บทที่ 9 เหตุแห่งรอยแผล
มือบอบบางประดับแหวนคล้องโซ่เชื่อมไปยังกำไลยกขึ้นพนมไว้กับอก ไฟตะเกียงนวลวูบไหวทั้งที่ห้องปิดสนิทไม่มีลมพัดเข้า ปากของนางพร่ำสวดแช่งเป็นคาถาที่ไร้เสียง ทว่าวางอำนาจ เกรี้ยวกราด โหมกระหน่ำ และหวดตี ถ้อยคำวนซ้ำไปซ้ำมาติดกันเรื่อยไปไม่มีหยุดหย่อนราวกับก่อตัวเป็นพายุหมุน
บุรุษหนุ่มผู้คาดผ้าโพกผมยืนกอดอกพิงประตูห้องอยู่อย่างพึงใจ มองดูแผ่นหลังผอมบางของนางน่าทะนุถนอมราวกับประติมากรรมแก้วใส แต่สัมผัสจิตอาฆาตหึงหวงของนางรุนแรงเหมือนเป็นสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่มีพละกำลังมาก โผนโจนทะยานไปรอบ ๆ ห้องและคำรามกึกก้องในรูปกลุ่มเงาสีดำ พร้อมจะใช้กรงเล็บและคมเขี้ยวพิษของมันขย้ำชำแหละเหยื่อเป็นร้อยส่วน
“ฮ่ะ ๆ แม่นาง วิลาสินีคงจะถูกข่วนลูกตาหลุดมากกว่าแค่เสียโฉม”
เขาหลอกพิมพิสุทธิ์ว่า ให้สวดคาถาสาปแช่งวิลาสินี ให้เพ่งโทสะทั้งหมดที่นางมี มุ่งเป้าไปทำให้วิลาสินีเสียรูปโฉมอันงดงามที่นางอิจฉาว่าเป็นเหตุให้กฤตพรตหลงรัก เพื่อที่นางจะได้เห็นกฤตพรตไม่ปรารถนาวิลาสินีผู้อัปลักษณ์อีกต่อไป กลับไปยกย่องพิมพิสุทธิ์อย่างเก่า แล้วเขาเองจะรับวิลาสินีไป ค่อยเนรมิตให้นางหน้าตาโสภาสะคราญเท่าไรก็ได้ด้วยเวทวิทยาเมื่อนางอยู่กินกับเขาแล้ว
ชายหนุ่มลอบยิ้มในหน้า อนิจจา พิมพิสุทธิ์เชื่อมั่นสนิทใจ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่นางสวด แท้จริงเป็นคำสาปแช่งกฤตพรตให้ตายตก เพื่อพิฆาตอาคมที่ปกปักฐิรังกาไว้!
หญิงสาวผู้เรียบร้อยอ่อนแอนี้มีจิตพยาบาทแข็งกล้าน่าชื่นชม เขาชอบความหึงหวงของนาง มันมีอำนาจทำลายล้างยิ่งกว่าไฟทะเยอทะยานของเขาเสียอีก ตลอดมาเขาทำได้เพียงส่งเวทเหินทะลุม่านอาคมของเจ้าฐิรังกาลำดับหนึ่งไปตกอยู่บนหมอนบ้าง ตกปนในอาหารบ้าง เป็นศรยิงเข้าแทงจุดอ่อนบ้าง แต่ก็ได้เพียงแค่นั้น
บางที เขาอาจจะไม่เคยผิดหวังและกดเก็บความโกรธเกรี้ยวขมขื่นไว้มหาศาล พร้อมจะระเบิดออกมาเช่นพิมพิสุทธิ์ บางที เขาอาจจะไม่ได้ปรารถนาทำลายกฤตพรตหรือใครคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ เป้าหมายของเขายิ่งใหญ่กว่านั้น... เขาใฝ่ฝันจะได้ลูกชายจากวิลาสินีและครองราชย์เป็นสำคัญ การมาพบพิมพิสุทธิ์ผู้เคียดแค้นริษยาเข้าจึงเป็นเหตุบังเอิญอันเหมาะเจาะที่เขาเซ่นสรวงขอบคุณทวยเทพอยู่มิวาย
คงเป็นเพราะบาปกรรมของท่านนั้นแหละ ฝ่าบาทกฤตพรต... การทอดไมตรีกับดรุณีนางหนึ่งอย่างพิเศษเหนือใคร ๆ ทั้งที่ปฏิเสธหัวใจนาง แน่แท้เป็นบาปที่ต้องชดใช้อย่างสาหัส!
