บทที่ 8 พิภพพระกาฬ
แข้งขาผอม ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยจอมซนกางอ่อนแรงอยู่กับพื้นแข็ง ๆ หลังอาศรม กฤตพรตใจหายวูบ วิ่งมาถึงร่างนางก็คุกเข่าสัมผัสชีพจรและตรวจดูที่หลังศีรษะว่ามีบาดแผลหรือไม่
“วิลาสินี!”
นางพลัดตกจากหลังคาอาศรมสูงพอสมควร ลงมากระทบพื้นกรวดทรายที่มีหน่อไผ่ขึ้น เคราะห์ดีไม่ได้โดนไผ่แทงเข้าที่จุดสำคัญ มีตรงข้อศอกของนางโดนแทงเป็นแผลเล็ก ๆ นอกจากนี้เขาไม่เห็นเลือด
แต่ไฉนนางจึงไม่รู้สึกตัว ไม่มีเสียงร้องอะไรเลยตอนตกลงไป เจ้าฐิรังกาวัยย่างสิบห้าชันษารู้สึกราวกับข้างในสั่นสะท้านด้วยความกลัว เจ้าชายองค์อื่น ๆ ที่เป็นศิษย์ร่วมรุ่นเข้ามามุงดู รัชตะคุกเข่าลงแตะแก้มนางเบา ๆ เรียกให้ตื่น
“โอ๊ย…!!”
จู่ ๆ เด็กหญิงก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งกุมศอกโอดโอย ร้องไห้จ้าน้ำตาหยดแหมะ ๆ รัชตะถอนใจฟู่โล่งอก รีบโอ๋ด้วยการจับแขนเล็กมาปัดเศษดินออกแล้วเป่ามนตร์สมานแผลให้ กฤตพรตประคองหลังของนาง เงียบด้วยพูดไม่ออกขณะที่หัวใจเต้นแรงอยู่ในอกจนเหมือนจะทะลุออกมานอกซี่โครง เจ้าชายองค์อื่น ๆ พากันแยกย้ายเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว เดินออกไปรับหน้าพระฤๅษีไม่ให้สงสัย
“ดูสิ เราบอกแล้วเมื่อวานว่าให้ระวัง ปีนเป็นลิงเป็นค่างไปได้” รัชตะว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว ทำตัวเองแท้ ๆ เลย เงียบ ๆ น่ะ เดี๋ยวพระอาจารย์ได้ยินหรอก”
“เจ็บ...” วิลาสินีสะอึกสะอื้นแต่ก็พยายามอุดเสียงตัวเอง กลัวจะโดนบิดาลงโทษ ตัวนางโงนเงนน่ากลัวจะล้มฟาด กฤตพรตจึงดึงมาพิงเขาไว้ ละอองดินเลอะเทอะไปหมด เจ้าฐิรังกาตั้งสติบอกรัชตะ
“เดี๋ยวเราพานางไปล้างตัว เจ้าชวนพระอาจารย์ทบทวนอาคมตาข่ายแก้วให้ทุกคนไปก่อน เราจะพานางไปเจอกันตอนท่านฉันเย็น บอกว่าเราพาวิลาสินีไปดูกวาง”
กฤตพรตในตอนนั้นกลัววิลาสินีจะถูกดุด่าที่สุด เพราะเรื่องแกล้งเจ้าฟ้าทั้งหลายนี้ สิทธิสวามินคาดโทษไว้หลายครั้งแล้ว แต่ทั้งบรรดาเจ้าชายและนางเองก็หาฟังไม่ ด้วยความเป็นเด็กนึกสนุกก็แหย่กันไม่เลิก วิลาสินีน้อยได้เรื่องเจ็บตัวคราวนี้พระฤๅษีคงจะตีซ้ำมากกว่า
รัชตะรับคำ รีบอ้อมไปด้านหน้าอาศรม แล้วกฤตพรตจึงรีบจับแขนวิลาสินีให้โอบไหล่ตนไว้ จากนั้นก็ช้อนอุ้มหลบเข้าพงไม้ลัดไปที่ลำธาร พอวางนางลงยืนเท้าแตะพื้นเท่านั้น ร่างเล็กก็เสียการทรงตัวหงายหลังทันที เจ้าชายหนุ่มสบถเบา ๆ ขณะถลารับไว้
“ยืนไม่ไหวหรือ กระดูกขาเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาไม่ทันได้ตรวจดูเพราะขานางอยู่ใต้ผ้านุ่ง จึงประคองนางลงนอนใหม่ วิลาสินีส่ายหัวแล้วก็ร้องเจ็บ พูดไม่เป็นภาษา
“อือ...โลกบุ๋น..หมุน...” นัยน์ตากลมสีเขียวมีแต่น้ำใส ๆ “หัว...อือ...อุ๊ก!!”
จู่ ๆ ร่างเล็กก็อาเจียนพรวดออกมา สำลักไอแทบจะหายใจไม่ออก ความเย็นจับขั้วหัวใจคนมอง เขาตรวจดูด้านหลังศีรษะของนางอีกครั้ง ไม่มีเลือดไหลแต่นางร้องทุกครั้งที่แตะโดน เขาพยายามถามให้นางตอบเป็นภาษา แต่ดูเหมือนนางจะสูญเสียการควบคุมการพูดจนตั้งประโยคไม่สำเร็จ กฤตพรตกัดฟัน กลัวและสังหรณ์ใจเกินกว่าจะเสี่ยงเสียเวลา เขาบอกให้นางไม่ต้องกลัว แล้ววางมนตร์ปิดเปลือกตาของนางให้หลับใหล
มือของเจ้าชายหนุ่มน้อยพลิกศีรษะของนางไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง รีบใช้น้ำรดผมที่มีแต่เศษใบไม้ติดจนนิ่ม แล้วดึงกริชออกมาโกนผมด้านหลังของนาง แลเห็นรอยเลือดคั่งและกะโหลกส่วนที่ร้าวยุบเป็นสีดำคล้ำ... สีประจำพระองค์ของพระกาฬผู้เรียกมนุษย์สู่ยมโลก
***
เสียงเจ้าปุณยทัตแห่งโภคะทูลรายงานต่อเจ้ารามราเมศถูกขัดด้วยเจ้าชายองค์อื่น ๆ ในที่ประชุมแสดงความเห็น กฤตพรตนั่งนิ่งฟังมาตั้งแต่เริ่ม แล้วก็พลันรู้สึกว่าภาพท้องพระโรงพร่ามัว บางอย่างขยับเคลื่อนอยู่ในอาณาเขตที่เขาปกปักรักษาไว้ ดุเดือดรุนแรงราวกับกระทำจากภายในม่านอาคมด้วยกัน
มีเสียงสวดแช่งอยู่ในสายลม ไม่หยุดหย่อนและมาจากที่ใกล้ คล้ายกับมีงูตัวหนึ่งพ่นพิษอยู่ใต้ชายคาบ้านของเขาเอง เลื้อยแอบอยู่ตามซอกมุมมืดมองไม่เห็นว่าอยู่ที่ไหน
“...!”
