮวา
คล้อยหลังเจียงหยวน สีหน้าเจียงซูซูไม่ค่อยดียิ่งนัก “คุณหนูอย่าไปฟังคำพูดของ หญิงบ้าผู้นี้เลยเจ้าค่ะ” อาเจียเอ่ยปลอบใจเจ้านายของนาง อาเจียไม่คิดว่าเจียงหยวนจะไม่ไว้หน้าเจียงซูซูเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่เป็นไร” กล่าวจบนางเดินไปทีโต๊ะเครื่องแป้ง นั่งลงทอดสายตามองตัวเองหน้าคันฉ่องสีเหลืองทอง
ดวงหน้าซีกซ้ายปรากฏปานดำครึ่งซีก ทำไมทุกคนต้องด่าว่านางด้วยเล่า เพียงเพราะนางเกิดมาไม่งดงามเยี่ยงคนอื่นอย่างนั้นรึ
“คุณหนูอย่าเศร้าไปเลยนะเจ้าคะ” อาเจียไม่อยากให้เจ้านายจมปักกับคำคนอื่น
“ข้าเข้าใจแล้ว” คืนนั้นทั้งคืนเจียงซูซูพลันนอนไม่หลับทั้งคืน
ยามเช้าจ้าวมามาส่งสาวใช้มาบอกให้เจียงซูซูรีบมาเรียนเพลงพิณที่ศาลาข้างภูเขาจำลอง กระนั้นนางกินข้าวอิ่มรีบย่างกรายไปที่ศาลาทันที พบว่ามีสตรีสามนางอยู่ในศาลา
“เชิญคุณหนูใหญ่นั่งที่ของเจ้า” คนที่เอ่ยขึ้นเป็นอาจารย์หวางผิงเป็นอาจารย์สอนเพลงพิณที่เก่งที่สุดในใต้หล้า
สายตาอาจารย์หวางผิงทอดมองลูกศิษย์ที่มีใบหน้าอัปลักษณ์อย่างไม่พึงใจเห็นได้อย่างชัดเจน นี่สินะคือบุตรคนโตของท่านอัครเสนาบดีที่มีดาวเคราะห์ร้ายผู้ใดอยู่ด้วยล้วนประสบเคราะห์กรรมหายนะ เหมือนฮูหยินใหญ่ที่เป็นบ้า