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูที่เขาพิงอยู่ทำให้หันไปมองเล็กน้อย พิมพิสุทธิ์สะดุดนิดหนึ่ง แต่ยังคงหลับตาสวดต่อเนื่อง ชายหนุ่มเอ่ยหนักแน่น “จงสวดต่อไป อย่าได้หยุด”
เสียงนางกำนัลจากข้างนอกเรียกเข้ามา
“พระนางพิมพ์ พระนางวิลาสินีทรงส่งคนมาเชิญให้ไปที่ตำหนักฝ่าบาทกฤตพรตเพคะ”
พิมพิสุทธิ์ชะงักคำ หันมาอย่างลังเล แต่ชายหนุ่มผู้โพกผ้าคาดศีรษะส่ายหน้า
“อย่าตอบคำ แม่นาง หากว่าล้มเลิกไม่บริกรรมคาถาต่อเนื่องละก็ จะต้องเริ่มใหม่”
“พระนางเพคะ… ได้ยินอีจิตรหรือไม่เพคะ พระนาง”
ที่สุดพระสนมเอกไม่ได้ขานรับ นางกำนัลเคาะบานทวารอีกสองสามหนก็ยักไหล่ ช่วงนี้พิมพิสุทธิ์ไม่ให้แม้แต่นางกำนัลใกล้ชิดเข้าห้อง นางจึงออกมาแจ้งนางกำนัลของวิลาสินีว่าพระนางพิมพ์คงจะสรงน้ำล้างสีสำอาง เปลี่ยนชุดเข้าพักผ่อนเรียบร้อยแล้วไม่ต้องการพบใคร ดึกดื่นป่านนี้ก็เสียมารยาท มีอะไรค่อยไว้ว่ากันวันพรุ่ง
***
เลยเที่ยงคืนแล้ว นางกำนัลบอกว่าพิมพิสุทธิ์ไม่มา ไม่มีใครมา
สาวชาวป่าเม้มปาก ทิ้งผ้าชุบน้ำลงในอ่าง น้ำหายเย็นแล้ว แต่เช็ดตัวไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร กฤตพรตมีแต่จะตัวร้อนขึ้น ๆ ใบหน้าคมสันซีดไร้สีเลือด แต่โลหิตหยดหนึ่งกลับซึมออกมาจากหางตาซ้าย
วิลาสินีร้องไห้ ความคิดจิตใจสับสนว้าวุ่น พิมพิสุทธิ์เป็นคนเดียวที่เป็น ‘ชายา’ ของเจ้าชายหนุ่มอย่างแท้จริง มีสิทธิ์อย่างเต็มที่ แต่แล้วกลับไม่มา นางควรจะส่งคนไปเรียกนักสนมคนอื่นมาให้เสพสมกับกฤตพรตแทนหรือ พระสมุทรทรงเมตตา นางควรจะทำอย่างไรในเวลาเช่นนี้
แล้วนางทนได้จริง ๆ น่ะหรือ ปิดห้องให้หญิงอื่นมีสัมพันธ์กับเขาในยามไม่มีสติ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง... ไม่รู้ว่าถ้ากฤตพรตตื่นมาพบกับหญิงที่ช่วยชีวิตเขาไว้แล้วจะเกิดปฏิพัทธ์เช่นไร
ประโยคข้างท้ายที่กระซิบอยู่ในหัวทำเอาวิลาสินีตกใจ เบิกตากว้างมองร่างสูงที่นอนจมเหงื่อหายใจรวยรินอยู่บนบรรจถรณ์ นางไม่ต้องการหญิงอื่นมาแตะต้องเขา แปลว่านางสัมผัสเขาเองจะดีกว่างั้นหรือ ความคิดนี้ราวกับซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบตรงไหนสักแห่งของใจ...ความผูกพัน ความชื่นชม ความศรัทธาและไว้วางใจ ทุกอย่างที่นางรู้สึกต่อเจ้าชายหนุ่มค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากความรู้สึกชมชอบอย่างเพื่อนเล่น อย่างความรักของน้องสาวต่อพี่ชาย กลายเป็นบางสิ่งที่อ่อนหวานกว่าตั้งแต่เมื่อใดไม่ชัดเจน
เขาไม่ใช่พี่ชายขี้แกล้งของวิลาสินีน้อยแล้ว นางเองก็ไม่ได้รอให้เขามาอุ้มมาชวนเล่นสนุกอีกต่อไป บัดนี้นางเป็นเจ้าหญิงที่พร้อมจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา จะพยุงเขาเวลาล้ม จะออกหน้ารับแขกต่างเมืองและฝึกเวทวิทยาเพื่อช่วยเขา เขาผู้เป็นเจ้าชายที่ปรีชาสามารถและเสียสละ
จะพิมพิสุทธิ์หรือใคร ใจจริงวิลาสินีก็ไม่ใคร่อยากให้ร่วมหมอนกับกฤตพรตแล้วในยามนี้
อย่างไรก็ดี นางไม่เคยอยากจะใกล้ชิดกับบุรุษในแง่นี้มาก่อน ที่จริงนางกลัวมัน และสิ่งที่พ่วงมากับมัน... เกลียดกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้เด็กสาวกลายเป็นผู้ใหญ่วัยคฤหัสถ์ เป็นภรรยา เป็นมารดา มีความรับผิดชอบหลายประการวางทับมาให้แบกบนบ่า