น้ำอุ่น ๆ ล้นรินออกมาจากหัวตา เจ้าชายหนุ่มเอียงหน้าหลบจากที่ประชุม มือแตะดูพบว่าเป็นโลหิตซึมออกมาจริง ๆ ร่างสูงทำมายาบังไว้และหยิบสุพรรณศรีสำหรับบ้วนล้างมารอง
เจ้ารามราเมศประทับอยู่บนบัลลังก์ ยกมือห้ามเจ้าชายจากนครพันธมิตรทั้งหลายที่ทุ่มเถียงด้วยต่างร้อนใจ สายข่าวว่าทัพญานปุตต์กำลังอ้อมไปตีเข้าทางหมู่เกาะทางบูรพทิศของฐิรังกาแทนที่จะเข้ามาต่อกรตรง ๆ อย่างคราวที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็ต้องการให้ฐิรังกาส่งทัพไปคุ้มครองประเทศของตนเองก่อน
“เราเกรงว่าในยามนี้ ฐิรังกาจะต้องขออภัยที่ไม่สามารถแบ่งทัพให้ท่านได้เท่ากัน” รามราเมศเอ่ยอย่างเสียใจ “โภคะเป็นมหานครแห่งการพานิชย์อันมั่งคั่ง ย่อมไม่อาจปล่อยให้ศัตรูตียึดไป เราจำต้องป้องกันก่อน ทุกประเทศในแถบนี้อาศัยเสบียงสินค้าจากโภคะร่วมกัน นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้”
“ทูลพระผู้ผ่านจักรวรรดิ แต่อารทราเป็นประเทศน้อยแรกนอกสุดที่จะโดนโจมตี” เจ้าชายทยุมันจากเกาะอารทราค้านด้วยสายตาวิงวอน “เมืองของกระหม่อมมีทหารแค่หยิบมือหนึ่ง ประชากรล้วนแต่คนแก่เฒ่า จะต้านทานราชนาวีญานปุตต์ได้ไฉน ขอพระผ่านฟ้าทรงพระเมตตา”
เจ้าปุณยทัตเม้มปาก “ดูก่อน พระราโชรสอารทรา โปรดอดโทษที่กล่าวหนักไปบ้าง เมืองของพระองค์งดงาม มีสายแร่อัญมณีมีค่า แต่ยามศึก อัญมณีถอยราคากว่าเหล็กและผลาหาร เราหวังว่าพระองค์จะเข้าพระทัย”
“พระราชบุตรอารทรา” เจ้ารัชตะแห่งฉัตรเสนรีบเอ่ยขึ้น “เมืองของเราสองอยู่ใกล้กันเพียงนี้ ฉัตรเสนจะแบ่งทัพไปช่วยพระองค์ อย่าได้น้อยพระทัยเลย เราเชื่อว่าทัพอารทราแม้หยิบมือเดียวก็ห้าวหาญ”
“ขอบพระทัย เป็นพระกรุณาอย่างยิ่งต่ออารทรา”
“พระอนุวงศ์ฉัตรเสน เรานึกว่าทัพของพระองค์มีกำลังไม่ถึงกึ่งอักเษาหิณี?” กฤตพรตว่าอย่างไม่แน่ใจ ลดความสนิทสนมลงมาขั้นหนึ่งกับรุ่นน้องศิษย์ร่วมอาจารย์ด้วยว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น รัชตะยิ้มให้
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง ฉัตรเสนมีกำลังกึ่งอักเษาหิณีพอดี แต่เมืองน้อย ๆ ก็ต้องช่วยกันเองไป ใครเลยจะหวังพึ่งแต่ฐิรังกาได้ทุกกรณี”
“หากว่ามรสุมหนักขึ้นเหมือนเช่นทุกปี คะเนว่าเจ้าญานปุตต์จะเสียกำลังพลไปอีกจากการเดินทัพอ้อมน่านน้ำ” สิงห์ศัตรุตจอมนาวีถูมือเข้าหากัน “ช่องเว้าของผาที่พระสมุทรสาปไว้มีแต่โขดหินโสโครก เราไม่เชื่อดอกว่าเจ้าญานปุตต์สามารถผ่านเข้ามาได้โดยสะดวกดาย ดังนั้นเจ้าอารทราอย่าได้ทรงปริวิตก” รัชตะเห็นดีเห็นงาม จึงขันอาสา
“เรากับพระราชบุตรอารทราจะนำทัพเรือออกไปยิงธนูไฟใส่เรือของเจ้าญานปุตต์เอง หากว่ากองเรือนั้นเข้ามาติดในแถบหินโสโครก”
กฤตพรตพยักหน้า “เป็นที่ชอบแล้ว ขอโภคะจัดหาไม้เหลาธนูให้ท่านในสองวันนี้”
ฝ่ายวิลาสินีพับเพียบรออยู่กับนางกำนัลและพระสนมกรมในของเจ้าชายแต่ละองค์ ที่ห้องรอเฝ้าซึ่งอยู่ติดกับท้องพระโรง นางได้นั่งบนแท่นตรงกลางกับพระชายาจากนครต่าง ๆ ส่วนนางกำนัลนั่งล้อมอยู่ด้านล่างที่พื้นพรมคอยปรนนิบัติพัดวี
แต่ละนางที่เจ้าชายทั้งหลายพามาเยือนฐิรังกาด้วยส่วนใหญ่เป็นชายาคู่คิดคู่ใจ พวกนางชวนวิลาสินีคุยถึงกิจการบ้านเมือง
“เป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ในทางเหนือของเมืองเราเกิดโรคระบาด” ชายาของเจ้าอารทรากล่าวอย่างหนักใจ นางมีอายุมากกว่าทยุมันเล็กน้อย แววตาอบอุ่นและรอบรู้ “มันคงจะมากับหน้าน้ำ พระสวามีของข้าจำเป็นต้องห้ามคนเดินทางติดต่อกับทางเหนือ ไม่ทราบว่าเคยได้ยินถึงโรคนี้หรือไม่ ผู้ป่วยอ่อนแรงตัวซีดเหลือง ขับอาเจียนออกมาเป็นโลหิต”
“เท่าที่ทราบ ยังไม่มีนะคะ” วิลาสินีส่ายหน้า พระชายาที่เหลือก็ส่ายหน้าเช่นเดียวกัน
“อนิจจา เราไม่พร้อมกับสงครามนี้เลย เจ้ารัชตะแห่งฉัตรเสนผู้ชำนาญวิชาก็เสด็จเยือนอารทราบ่อย ๆ เพื่อหาสาเหตุโรคร้าย แต่ก็ไม่พบ”
“ข้าจะทูลสมเด็จพี่ให้ทรงส่งฤๅษีจากโภคะไปปัดเป่า” เจ้าหญิงน้อยผิวขาวแก้มแดงยุ้ย ชายาของเจ้าปุณยทัตแห่งโภคะให้คำมั่น นางเพิ่งสมรสกับสวามีย้ายไปอยู่วังทองได้ไม่นาน ไม่บอกก็รู้ว่าชื่นชมความสามารถทางเวทวิทยาของเขาและนักสิทธิ์ในโภคะเป็นอย่างมาก “โรคระบาดน่ากลัวอย่างนั้น ถ้าลุกลามมาถึงเกาะอื่นคงจะแย่แน่”
นางกำนัลของวังหลวงเข้ามาแจ้งให้ทุกคนเตรียมพร้อมเมื่อการประชุมจบลง ข้าราชบริพารกำลังเก็บแผนที่และข้าวของอื่น ๆ เพื่อจัดตั้งสำรับพระกระยาหาร พระสนมเอกในเจ้ารามราเมศเป็นผู้นำขบวน วิลาสินีถูกเชิญไปยืนต่อจากนางและนางกำนัลส่งมาลัยดาวเรืองเส้นยาวให้สำหรับถวายสวามี
สักครู่หนึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ราชองครักษ์จึงเปิดประตูและรูดม่านให้ทุกนางเข้าไป ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงดนตรีและเครื่องหอมหญ้าฝรั่น เปลวประทีปหลวงสีนวลสว่างนิ่งในตะเกียงแก้ว เสาและเพดานแขวนสายมุกขาววิจิตรตระการตาตามแบบฉบับฐิรังกาที่ไม่เน้นสีสันฉูดฉาด เหล่าพระชายาและนางกำนัลขับลำนำขึ้นเป็นเพลงเชิญเสวย
“ประทีปเอยประทีปไฟ สว่างไสวขึ้นยามสายัณห์ย่ำ
ดุจดาวดินส่องแสงบุษราคัม หิ่งห้อยน้อยร่ายรำชมราตรี
บัดนี้หมู่ชายาอรทัย มาเข้าเฝ้าภูวนัยบทศรี
เชิญเสวยสำราญรื่นชื่นฤดี อวยชัยพระสวามีปิ่นหทัย
ประทีปเอยประทีปหล้า ราชบุตรจอมพาราเป็นใหญ่
น้องนี้เพียงหิ่งห้อยกลอยใจ เรียกราตรีเฝ้าไท้ให้เปรมปรีดิ์”
สุ้มเสียงหวานเสนาะคล้ายเป็นขบวนนางอัปสรค่อย ๆ ดำเนินไปตามทางกลางโถง ส่วนใหญ่เป็นนางกำนัลที่ฝึกฝนมาดีขับร้องนำ วิลาสินีได้เรียนมาแล้วแต่ก็ร้องไม่ใคร่เป็น ได้แต่คลอตามน้ำไป ด้วยความที่ไม่เคยเข้ามาในส่วนวังหลวงมาก่อน นางถึงกับลืมตัวยืนเงยหน้าชมท้องพระโรง รู้สึกขนลุกในความโอ่อ่ายิ่งใหญ่และกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ของมัน โชคดีที่นางต้องเดินก้าวสั้นประดุจนกเดินอย่างช้า ๆ อยู่แล้ว จึงไม่ทิ้งห่างแถวมากเกินไปจนเป็นที่สังเกต
เจ้ารามราเมศในฐานะรัชทายาทประทับบนพระแท่นตรงกลาง ใต้ราชบัลลังก์ที่ว่างเปล่าเพราะท้าวฐิรังกาทรงถือมานะและทรงระวังพระองค์ มิได้เสด็จออกร่วมเสวยกับราชวงศ์ต่างชาติ ถัดลงมาจากที่นั่งของรามราเมศก็เป็นที่นั่งของพี่น้องเขา กฤตพรตเบื้องขวาและสิงห์ศัตรุตเบื้องซ้าย ต่อจากนั้นไล่เรียงมาตลอดสองฝั่งคือพระแท่นเจ้าชายจากนครต่าง ๆ พวกเขาขับลำนำขานตอบตามธรรมเนียมในทำนองของบุรุษ
“หิ่งห้อยน้อยแสงใช่ว่า มิ่งมิตรชายา
แท้จริงจันทราอำไพ
สบแสงเนตรนางกลางใจ พี่นกเขาไฟ
เหินบินร่ำร้องชมเดือน
เชิญเถิดดวงโสมคล้อยเคลื่อน เลื่อนลอยลงเยือน
พำนักพักอ้อมอกพี่
เปรียบพระปารวตี สู่ตักสวามี
ศิวะผู้งูพันศอ
ครองตบะสันโดษรอ เพราะ ธ จักขอ
รักเดียวเพียงเจ้าแจ่มจันทร์
มาเถิดวิไลลาวัณย์ พี่จักรับขวัญ
สองแขนแทนเมฆห่มเดือน”
(นกเขาไฟ หรือ นกจโกระ เป็นนกในตำนานที่เชื่อว่ายังชีพอยู่ได้ด้วยแสงจันทร์ ใช้เปรียบกับชายที่รู้สึกว่าจะขาดใจตายหากไม่ได้เห็นแสงจากดวงหน้าหญิงคนรัก)
(เพลงอ้างถึง ตอนที่พระสตี ชายาของพระศิวะ ฆ่าตัวตายเพราะโกรธและทนไม่ได้ที่พระทักษะ บิดาของนาง ลบหลู่ดูหมิ่นพระศิวะ หลังจากนั้น พระศิวะบำเพ็ญพรตอยู่เป็นเวลานานไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีใด จนกระทั่งพระสตีมาเกิดใหม่ เป็นนางปารวตีหรือพระอุมา พระศิวะจึงแต่งงานกับนางอีกครั้ง)
ชายาของแต่ละองค์ทยอยเดินเข้าไปไหว้และนั่งกับสวามี บ้างจูบรับขวัญนางที่หน้าผาก บ้างก็รับไปนั่งแทบบาท แล้วแต่วัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ วิลาสินีเห็นรัชตะส่งยิ้มมาให้จึงยิ้มตอบด้วยไม่ได้เจอกันนาน แต่แท่นของรัชตะเป็นเพียงยศเจ้าอนุวงศ์ไม่ใช่เจ้าฟ้า จึงตั้งอยู่ห่างจากกฤตพรตมาก
“สมเด็จพี่!”
เจ้าหญิงน้อยแก้มแดงกระโจนเข้าไปนั่งตักกอดรอบพระศอเจ้าชายโภคะ พาให้มาลัยดาวเรืองคล้องรอบทั้งสอง เรียกเสียงสรวลจากพระองค์และคนรอบข้าง แท่นของกฤตพรตอยู่ถัดไปติด ๆ วิลาสินีไหว้แล้วเข้าไปถวายมาลัย จีบส่าหรีขึ้นนั่งอย่างเรียบร้อยงดงาม เรียกเสียงถอนใจชื่นชม
กฤตพรตวางมาลัยพาดลงกับหมอนข้างสั้น วิลาสินีมองหน้าชายหนุ่มแล้วก็ขมวดคิ้ว กระไอของโลหิตลอยอยู่ในมวลอากาศแถวนี้จาง ๆ หากว่าไม่นั่งเคียงใกล้คงจะไม่อาจสัมผัสได้ นางเลื่อนมือไปแตะแขนของเขา
“ฝ่าบาท...เจ้าพี่?”