นางกลัวเหลือเกินว่ามันจะหนักจนทับนางขาดใจตาย และที่สำคัญที่สุด คือกลัวว่านางจะสูญเสียตัวตนวิลาสินีที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ไปตลอดกาล เหมือนกับเจ้าสาวทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนไปใช้สกุลของสามีและแนะนำตัวในฐานะสมบัติของเขาไปจนวันตาย ไม่อาจเป็นตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว
แต่กฤตพรตมีความหมายกับนางมากเกินไป นางปล่อยให้เขาตายไม่ได้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องทำ
คิด ๆ ดู ทุกวันนี้นางสวมธำมรงค์มรกตอยู่แล้ว ทุกคนก็เรียกนางว่าพระวรชายา แต่นางยังคงรักษาความเป็นวิลาสินีไว้ได้อยู่ในระดับหนึ่ง และยังคงมีสิทธิ์ในการตัดสินใจออกความเห็นต่าง ๆ กฤตพรตสอนให้นางเติบโตเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ไม่ได้บังคับล่ามโซ่นางจนหายใจไม่ออก และจากที่รู้จักเขามา ส่วนหนึ่งของใจหญิงสาวเชื่อว่าเจ้าชายหนุ่มจะไม่บดขยี้ตัวตนของนางไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอประทานอภัยนะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉัน...” เสียงเครือเว้นระยะบีบมือร้อนไข้ของเขาแน่น “จะไม่ทนดูพระองค์ทรงเจ็บปวดอีกแล้ว”
ตกลงใจได้เช่นนั้นแล้วหญิงสาวก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น ทั้งกลัวทั้งอายแต่ก็รู้ว่าจะรอนานกว่านี้ไม่ได้ นางใช้แขนเช็ดน้ำตา ทดลองรินน้ำลงแก้วแล้วยกขึ้นกระดก จากนั้นใช้เป็นข้ออ้างก้มลงไปประคองศีรษะกฤตพรต เปิดปากประกบให้ชายหนุ่มดื่มน้ำล่วงลงคอ
ริมฝีปากซีดเซียวของกฤตพรตร้อนราวกับเหล็กไฟ ลำคอค่อย ๆ กลืนน้ำสะอาดลงไปขณะที่เหงื่อไหลลงมาจากไรผมบรรจบเป็นหยดที่คาง ความชิดใกล้ทำให้กระสากลิ่นอายแบบบุรุษ ผสมกับกลิ่นน้ำมันหอมชั้นสูงที่เจ้าวงศ์อัศวินใช้เจิมติกะอุณาโลม กลิ่นของเขาเหมือนขุนเขาและไม้สน เป็นกลิ่นเย็นทว่าหนักแน่นประจำตัวที่นางเคยได้กลิ่นเจือจางเวลากฤตพรตอุ้ม
ตาย! ตายแน่ ๆ ! นางจะทำได้ยังไง!!
วิลาสินีกรีดร้องอยู่ในใจ หน้าหัวหูแดงไปหมดแทบจะเป็นฝ่ายสำลักน้ำซะเองกับจูบแรกในชีวิตของนาง ทว่าจุมพิตผิวเผินนั้นคล้ายเป็นการสั่นคลอนอำนาจของเวทศารทูล เพราะกฤตพรตกลับมาหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งเหมือนหลุดจากความทรมานชั่วครู่... วิลาสินีกลืนน้ำลาย ค่อย ๆ ก้มหน้าลงไปใกล้ทีละนิดและรวบรวมความกล้าจูบเจ้าชายหนุ่มอีกครั้ง ดีใจขึ้นมาในอกเมื่อสัมผัสลมหายใจของเขาลึกขึ้นรินรดบนแก้ม แต่ก็รู้สึกละอายจนหน้าแดงผ่าวแทบสุก
สักพักใหญ่ บุตรีฤๅษีก็เปิดประตูห้องบรรทมผางออกมา ทำเอานางกำนัลที่กำลังวุ่นวายกันสะดุ้งหันมามองพร้อมเพรียง เอกกัลยาแห่งยุคสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ก่อนจะสั่งด้วยเสียงสงบและจริงจัง
“ข้ากับฝ่าบาทต้องการเมรัยคู่สมรสค่ะ”
***
กฤตพรตอุ้มวิลาสินีน้อยเดินไปตามเสียงลำธารเชี่ยวกรากผ่านแมกไม้ ทั้งสองมาไกลพอควรก็เริ่มรู้สึกว่ามวลอากาศเปลี่ยนไป คลับคล้ายว่ามีลมอ่อนพัดผ่านผิวหน้า
พื้นขี้เถ้าเริ่มมีก้อนอะไรแข็ง ๆ ปนอยู่ เยอะขึ้นทุกก้าวที่เหยียบไป ร่างสูงสะดุดเล็กน้อยเพราะกำลังอุ้มนางไว้จึงมองไม่เห็นพื้น เอี้ยวตัวก้มดูอย่างสงสัย แวบแรกกฤตพรตคิดว่าเป็นก้อนแร่โลหะแวววาว แต่แล้วก็เห็นว่ามันเป็นหินกลมแบนสีดำสนิทที่ขนาดพอ ๆ กันทุกก้อน เรียบลื่นอย่างกรวดที่ถูกเหลาเกลากลึงด้วยพลังกระแสน้ำ
วิลาสินียุกยิก ๆ มองซ้ายมองขวา แล้วก็เป็นฝ่ายจำได้ก่อน กรี๊ดขึ้นมาอย่างดีใจ “หินในลำธารใกล้ ๆ อาศรมท่านพ่อนี่นา! พวกเราไม่หลงทางแล้ว!”
“ช้าก่อน...!”
ร่างเล็กโดดลงจากอ้อมแขนเขาไม่ฟังเสียง วิ่งทั่ก ๆ มุ่งไปข้างหน้าตามเสียงธารน้ำไหลทันที กรวดที่ปูใต้ฝ่าเท้านางกลายเป็นสีดำขลับแวววาวเหมือนเปียกน้ำทั้งที่ไม่น่าจะถูกน้ำมากถึงขนาดนั้น กฤตพรตวิ่งตามไปแล้วก็พบว่ากรวดทุกก้อนเปียกน้ำเจิ่งนอง ภาพระยะระหว่างต้นไม้สีดำกับเขายืดห่าง
แล้วก้าวถัดมาที่ขยับวิ่งไป เขาก็พบตัวเองยืนอยู่บนริมตลิ่ง เท้าเหยียบพื้นกรวดลื่นแวววาวปะปนกับใบประดู่และดอกสีเหลืองแห้ง เพดานป่าเขียวขจีแว่วเสียงนก ทิฆัมพรสนธยากลับเป็นสีฟ้าเจิดจ้ายามบ่าย เมฆขาวลอยตามลม ลำธารใสเย็นไหลผ่านหน้าเต็มไปด้วยปลาตัวน้อย ๆ
สติที่ล่องลอยแล่นกลับมาเข้าที่ ที่นี่คือป่าประดู่อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นและเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร... นัยน์ตาสีนิลมองไปรอบ ๆ แล้วก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นวิลาสินีน้อยนอนแน่นิ่งอยู่อีกฝั่งของลำธาร แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ กฤตพรตเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มอยู่เหนือศีรษะของนาง วักน้ำใส่เรือนผมของเด็กหญิงจนชุ่ม
นั่นมัน...ตัวเขาเอง!?
ประกายปลาบของกริชที่เด็กหนุ่มชักออกมาจากสายสะเอวทำให้ร่างสูงรีบลุยน้ำข้ามลำธารไปทันที สัญชาตญาณระแวดระวังถูกสติปลอบให้เย็นลงว่า ของมีคมนั้นไม่ได้อยู่ในมือใครที่เป็นอันตรายกับวิลาสินี ในเมื่อคนที่ถือก็คือเขาเอง เพียงแต่การเห็นตัวเองมันพิสดารจนเขาเกิดหวั่นขึ้นมาว่า นี่เป็นความฝันร้ายหรือมิติลวงตาที่ศัตรูเสกมาล่อหลอกหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นกฤตพรตในอดีตจะคลุ้มคลั่งปาดคอวิลาสินีน้อยก็ไม่แน่นัก ความเป็นไปได้ต่าง ๆ วิ่งวนในหัวจนร่างสูงไม่นึกวางใจอะไรทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างดำเนินไปตามที่เขาจำได้ เด็กหนุ่มจับประคองศีรษะของนางหันไปข้าง ๆ แล้วค่อย ๆ โกนผมด้านหลังของนางออก
สีหน้าของกฤตพรตวัยเยาว์ยามที่เห็นรอยเลือดคั่งในกะโหลกของวิลาสินีนั้นเกินกว่าที่เขาจำได้... เขาเพียงแต่จำได้ถึงความกลัวจับขั้วหัวใจ และความรู้สึกผิดหนาหนักเพราะเขาเองเป็นคนเสกเม็ดมะกล่ำงอกออกมาแกล้งนางกลับ แทนที่จะเตือนให้นางรีบลง มือของนางเล็กออกอย่างนั้น ประมาทก็เป็นนิสัย ที่ไหนจะจับคว้าทุกอย่างได้มั่นไม่เกิดอุบัติเหตุทุกครั้งไป
แต่กฤตพรตที่เขาเห็นตรงหน้าทำหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้ ชายหนุ่มไม่เคยรู้ว่าเขาทำหน้าแบบนั้น
เด็กหนุ่มพลันสัมผัสได้ว่ามีคนจ้องมองและเงยหน้าขึ้นมา สายตาคมกล้าสีดำสนิทสองคู่สบกัน ร่างสูงสง่ายืนอยู่กลางลำธาร กายพ้นน้ำอยู่ระดับเอวไร้เครื่องประดับใด ๆ นอกจากผ้าภูษาหงชาดเฉวียงบ่า ขณะที่เจ้าชายหนุ่มน้อยในเครื่องทรงกษัตริย์แบบเรียบสำหรับยามประพาสป่า แตะนิ้วอยู่ที่จุดชีพจรตรงคอของวิลาสินี
เด็กหนุ่มขยับตัวมาบังด้านหน้าในกิริยาป้องกัน
และแล้ว ในวินาทีนั้นกฤตพรตก็เข้าใจกระจ่างถึงลำดับเหตุการณ์ในความทรงจำ... ที่แท้เป็นเขาเอง ตัวเขาเองต่างหากเล่าที่ย้อนกลับมาพอดีบนจุดเล็ก ๆ ของบ่ายวันนั้นบนเส้นกาลเวลา!