แขนข้างนั้นกลับโอบรอบไหล่ของนางดึงเข้าไปหา ใบหน้าคมซบหันซบเข้าที่ไหล่ของนางดั่งว่าเป็นกิริยาแสดงความรักและนิ่งอยู่อย่างนั้น เสียงทุ้มกระซิบเบาแทบไม่ได้ยิน
“เมตตาเราเถิด ตอนนี้เราเกิดเจ็บปวดอย่างยิ่ง ตาเรามองกระไรไม่เห็นแล้ว”
วิลาสินีตกใจ มองรอบ ๆ เห็นเจ้าชายองค์อื่น ๆ ก็กำลังทักทายต้อนรับชายาของตน ไม่ได้สังเกตความผิดปกติอะไรทางนี้ อาจเป็นเพราะกฤตพรตทำมายาไว้ด้วย เจ้าหญิงน้อยที่อยู่แท่นข้าง ๆ ก็ส่งยิ้มล้อเลียนให้นางด้วยว่ากฤตพรตดูเหมือนกำลังจุมพิตใบหู นางหันไปทำปากยื่นใส่เจ้าปุณยทัตที่กำลังปลดมาลัยออก
“สมเด็จพี่ของน้อง ไม่ชอบดอกไม้หรือคะ”
ปุณยทัตชะงักมือน้อย ๆ ชูสายเหมมาลานั้นขึ้นมาดูและขมวดคิ้ว ครู่หนึ่งจึงว่า “เด็กน้อยของพี่ เจ้าไม่ได้ร้อยเองมิใช่หรือ”
“ก็ต้องนางกำนัลร้อยสิคะ”
มือใหญ่ปลดต่อแล้วม้วนเอาไปพาดหมอนไว้ตามที่ต้องการอย่างเดิม “งั้นจะคล้องแนบเนื้อพี่ไว้เพื่อการใด ล้วนแต่รอยมือข้าไท ชมดูสดชื่นก็พอแล้ว”
กฤตพรตที่ซุกอยู่กับไหล่มนถอนใจหนัก ๆ ครู่หนึ่งก็กลับมายืดกายนั่งตรงตามปกติ แต่แขนยังโอบอยู่ที่แผ่นหลังของหญิงสาวด้วยเหตุว่าวิลาสินียึดมือเขาไว้ นางบีบมือเขาเบา ๆ ให้ความมั่นใจ
“หม่อมฉันจะอยู่ตรงนี้เพคะ”
นัยน์ตาสีเขียวส่องมองไปฝั่งตรงข้าม เห็นแท่นของเจ้าสิงห์ศัตรุตมีนักสนมผิวเข้มดำอวบอัดน่าชมถึงสี่นางแล้วหน้าแดง สิงห์ศัตรุตยิ้มให้นางอย่างขี้เล่น ทำให้วิลาสินีหวนนึกถึงตอนเห็นเจ้าสามพี่น้องมาพิธีสยุมพรของนาง แล้วสิงห์ศัตรุตฉีกยิ้มแสร้งทำท่าคำนับเทพธิดาไม่มีผิด เจ้าชายองค์สุดท้องค้อมศีรษะน้อย ๆ
“ไม่ได้เจอกันนานเลย พระพี่นางยังงดงามเหมือนเก่า อยู่ในวังเจ้าพี่พรตแล้วชอบใจหรือเปล่า” สิงห์ศัตรุตถามไถ่อย่างเป็นกันเองเพราะอายุใกล้กับนาง เวลาเขายิ้มเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ “เจ้าพี่พรตน่ะชอบวางท่าดุ เข้มงวดไม่มีที่เปรียบ อย่าถือสาเลยนะพระพี่นาง”
วิลาสินีแย้มยิ้มให้ ตอบอย่างอ่อนหวาน “ขอบพระทัยเพคะ วังฐิรังการาวกับวิมาน และเจ้าพี่พรตก็ทรงดีกับหม่อมฉัน”
“โอ๊ย...” สิงห์ศัตรุตคราง ๆ เบา เบือนหน้าไปทางอื่น กอดเอวสนมนางหนึ่งของตนมาใกล้แล้วรัดแน่นอย่างหมั่นเขี้ยว “พระสมุทรทรงเมตตา ทำไมพระพี่นางแย้มพระสรวลสวยอย่างนี้ อย่าใช้ราชาศัพท์กันเลย พระพี่นางจะทำให้ข้าใจสั่น...สั่นเพราะกลัวเจ้าพี่พรตบั่นคอขาดน่ะนะ”
รามราเมศหัวเราะในคอ ส่ายหัวให้สาวน้อยที่มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ตน “เจ้าน้องรักร่วมท้องแม่เดียวกับข้ามันปากเปราะ เห็นดีแต่เล่าเรื่องชวนหัวกับพวกทหารจนติดสันดานไพร่ ไม่ก็เย้าแหย่ดรุณี ขออย่าได้ถือสาใส่ใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก สนุกดีเพคะ หม่อมฉันชอบ” ข้อนี้นางพูดจากใจจริง ๆ กับสิงห์ศัตรุตนางไม่กลัวหรือเกร็งแม้แต่นิด สิงห์ศัตรุตหัวเราะชอบใจ
“ใช่ไหมล่ะพระพี่นาง เจ้าพี่รามก็ว่าเกินไป ปากข้าทำอย่างอื่นเก่งอีกตั้งเยอะนา...” เจ้าชายองค์เล็กทำยักคิ้วหลิ่วตา ก่อนจะทำท่าสะดุ้งหงายหลังแบบเกินจริง เอามือกุมคอเมื่อกฤตพรตยกนิ้วแบบสัญญาณเวลาสั่งเพชฌฆาตลงดาบประหาร“กลัวแล้ว กลัวแล้วจ้า! ข้าล้อเล่น ปากข้าก็ต้องเก่งเรื่องกินกับเรื่องร้องเพลงรักน่ะซี จะไปเก่งอะไรได้ อูย เสียวคอแว้บ ๆ”
สำรับพระกระยาหารลำเลียงมาในถาดโดยนางกำนัล ฝูงนางรำในชุดดำสวมผ้าคลุมผมปักเลื่อมยาวพลิ้วเรียงแถวตามมา กำไลข้อมือข้อเท้าดังกรุ๊งกริ๊งสนุกสนาน แต่ละนางบิดกายส่ายสะโพกอวดลายเขียนสีน้ำตาลรูปดอกบัวที่หน้าท้อง หมุดพลอยที่สะดือเหมือนเม็ดบัวในฝักฉะนั้น แขนขาแข็งแรงคล่องแคล่วราวกับเนื้อทรายขยับเป็นจังหวะเดียวกัน เรียกให้เจ้าชายทั้งหลายปรบมือ
วิลาสินีมองสำรับตรงหน้า อาหารที่จัดมาแหมือนของเมื่อวานที่กฤตพรตสั่งนางกำนัลทำมาให้ซ้อมไม่มีผิดจริง ๆ นางเหลือบมองร่างสูงที่เงียบผิดปกติในคืนนี้ รู้ว่าเขาเจ็บและมองไม่เห็นก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่นางเป็นต้นเหตุเรื่องดวงตา เหลือที่นางจะชมระบำสนุกสนานได้ เสียงแหลมจึงเสนอว่า
“เจ้าพี่ ให้หม่อมฉันป้อนเสวยนะเพคะ”
กฤตพรตขยับตัวเล็กน้อย เนตรนิลที่เป็นมายานั้นหันมาหาหญิงสาว แต่ก็สบตาไม่ตรงกับนาง เขามองไม่เห็นจริง ๆ “เจ้าแน่ใจหรือ”