“ท่านเป็นใคร ไฉนจ้องมองนาง”
เด็กหนุ่มถามอย่างไม่เป็นมิตร แม้จะลดกริชลงพอสุภาพ เห็นบุรุษองอาจโผล่ขึ้นจากน้ำในไพร ก็ให้เข้าใจไปว่าเป็นคนธรรพ์ที่สถิตอาศัยอยู่ในลำธาร
คนธรรพ์วิทยาธรทั้งหลายตามธรรมชาติล้วนรูปงามเจ้าสำราญ เปี่ยมด้วยตัณหาราคะ เช่นที่ชายหญิงผู้สมรสกันเองโดยไม่ผ่านพิธีเพราะนิยมในความเสน่หายินดีนั้นเรียกว่าคานธรรพวิวาห์ เด็กหนุ่มจึงเกรงไว้ก่อนว่าอีกฝ่ายหวังจะมาปล้นชิงวิลาสินี แม้นางจะยังเด็กและมอมแมมเช่นนี้ก็เถอะ สตรีในป่าหายากยิ่ง
“ดูก่อน วิทยาธรผู้ทรงมายา” กฤตพรตวัยเยาว์พูด ทว่าจับข้อมือของวิลาสินีไว้แน่น ในหัวรู้ดีว่าตนไม่อาจต่อกรหรือหนีทันวิทยาธรได้ จึงยอมแนะนำตัวก่อนในฐานะผู้อายุอ่อนกว่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เราเป็นโอรสแห่งท้าวฐิรังกา น้องสาวนี้มากับเรา ขอท่านโปรดอย่าวางสายตาที่นางเช่นนั้น นางไม่สบายมาก... เรา...” เสียงของเด็กหนุ่มขาดไปขณะที่ดวงตาคล้ายจะเคลือบน้ำใสวูบหนึ่ง เอ่ยออกมาได้แค่ว่า “...ขอท่านกรุณาด้วย”
กฤตพรตในวัยปัจจุบันถึงกับลำคอตีบตันขึ้นมา เห็นตนเองในวันนั้นแล้วสะท้อนใจนัก ทุกวินาทีที่วิ่งไปนับถอยหลังลมหายใจของวิลาสินีที่นอนอยู่บนพื้นกรวดและเด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าชีพจรของนางอ่อนลง ๆ
“ราชกุมาร เราเห็นแล้วว่านางไม่สบาย กะโหลกศีรษะของนางร้าวและยุบด้านหลัง ปล่อยนานนักนางจะพิการหรือไม่ก็สิ้นลมหายใจ” ร่างสูงว่าขณะรีบว่ายลุยน้ำขึ้นมาที่ตลิ่ง “เรามาช่วยธิดาของพระฤๅษีป่าประดู่ผู้เจริญ หาได้มีเจตนาชั่วร้าย พระฤๅษีเป็นอาจารย์ของเรา”
อีกฝ่ายยังดูเคลือบแคลง แม้จะตกใจที่ได้ยินข้อมูลตรงกับความเป็นจริงปานตาเห็น กฤตพรตจึงบอกวันเกิดและอายุที่แท้จริงของสิทธิสวามิน ซึ่งลูกศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้นจะได้รู้ เด็กหนุ่มคลายความเป็นปรปักษ์ลงทันที นึกเลื่อมใสที่เขามีญานรู้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ และมาช่วย
กฤตพรตทั้งสองก้มอยู่เหนือร่างวิลาสินีน้อยร่างสูงตรวจดูบาดแผลของนาง วางมือเยียวยาเร่งด่วนแต่ก็รู้สึกได้ว่าชีวะส่วนหนึ่งแตกซ่านออกมาแล้ว เลือดที่คั่งอยู่ภายในกดทับเนื้อสมองให้ได้รับความเสียหาย ด้วยประสบการณ์ที่ร่ำเรียนกับอดีตหมอเช่นพระฤๅษีหกปี และศึกษาต่อกับหมอหลวงในพระราชวังอีกสี่ปี เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจโกนผมของนางออกเพิ่มอีก และประกาศว่า
“เราจำเป็นต้องผ่าตรงนี้ เอาเลือดที่คั่งออกมา”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยขณะกัดฟันแน่น มือวางอยู่บนทรวงอกและท้องของนางเพื่อควบคุมธาตุลมในปราณที่ไหลลงปอดและกระบังลมอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่านางจะหยุดหายใจเองถ้าหากว่าเลือดคั่งไหลไปกดทับสมองส่วนที่ควบคุมการหายใจเข้า เขาเงยหน้าถามเสียงเครียด