“เพคะ” ไม่ว่าเปล่า มือเรียวจัดการวางเนื้อลงห่อแป้งทำคำแรกมงคลเรียบร้อย เจ้าชายหนุ่มอ้าปากไม่ทันได้พูดนางก็ป้อนให้เสร็จสรรพ กฤตพรตดูจะตกใจนิดหน่อยแต่ก็เคี้ยวกลืนโดยดี
“ขอบใจ” เสียงทุ้มนุ่มนวลยิ่งจนวิลาสินีไม่รู้ว่าเป็นความซึ้งใจจริงหรือความสุภาพของชาววัง ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ชิดใกล้ขยับยิ้ม “เจ้าต้องชอบแน่เลย แม่ครัวแก้ตัวมาแล้ว”
“เอ๋ จริงหรือเปล่าเพคะ” วิลาสินีรีบลองบ้าง จากนั้นก็สูดปาก รีบปิดปากกลั้นเสียงไว้ “แหม ขอบพระทัยเพคะ เผ็ดถึงใจ... เจ้าพี่จะเสวยพระสุธารสชาก็บอกนะเพคะ”
“อา ผู้ใดจะปล่อยให้พระผู้สืบเชื้ออัศวินเสวยพระสุธารสชาในค่ำคืนเช่นนี้” เจ้าปุณยทัตตรัสยิ้ม ๆ กอดเจ้าหญิงน้อยของตนนั่งซ้อนไว้บนตัก “พระวรชายาฐิรังกา น้ำจัณฑ์ที่นี่เลิศรส เราหวังใจว่าจะได้ร่วมดื่มกับพระสวามีของพระนาง”
“อ้อ ยินดีเพคะ” หญิงสาวรีบหยิบคนโทสุรารินลงจอกเงินให้กฤตพรต จากนั้นรินอีกจอกให้นางกำนัลที่หมอบเฝ้าพัดวีนำไปถวายแขกเมืองผู้แจ่มใสเป็นการให้เกียรติ เจ้าโภคะดูจะถนอมรักใคร่ชายาของตนเป็นอย่างยิ่ง วิลาสินีมองแล้วยิ้มน้อย ๆ คิดว่าโชคดีแล้วที่นางไม่ได้เป็นของเขาในพิธีสยุมพร มิเช่นนั้นเจ้าชายหนุ่มคงจะพลาดเนื้อคู่ตัวน้อยนี้ไป
หรือบางที...นางก็ไม่รู้หรอกว่าวิถีของชะตาเป็นเช่นไร คนทุกคนหากใช้ความเข้าใจอดทนและปรารถนาดี ก็อาจเป็นเนื้อคู่กันหมดหรือไม่ ในเมื่อล้วนเคยได้วนเวียนเกิดตายครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นพ่อแม่พี่น้องผัวเมียกันมาแล้วทั้งสิ้นไม่รู้กี่ภพชาติ ตั้งแต่พระพรหมทรงสร้างโลกขึ้นมา
วิลาสินีไม่ใช่หญิงที่ชอบเพ้อฝันถึงสวามีที่ร่วมบุพเพสันนิวาสกันมาเจ็ดชาติ ต้องเป็นคนคนนี้คนเดียวเท่านั้น ไม่เลย นางถูกเลี้ยงมาเป็นคนยึดติดกับความเป็นจริงและสถานการณ์เฉพาะหน้า นางเป็นบุตรีฤๅษี เรื่องตามหารักแท้ไม่เคยเป็นจุดหมายชีวิตของนาง
เนตรเขียวอมเทาคู่งามเลื่อนจากเจ้าโภคะกับชายามาวางสายตาที่กฤตพรต เสี้ยวหน้าคมเข้มด้านที่นางเห็นต้องแสงสว่าง งามสง่าไร้ที่ติอย่างภาพมายา มือเล็กอดไม่ได้เลื่อนขึ้นไปแตะที่ข้างแก้มและจอนผมดำสนิท สัมผัสที่ปลายนิ้วของนางชื้นเหงื่อ ร้อนเหมือนจับไข้ แม้ว่าภาพที่เห็นจะไม่มีเสโทแม้สักหยดเดียว
บางทีนางคงจะเลือกได้เหมาะสมที่สุดแล้วในพิธีสยุมพรวันนั้น... เจ้าฐิรังกาผู้อุทิศตนให้กับการปกป้องดูแลอาณาจักรและไม่สนใจตามหาอิสตรีในอุดมคติ ไม่เพ้อฝันถึงรักแท้เหมือนกัน เป็นบุรุษที่ทะนงศักดิ์ศรีเกินกว่าจะโอดครวญกระทำสำออย
ไม่ชอบเปิดเผยและแบ่งความทุกข์ให้คนอื่นมาร่วมแบกรับ ดังนั้นจึงมีคนรักไม่เป็น
กฤตพรตขยับหันหนีมือของนางนิดหนึ่งพอให้ไม่แตะตัว วางจอกเมรัยแล้วทำมือห้ามไม่ให้นางป้อนต่ออีก หญิงสาวลอบถอนหายใจเฮือก
“เมื่อไรจะลากลับได้เพคะ” วิลาสินีกระซิบอย่างเป็นห่วง จะกินเองเสียก็ไม่ค่อยมีใจ ลูบไหล่เจ้าชายหนุ่มไปมา “ฝ่าบาททรงทนไหวไหม”
“กินเสร็จเราก็จะลากลับแล้ว คร้านจะอยู่หย่อนใจด้วย” กฤตพรตพึมพำ แก้วตาเห็นแต่แสงแวมวาวและสีต่าง ๆ บิดเบลอ เสียงสวด เสียงอาฆาตในสายลมหลั่งไหลเข้ามาดั่งว่าจะกลบจักษุภาพจนกว่าจะบอด มันไม่มุทะลุแทงเข้าที่หว่างคิ้วอย่างที่ผ่านมา แต่ค่อย ๆ ท่วมไหลเข้าทางปากหูจมูก เข้ามาจากช่องหายใจทีละน้อยจนเขาไม่รู้จะสกัดกั้นอย่างไร ราวกับมันผสมอยู่ในมวลอากาศ ฤทธิ์ร้ายเลื้อยลงไปกำก้อนเนื้อในทรวงอกและข่วนในช่องท้องจนเขาเริ่มคลื่นไส้อ่อน ๆ ผิวกายจับไข้ “ปรานีเราเถิด เจ้ากินส่วนของเราแทนจะได้ไม่เหลือพูนจาน”
เมื่อเข้าทุติยยาม (ช่วงเวลา ๒๒.๐๐-๒.๐๐ นาฬิกา) เครื่องเสวยก็ถูกเก็บไปในที่สุด และเจ้ารามราเมศเชื้อเชิญทุกคนไปผ่อนคลายอิริยาบถในอุทยานหลวง ทางวังตระเตรียมเบาะไว้ ให้เหล่าเจ้าชายชมจันทร์และเล่นหมากเล่นกีฬาเบาต่าง ๆ เป็นที่สำราญ วิลาสินีเกาะเอวกึ่ง ๆ จะพยุงกฤตพรตไว้แจ ในใจเตรียมพร้อมเผื่ออีกฝ่ายล้มพับไป ทักทายแขกบ้านแขกเมืองและพยายามจะขอตัว แต่เจ้าชายจากนครต่าง ๆ ก็อยากประลองหมากกับกฤตพรต
เจ้าชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว “ขออภัยด้วย เราไม่อาจแยกหมากของตัวเองออกจากของผู้อื่นแล้วในยามนี้”
“ใช่เพคะ ทรงเมาแอ๋แล้วเนี่ย” วิลาสินีออกเสียงยืนยันจากใต้วงแขนร่างสูง เหล่านโรดมแห่งแว่นแคว้นทั้งหลายสรวลเส
รัชตะก้าวเข้ามาหานาง “แต่พระเทวีคงจะทรงครองสติครบถ้วนอยู่ ขอทรงกรุณาเล่นปารจีสิกับกระหม่อมเป็นขวัญราตรีนี้” หญิงสาวสั่นหัวดิก รัชตะดูจะเข้าใจว่านางเล่นหมากไม่เก่งจึงรีบแก้ว่า “หรือไม่ เล่นตีคลีไฟกันก็น่าจะสนุกดี ใต้แสงจันทร์เช่นนี้คงจะสวยน่าดูนัก”
(เกมปารจีสิ คือ หมากยี่สิบห้า เล่นกัน ๔ คน บนกระดานรูปกากบาทเย็บจากแถบผ้าหลายสีเป็นช่องๆ ผู้เล่นทอดสกาทีละ ๒ ลูก แข่งกันนำหมาก ๔ ตัวของตนเองเดินออกจากช่องกลางกากบาท โดยวางแผนแบ่งแต้มสกาต่อหมากแต่ละตัว หากเดินหมากวนไปรอบกระดานตามเส้นทางแล้วกลับมายังจุดเริ่มต้นครบทุกตัวได้เป็นคนแรกก็จะชนะ)
(คลี คือ ลูกบอลกลมทำด้วยไม้ ใช้เล่นกีฬาและประกอบการรำบูชาเทพเจ้า)
เจ้าชายหลายองค์ร้องสนับสนุน วิลาสินีฟังแล้วตื่นเต้นสงสัยด้วยเคยเห็นแต่คนขี่ม้าตีคลี ถามรัชตะเบา ๆ ว่า “คลีไฟเป็นยังไงเพคะ เล่นคลีไม่ต้องขี่ม้าหรือ”
“ไม่หรอก เทวี ลูกคลีเล่นได้หลายอย่าง” เจ้าชายฉัตรเสนอธิบายด้วยความเอ็นดู “นี่อย่างง่าย แค่เล่นตีคลีด้วยไม้ให้เข้าประตูเท่านั้น กีฬาของเด็ก เพียงแต่คลีไฟนั้นใช้ลูกคลีทองหลางจุดไฟไว้ ยามกลิ้งไปในความมืดเห็นเป็นลูกไฟแดงเหมือนดาวหาง”
“โห...” วิลาสินีไม่เคยได้ยินมาก่อนจริง ๆ รัชตะยิ้มตาปิด
“เสด็จมาเล่นด้วยกันสิ กระหม่อมจะทำให้ดู”
“ขอบพระทัยเพคะ แต่ไว้โอกาสอื่นดีกว่า หม่อมฉันควรพาเจ้าพี่กลับไปบรรทมแล้ว”
ทั้งสองขอตัวออกมาได้ก็ตรงไปขึ้นวอสุวรรณกลับตำหนักทันที รัชตะ สิงห์ศัตรุต และเจ้าชายอีกสองสามคนออกมายืนส่ง วิลาสินีสะบัดส่าหรีและค้อมศีรษะงดงาม แขนของนางเกาะเกี่ยวกับแขนรุมไข้ของกฤตพรตไม่ปล่อย ก่อนจะดึงปมเชือกผ้าม่านเพื่อรูดปิด
ศีรษะหนัก ๆ ชื้นเหงื่อของชายหนุ่มเอนซบลงมาที่ไหล่ วิลาสินีพยายามประคองไว้ ลมหายใจเร็วทั้งเบาและตื้นรดซอกคอของนาง จากนั้นร่างสูงก็พิงมาทั้งตัวเมื่อหมดสติไป
***
ร่มป่าประดู่รกชัฏดูเป็นสีดำน่ากลัว ตัดกับสีท้องฟ้าโพล้เพล้ ช่างชอบกล... กฤตพรตไม่คิดว่าเคยเห็นใบประดู่เป็นสีดำทมิฬเช่นนี้ ช่อดอกเหลืองทองอย่างพวงหางกระรอกก็ไม่มีให้เห็นแม้แต่ช่อเดียว
ประดู่สีดำประดุจรูปปั้นเหล็ก... ใช่ประดู่หรือ...
เจ้าฐิรังกาลำดับหนึ่งค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นอนราบอยู่กับพื้นดิน รู้สึกมึน ๆ ลอย ๆ คล้ายกับคนเพิ่งสร่างพิษสุรา
เขาดื่มไปมากเท่าไรนะ ได้ดื่มที่ไหนเมื่อไรกัน ดูเหมือนวิลาสินีรินเหล้าส่งให้เขาถือไว้เมื่อวินาทีที่แล้วเท่านั้น แต่เขานึกภาพเหตุการณ์ไม่ออก เหตุใดนางจึงต้องส่งให้เขาด้วย เขาไม่เคยชอบให้นางรินเครื่องดื่มให้เลย มือนั้นรินให้แล้วเขาจะปฏิเสธกระไรได้ นอกจากดื่มกินจนสิ้นต่อให้มันเจือยาพิษไว้...
กฤตพรตกะพริบตาส่ายหัวเบา ๆ อย่างสับสน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เจ็บตาอีกแล้ว มองเห็นทุกอย่างได้เป็นปกติ
ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น สัมผัสธุลีดินกลับพบว่าเป็นเม็ดผงนิ่มมือสีเทาอบอุ่น มิใช่ทราย ทว่าเป็นขี้เถ้า... ผืนพนาวันทั้งหมดปกคลุมด้วยเถ้าถ่านราวกับมาจากเชิงตะกอนทุกวิหารไหลเทรวมกัน ทุกสิ่งนิ่งและเงียบ ไม่มีสายลม ไม่มีเสียงสัตว์ ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวทั้งนั้น สิ่งที่เห็นทั้งหมดค่อย ๆ เรียกสติเจ้าชายหนุ่มคืนมา เขายืนขึ้นมองไปรอบ ๆ ที่นี่ไม่ใช่ป่าประดู่ ไม่ใช่ที่ใดเลยบนโลกที่เขารู้จัก
นภาฉาบสีผีตากผ้าอ้อมไม่ขยับเขยื้อน กลุ่มเมฆหยุดค้างเสมือนแขวนไว้ มวลอากาศไร้ซึ่งกาลเวลา
เนตรนิลคมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย หากจะว่ากันตามตรง ดูแล้วอาณาจักรแห่งเถ้ากระดูกใต้ฟ้าสนธยานี้เกรงว่าจะเป็น...
“เจ็บ...ฮึก..ฝ่าบาท...”
เสียงร้องไห้แว่วมาทำให้หัวใจกระตุก กฤตพรตหันไปตามทิศเสียงทันที เขารู้จักเสียงนี้ ก้อนสะอื้นแต่ละครั้งดุจจะกรีดลงในทรวงเขาก็มิปาน สดับสำเนียงเรียกหาเหมือนฉุดดึงภูษาทรงของเขาตามเสียงไปด้วย
ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปในร่มไม้ พบร่างเล็ก ๆ ของเด็กหญิงขดพิงกับรากไม้ใหญ่ กำลังขยี้ตาร้องไห้ ฝ่าเท้าของนางเปื้อนดินและน้ำ เนื้อตัวมอมแมมเป็นริ้วรอยกิ่งไม้เกี่ยว และมีเศษใบไม้แทรกในเรือนผม
กฤตพรตคิดว่ารู้ตั้งแต่นางยังไม่หันหน้ามา เผยนัยน์ตาสีเขียวอมเทาชุ่มน้ำคู่งามนั้นให้สบ
“วิลาสินี?”