“ท่านทำได้หรือไม่”
“เราคิดว่า... เดี๋ยวนะ เราจะชี้ให้ดู”
กฤตพรตเรียกเอากระดาษออกมาม้วนหนึ่งกับอับไม้เครื่องเขียนเขารีบคลี่กระดาษกางออกแล้ววาดลงไปคร่าว ๆ
“ศีรษะส่วนหลังต้องเจาะเปิดตรงนี้ เราไม่อยากให้เป็นช่องใหญ่” เขาวาดเส้นประลงไปแล้วชี้จุดที่จะเจาะ “ถ้าตัดกะโหลกเปิดออกเป็นช่องให้เลือดออกมาก่อน รักษาจนเสร็จแล้วค่อยปิดกลับน่าจะดีที่สุด”
“เราเข้าใจแล้ว แต่เยื่อกระดูกส่วนที่ตัดออกมาจะมีชีวะหล่อเลี้ยงอยู่ได้อย่างไร” เด็กหนุ่มมองหน้าเขา “ความเย็นจะชะลอสภาพมันไว้ได้หรือไม่”
“ได้ หากว่าทำอย่างเร็วมาก ๆ ให้ปลอดเชื้อและลอยแช่แข็งไว้ในม่านอาคมเล็ก”
“ให้เราเสกม่านเถอะ เราควบคุมอุณหภูมิให้ท่านได้” กฤตพรตวัยเยาว์แบมือซ้ายออกแล้ววางมือขวาประกบลงไป เมื่อเปิดมือออกจากกันก็ปรากฏอาณาเขตที่ทำจากอาคมลูกกลม เขาแขวนมันไว้กลางกระโจมเหนือศีรษะ “เรากลัวแต่ว่าหากผ่าแล้วชีวะจะแตกออกมาหมดพร้อมกับโลหิตของนาง... นางตัวแค่นี้ เสียเลือดไม่เท่าไรก็สิ้นใจได้แล้ว เราไม่คิดว่าแช่แข็งวิลาสินีทั้งร่างเพื่อชะลอชีวะไว้ในกายจะเป็นไปได้”
“เป็นไปได้แต่ไม่มีประโยชน์ ราชกุมาร ทำเช่นนั้นนางจะตาย เพราะอุณหภูมิร่างกายต่ำเกินไปจนหัวใจหยุดเต้น”
ทั้งสองครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาพร้อมกันว่า “เราต้องทำยัญพิธี”
“ใช่ ต้องเป็นสัตว์ใหญ่พอสมควร” กฤตพรตวัยปัจจุบันกล่าว พวกเขาสามารถถ่ายเทมวลชีวะในอีกชีวิตหนึ่งมาจุนเจือสำรองเลี้ยงวิญญาณของวิลาสินีน้อย ให้พอประคองจิตของนางอยู่ในโลกนี้ได้แม้ในยามที่วิญญาณของนางจะวูบหายไปมาระหว่างโลกคนเป็นและคนตาย และฟื้นมายังเป็นวิลาสินีคนเก่า มิใช่รอดแต่ร่างเปล่า ๆ อย่างที่แพทย์ผู้ไม่รู้เวทวิทยามักทำ
กฤตพรตในวัยเยาว์ก็เป็นศิษย์เอกของพระฤๅษี เขาเข้าใจและอาสาว่า
“เช่นนั้นท่านควบคุมปราณของนางไว้ก่อน หากฉุกเฉินก็เจาะเอาเลือดออกมาเลย เราผ่าเจาะไม่เป็นและไม่มีความรู้ ดังนั้นเราจะเป็นคนไปฆ่าสัตว์ตัวหนึ่งมา”
คนฟังนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเสกกระโจมขาวขึ้นมาหลังหนึ่งพร้อมกับเตียง แล้วอุ้มวิลาสินีเข้าไป จัดการลงอาคมควบคุมธาตุให้ภายในสะอาดแล้วเสกอุปกรณ์ต่าง ๆ ทีละชิ้น จุดไฟลนฆ่าเชื้อ มองเด็กหนุ่มที่แบมือขึ้นกล่าวเรียกกระบอกศรและคันธนู ร่างสูงทำท่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
อดีตนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลง การตัดสินใจเป็นของกฤตพรตวัยเยาว์ผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
“อืม รีบกลับมานะ ราชกุมาร... จงกลับมาอย่างด่วนที่สุด”
***
เรือนร่างของหญิงสาวเผยสู่แสงจันทร์ทีละส่วนหลังจากถอดเครื่องประดับออกหมด และดื่มเมรัยคู่สมรสกับกฤตพรต นางถอดผ้าคลุมผมและสร้อยกรองคอ จากนั้นก็คลายผ้าส่าหรี สองขาขยับไปนั่งค้ำเหนือร่างสูง
วิลาสินีไม่แน่ใจนักว่ากฤตพรตดื่มเมรัยปลุกกำหนัดนี้ลงคอไปประมาณเท่าไร ตัวนางเองดื่มลงไปครึ่งค่อนจอกแน่ แต่ตอนนางประคองศีรษะเขาขึ้นให้ดื่มแล้วมันก็หกบ้าง พอป้อนด้วยปากนางก็เผลอกลืนลงไปเองอีกบ้าง แต่จำได้ว่า กฤตพรตเคยบอกว่าแค่ครึ่งจอกก็เพียงพอจะทำให้งวยงงลุ่มหลงแล้ว นางภาวนาให้มันรีบออกฤทธิ์ขณะที่แก้ปมผ้านุ่ง นางยังไม่เห็นรู้สึกลุ่มหลงระทดระทวยอะไรสักนิดเลย นอกจากรู้สึกติดใจรสหวานลวกลิ้นแบบแปลก ๆ ของเหล้าชนิดนี้และรู้สึกตัวร้อน ๆ แต่มีสติอยู่ครบ
ทีนี้ก็เหลือแต่สนับเพลาของเจ้าชายหนุ่มอย่างเดียว เพราะว่าเครื่องประดับทั้งหลายถอดออกไปหมดแล้วตอนเช็ดตัว หญิงสาวมือสั่น สองแก้มร้อนฉ่า เหลือบมองกฤตพรตที่นอนไม่ได้สติ อาจจะดีก็ได้ที่เป็นอย่างนี้... หากว่าเขาตื่นอยู่นางคงจะไม่กล้าเปลือยกายขึ้นมานั่งคร่อม อีกอย่างเขาคงจะคัดค้านถึงที่สุด
“มันจะได้ผลจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย... ฝ่าบาทอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเพคะ เอาล่ะ...” เสียงแหลมบ่นอุบอิบขณะแข็งใจถอดสายเข็มขัด โยนลงไปที่พื้นบนกองเสื้อผ้าของนาง จากนั้นก็หลับตาปี๋กลั้นหายใจ ดึงผ้ารัดพัสตร์กับสนับเพลาลง
เพียงสัมผัสของเนื้อผ้าเสียดสีและปลายนิ้วของนางเปะปะโดน ความเป็นบุรุษที่ถูกเร้าด้วยเมรัยคู่สมรสก็ตอบสนอง วิลาสินีสะดุ้งลืมตา พลันได้มองมันอย่างจะ ๆ นางร้องไม่ออกทว่าหน้าแดงเถือกไปถึงโคนผม
***
ทุ่งหญ้าเขียวขจีอันอุดมแลดูซีดหม่นในสายตาของกฤตพรต หมู่นกที่จิกกินแมลงและร้องตีกันลั่นเห็นเป็นกลุ่มมัว ๆ เช่นเดียวกับสัตว์เล็กอย่างกระรอกกระต่าย สิ่งที่เด่นชัดมีเพียงฝูงกวาง
เจ้าชายวัยสิบสี่ย่างสิบห้าพนมมือลงมนตร์ในศร ชุบเนื้อไม้และขนนกหางศรด้วยเวทวิทยา ในวันเวลานั้นเขายังไม่ใช้โลหิตของตนเองทำอาคมต่าง ๆ แต่เพียงแค่การกำหนดจิตหมายมั่นก็ทำให้ลูกธนูมีอำนาจไหลเวียน กฤตพรตไม่เคยเป็นนักล่าสัตว์ เขายิงธนูน้อยครั้ง ทว่าธนูของเขาสามารถพุ่งตรงกลางเป้าไม้กลมเหมือนพี่น้องคนอื่น ๆ ได้ด้วยวิชาที่เขาถนัด
นกน้อยบนกิ่งไม้เหนือศีรษะสังเกตเห็นเด็กหนุ่มและร้องทักทายอย่างเคย ทว่ากลับไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าชายพรตผู้สนุกสนานของมัน เจ้านกงุนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะร้องเสียดหูและบินหนีเมื่อเห็นเจ้าชายหนุ่มยกคันธนูขึ้นสาย
'เจ้าชายพรตถือศร!'