เจ้าของชื่อตัวน้อยแปลกใจ หยุดสะอื้นไปชั่วขณะพลางมองร่างสูงโปร่งในเครื่องทรงกษัตริย์ขึ้น ๆ ลง ๆ จากนั้นก็เบะปากร้องไห้อีกรอบเมื่อความเจ็บปวดระลอกใหม่กระแทกเข้ามาที่ด้านหลังศีรษะ สถานการณ์ทุกอย่างดูคลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างไรบอกไม่ถูก เหมือนเขาย้อนกลับไปในวันแห่งโชคชะตา ที่วิลาสินีวัยแปดขวบพลัดตกจากหลังคาอาศรมและเกือบจะคร่าชีวิตตนไป
“ฮือ... ฝ่าบาทกฤตพรต...ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน”
กฤตพรตย่อกายชันเข่าลงไปอยู่ข้างนางไวดังใจคิด เอื้อมมือไปโอบอุ้มวิลาสินีน้อยมาใส่ตักไว้เพื่อปลอบโยน นางไม่ใคร่สนใจแล้วว่าใครจะจับจะอุ้ม กุมหัวตัวเองร้องไห้ท่าเดียว
กฤตพรตกอดนางไว้และใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาที่ร่วงเผาะ ๆ มือใหญ่คลำตรวจดูที่หลังศีรษะของนางผ่านกลุ่มผมดำอย่างคนร่ำเรียนวิชาแพทย์มาหลายปีแล้ว เขาไม่พบบาดแผลอะไร อันที่จริง เขาแทบไม่รู้สึกถึงชีวะในร่างน้อยนี่
“วิลาสินี ไม่ต้องร้อง” เสียงทุ้มแผ่วเบาขณะก้มไปจูบหน้าผากของเด็กน้อย ในยามนี้เขาเกิดความรู้สึกท่วมท้นประหลาด ปรารถนาจะกอดนางไว้แน่นแนบอกเหมือนคนได้กลับมาเจอผู้ที่ตนเฝ้ารอจะพบหน้าแสนนาน อยากจะกอดไว้ไม่ปล่อยเลย “ตาช้ำหมดแล้ว หยุดน้ำตาเถิด”
ยิ่งมีคนโอ๋ สาวน้อยยิ่งบีบน้ำตา ร้องถามเสียงสั่น “ฝ่าบาทกฤตพรตอยู่ไหน... ฝ่าบาท...”
“อยู่นี่อย่างไรเล่า” เขาตอบนางอ่อนโยนอย่างเสียงที่ใช้เจรจากับเด็กเล็ก ๆ แต่ดูเหมือนนางไม่เข้าใจ ทุบอกเขาทีหนึ่ง
“ฮือ! ข้าจะหาฝ่าบาท”
“เรียกหาไปไย กฤตพรตผู้นี้อยู่กับเจ้า กอดเจ้าอยู่นี่แล้ว”
“ไม่จริง ไหนล่ะฝ่าบาทกฤตพรต ไม่เห็นจะมี!” นางกลับตะเบ็งว่า มองพี่ชายแปลกหน้าใจดีที่เลิกคิ้วน้อย ๆ แต่ก็นิ่งรับฟัง นางจึงเล่าฟ้องเป็นการใหญ่ “อึ๊ก...ฝ่าบาทพาข้ามาที่ลำธารแล้วก็บอกให้ไม่ต้องกลัว บอกให้ข้าหลับ พอข้าตื่นมา..ฮึก...ฝ่าบาทก็หายไป! ลำธารก็หาย พวกกวางก็หาย! ข้าเดินยังไงก็กลับไปหาทุกคนไม่เจอแล้ว...ฮือ...ฝ่าบาทพระทัยร้าย ฝ่าบาททรงหลอกข้า… ฝ่าบาททรงทำให้ข้าหลับแล้วก็แกล้งเอาข้ามาทิ้งไว้ให้เสือกิน! ข้าไม่สนุกด้วยแล้ว ข้ามึนหัวด้วย!”
คำพูดของนางกลับทำให้เขาขนลุกขึ้นมา ประกอบกับสิ่งที่สัมผัสได้ผ่านฝ่ามือ ร่างของเด็กหญิงช่างบอบบางนัก แต่ช่างว่างเปล่า พลังงานที่ไหลอยู่ในร่างของนางคล้ายเป็นเพียงชิ้นส่วนเปื้อนเลือดที่ถูกฉีกเฉือนมาจากบางสิ่งที่ใหญ่กว่า หลงหายมาซ่อนอยู่ในป่าอาถรรพ์ของพระกาฬ สถานที่คั่นระหว่างดินแดนคนเป็นและคนตาย
“กฤตพรตทิ้งเจ้าไว้เมื่อไร ทำไม”
ร่างสูงถามเสียงเครียด ข้างลำธารงั้นหรือ... แต่ในวันนั้น เขาโกนผมนางออกแล้วพยายามเยียวยาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ก็มีวิทยาธรในป่าออกมาช่วย หากมีแต่เขาในวัยเด็กคนเดียวก็ไม่อาจจะยื้อชีวิตวิลาสินีไว้ได้หรอก แล้วเย็นวันนั้นนางก็ฟื้นขึ้นวิ่งเล่นจำนรรจาเป็นปกติแล้ว จะเกิดมีวิลาสินีน้อยมาถูกทิ้งลืมได้ฉันใด
อีกประการหนึ่ง แผ่นดินของพระกาฬดำรงอยู่ ณ จุดใดของเส้นกาลเวลากัน เขาจึงมาเจอนางในอดีตตรงนี้ได้ เจ้าชายหนุ่มพยายามนึกคิดดี ๆ แต่ก็พบว่าเขาจำไม่ได้แม้แต่เหตุการณ์สุดท้ายก่อนจะมาโผล่ในป่า
“ฝ่าบาททรงอุ้มข้ามา หลังจากข้าตกจากหลังคาอาศรมท่านพ่อ” น้ำใส ๆ ไหลลงมาอีกหน “ฝ่าบาททรงทิ้งข้า ฝ่าบาทโปรดที่จะแกล้งข้าตลอด ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร”
“เขาไม่แกล้งเจ้าในเรื่องเช่นนี้ และเขาไม่เคยทิ้งเจ้า ไม่เคยแม้แต่จะคิด”
“จริงหรือ พี่รู้ได้ไง”
“...ไม่ลองเดาดูหรือ” กฤตพรตค่อย ๆ อุ้มนางยืนขึ้น มองดูทางปูขี้เถ้าในพงพนัสสีดำซ้ายขวา ป่านี้ตามตำนานควรจะเชื่อมกับโลกของคนเป็นที่ไหลทะยานไปในกาลเวลาฝั่งหนึ่ง และเชื่อมกับภพภูมิยมโลกที่กาลเวลาอืดเอื่อยอีกฝั่งหนึ่ง “เจ้าเดินมาจากทางใด”
“นู่น” ท่อนแขนเล็ก ๆ มอมแมมของนางโอบมาเกาะไหล่และคอเขาอัตโนมัติ แล้วก็ชี้นิ้วไป นางเบ้หน้าเจ็บอีกเพราะกดทับสังวาลและเครื่องทรงกษัตริย์เต็มยศที่เขาใส่ในงานประชุมที่ท้องพระโรง เห็นเช่นนั้นเจ้าชายหนุ่มจึงรับช้อนนางไว้ด้วยมือเดียว แล้วใช้มืออีกข้างรีบถอดเครื่องประดับออกวางทิ้งไว้กับพื้น สาวน้อยที่กำลังร้องไห้กลับหยุดกึก ทำตาโต “โอ้โห... ทองกับไข่มุกทั้งนั้นเลย ไม่เป็นไรหรือ”
“ช่างมันเถิด”
“ช่างมัน? จะทิ้งเลยหรือ จริงน่ะ พี่รวยหรือ! ...แล้วนี่พี่จะอุ้มข้าไปไหน”
ร่างสูงกระตุกยิ้มบาง หยิบเศษใบไม้ของจากเส้นผมของนาง “แม่เสียงเจื้อย เราจะพาเจ้ากลับไปหากฤตพรต”
***
“ฝ่าบาทเพคะ...ฝ่าบาท!”
วิลาสินีทั้งเรียกทั้งเขย่า ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าให้กฤตพรตฟื้น ทว่าเจ้าชายหนุ่มไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย เขาหมดสติไปตั้งแต่อยู่บนวอจนกระทั่งมาถึงตำหนักแล้ว วิลาสินีต้องเรียกองครักษ์มาช่วยพยุงไปนอนที่ห้องบรรทม นางกำนัลวิ่งหาหยูกยาสมุนไพรลดไข้มาต้มเคี่ยวกันวุ่นวาย ขณะที่องครักษ์ไปแจ้งหมอหลวง
ผิวกายสีเข้มร้อนเป็นไฟเริ่มขึ้นลายเป็นริ้ว ๆ คล้ายรอยเฆี่ยนอย่างน่ากลัว เนื้อไหม้เป็นทางยาวไล่จากแผ่นหลังและสะบักลามมายังต้นแขนประดุจลายพาดกลอนเสือโคร่ง วิลาสินีตัวสั่นเมื่อถอดเครื่องทรงของกฤตพรตออกเห็นลวดลายทั้งหมดชัด ๆ และตระหนักว่ามันคือผลจากเวทศารทูล มนตร์สาบเสือพยายามสำแดงฤทธิ์รบรันกับศัตรูที่พยายามเจาะเข้ามาในม่านเวทอย่างเต็มที่แม้ว่ากำลังจะพ่ายแพ้
ไม่มีใครเข้ามาได้ จนกว่าเจ้าเสือจะตายลง
ข้ามศพพยัคฆ์เท่านั้นจึงจะเข้าถ้ำของมันได้ ดังนั้นจะเสียเวลาโจมตีถ้ำไปไย ออกล่าเจ้าเสือให้เจอแล้วมุ่งประหัตประหารมันดีกว่า ศัตรูผู้ปะทะกับเวทศารทูลล้วนแต่จะยิงศรสาปแช่งมายังเจ้าของอาคมทันทีที่หาเจอ
ลมหายใจของกฤตพรตแผ่วตื้น เหงื่อผุดพรายบนหน้าผากและเหนือปากซีดอย่างทรมาน ภาพมายาที่สร้างไว้หายวับไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะของเขา แลเห็นตาซ้ายที่ปิดสนิทเป็นสีคล้ำแดง
วิลาสินีเม้มปากขณะซับเหงื่อและเช็ดตัวให้เจ้าฐิรังกาอยู่ข้างเตียง หวั่นใจว่าคราวนี้หนักหนากว่าทุก ๆ ครั้ง มันไม่ใช่อาการป่วยแต่เป็นการถูกทำร้ายทางเวท นางเรียกองครักษ์มาหา
“ไม่ต้องตามหมอหลวงแล้วค่ะ ตามพระฤๅษีมาดีกว่า”
คนรับบัญชาดูลำบากใจ ถวายบังคมว่า
“ทูลพระวรชายา ดาบสทั้งหลายรักษาการณ์อยู่ที่วิหารหลวงยามนี้ กำลังกระทำยัญพิธีใหญ่ กระหม่อมเกรงว่าจะไม่รับนิมนต์ยกเว้นเวลาฉันเช้าพะย่ะค่ะ”
วิลาสินีหัวใจเต้นรัว จริงดังว่า ยามสงครามพวกฤๅษีไปรวมตัวกันทำพิธีเพื่อรักษาพระนคร แต่รอจนวันพรุ่งนี้เช้าไม่ไหวหรอก “เช่นนั้นนักสิทธิ์คนใดก็ได้ค่ะ นี่เกี่ยวกับพระชนม์ชีพของฝ่าบาท เวทศารทูลอันตรายมากนะคะ แก้ไม่ได้ง่าย ๆ นอกจาก...” เสียงแหลมของสาวน้อยชะงักกึ้กเมื่อนึกขึ้นได้ ราชองครักษ์ที่กราบบังคมรอเงยหน้าเล็กน้อย
“นอกจากอะไรพะย่ะค่ะ”
เวทศารทูลถูกทำลายได้โดยวิธีเดียว คือการเสพเมถุน
ร่างเพรียวสั่นน้อย ๆ อยากจะตบหัวตัวเองอยู่ในใจ ต่อให้อัญเชิญสิทธิสวามินบิดานาง ฤๅษีป่าประดู่ผู้ยิ่งยงที่สุดในฐิรังกามาก็แก้อาคมชนิดนี้ไม่ได้หรอก จะต้องเป็นสตรีมาร่วมสังวาสกับเจ้ากฤตพรตให้เสียตบะไปเท่านั้น ทั้งอาคมที่ปกปักเกาะฐิรังกาและผลสะท้อนที่ทำร้ายเจ้าชายหนุ่มก็จะมลายไปพร้อมกัน
“ไม่มีอะไรค่ะ... ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องตามแล้ว”
องครักษ์ทูลลาขณะที่วิลาสินีค่อย ๆ ทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ข้างเตียงใหญ่ กุมมือชายหนุ่มมาเช็ดตามท่อนแขนร้อนขณะที่ความคิดวิ่งวุ่น พิษอาคมอริราชศัตรูแข็งแกร่งจนนางสัมผัสได้ผ่านฝ่ามือ แทบจะได้กลิ่นอายของมันในอากาศที่หายใจ แต่กฤตพรตคงจะไม่มีทางยอมแพ้ จะสู้จนกว่าลมหายใจสุดท้ายและให้มันข้ามศพเขาไปเท่านั้น ไม่ใช่ยอมเอาตัวรอดและยอมแพ้ไปเลยโดยการเสพสมกามรส เนตรเขียวส่องมองใบหน้าคมคายที่ขมวดคิ้ว เหงื่อกาฬแตกพลั่กเหมือนติดอยู่ในฝันสยองขณะที่เริ่มอ้าปากหายใจ เขาไม่มีสติอยู่ก็จริงแต่นางรู้ว่าเขาจะต้องคิดแบบนี้แน่ ๆ
“แต่จะมีประโยชน์อันใดเพคะ ในเมื่อพอฝ่าบาททรงพ่ายแพ้และสิ้นพระชนม์ ศัตรูก็เข้ามาได้อยู่ดี” วิลาสินีเอ่ย รู้สึกเหมือนมีก้อนมาจุกที่คอ “หรือฝ่าบาทดำริว่าจะทรงกำชัยแน่ ๆ เสมอไป แต่ที่หม่อมฉันเห็นตอนนี้น่ะ มันไม่...” หญิงสาวไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่อยากจะกล่าวแช่งเขาแม้สักคำ เพราะที่เป็นอยู่นี้ก็หนักหนาอยู่แล้ว นางอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
ลายเสือลามไหม้มาจนถึงข้อมือที่นางจับอยู่ ชีพจรใต้ผิวเข้มเต้นไม่เป็นจังหวะ วิลาสินีกำมือเขาแน่น คิดสะระตะแล้วว่ารอต่อไปไม่ได้ จึงตัดสินใจเรียกนางกำนัลที่หมอบเฝ้าอยู่หน้าห้องเข้ามา
“ช่วยไปเชิญพระสนมเอกมาบัดนี้”