เหล่านกและกระรอกกระต่ายผู้อ่อนไหวแตกตื่นหนีจากทุ่งหญ้าทันที เสียงร้องลั่นชุลมุน ฝูงกวางสะดุ้งโลดจะกลับน้ำตกตามเส้นทางประจำด้วยเป็นสัญชาตญาณจะหลบกลับถ้ำ แต่กฤตพรตรู้และมาเล็งศรขวางไว้จากทางนั้น พวกมันจึงวิ่งวนแตกกระจายไปทุกทิศทาง กลัวจะหนีไม่พ้นแต่ก็กลัวจะแตกฝูง
บรรดาเจ้าชายศิษย์พระฤๅษีเป็นสิ่งมีชีวิตที่ป่านี้เห็นว่าเอาแน่เอานอนด้วยไม่ใคร่ได้ บางเวลาพวกเขาเที่ยวเล่นเป็นมิตรร่าเริง แต่บางเวลาก็ออกตระเวนล่าสัตว์และสามารถสังหารได้กระทั่งเสือ จุดสังเกตมีเพียงอย่างเดียวคือคันธนูยามขึ้นสายตั้งฉากกับพื้นดิน
กวางนับสิบ ๆ กระโดดวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่นขณะที่กฤตพรตสบถเบา ๆ เขาไม่ทันได้พาดศรดีด้วยซ้ำ พวกมันก็วิ่งสวนกันกระโจนหายเข้าพุ่มไม้ไปคนละทิศละทาง ถ้าหากได้เรียนเวทสะกดบังคับพวกมันแล้วคงจะไม่ลำบากอย่างนี้
นิ้วมือดึงง้างสายศรจนสุดขณะที่พยายามเล็งตามกวางสาวตัวหนึ่งที่ตื่นวิ่งเป็นวงอยู่ในทุ่ง ยังไม่หาที่กำบัง มันร้องเสียงดัง
ฟิ้ว!
ปลายจมูกนุ่มนิ่มดุนเข้ามาชนไหล่จากด้านหลัง กฤตพรตตกใจเผลอปล่อยศรออกไป มันพลาดเป้าไปโขและปักกับลำต้นประดู่ นางกวางวิ่งหายไปในร่มป่าอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว
เจ้าชายหนุ่มหันมา ลูกกวางดาวหนุ่มน้อยตัวหนึ่งมองเขาตาแป๋ว มันดุนจมูกเข้ามาอีกครั้งที่ไหล่เขา ใบหูรูปใบไม้สะบัดขึ้นลงขณะพ่นลมหายใจฟืดฟาดดีใจ
'เจ้าชายพรต! เขาของข้าขึ้นแล้ว เจ้าชายพรตเห็นหรือไม่'
กฤตพรตนิ่งงัน เขารู้จักกวางตัวนี้ มันเป็นลูกกวางตัวผู้ลักษณะดีที่ชอบเดินสำรวจรอบทุ่งหญ้า บ่อยครั้งเขาคุยกับมัน มันดูจะกังวลอยู่เรื่อย ๆ เพราะมันเป็นลูกกวางตัวผู้ตัวเดียวในฝูงที่เขายังไม่ยอมขึ้นสักที ทั้งที่อายุครบหนึ่งขวบแล้วและตัวก็สูงใหญ่แข็งแรงกว่าเพื่อน
ตอนนี้มันมีเขาเทียนงอกขึ้นเป็นแท่งตรงภาคภูมิ รอปีหน้าผลัดเขาเทียนทิ้ง ก็จะกลายเป็นเขากวางโค้งแตกกิ่งก้านแข็งแรงตามปกติ พร้อมใช้ต่อสู้แย่งชิงเพศเมียได้ เขาเทียนสำหรับกวางเป็นดั่งสัญลักษณ์การตระเตรียมเปลี่ยนผ่านสู่วัยเจริญพันธุ์
กฤตพรตไม่ตอบคำ ค่อย ๆ เอื้อมมือข้ามไหล่ไปหยิบลูกธนูจากกระบอก เจ้ากวางดูจะไม่ใส่ใจนักว่าเขาจะตอบหรือไม่ มันทำท่าปลื้มปีติกับเขาที่เพิ่งงอกและย่างเหยาะไปรอบ ๆ ตัวเจ้าชายหนุ่ม
'ข้าดีใจเหลือเกิน เจ้าชายพรตรู้หรือไม่ว่าเขากวางนั้นสำคัญแค่ไหน ไม่มีกวางตัวผู้ที่จะมีรักได้หากไม่มีเขา เพราะมีรักจะต้องสามารถปกป้องดูแล และสามารถเป็นที่ภาคภูมิใจของคู่ยามเคียงข้างกัน'
กฤตพรตคีบลูบขนนกหางศรให้เข้าที่ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง ในอกบีบรัดด้วยเป็นห่วงวิลาสินี แต่บัดนี้ความลังเลเริ่มคืบคลานเข้ามาแทน กวางตัวนี้เป็นเหยื่อตัวเดียวที่เหลืออยู่และง่ายอย่างยิ่งที่จะฆ่า มันใจกล้าเกินไป และที่สำคัญคือไว้ใจเขามากเกินไป... มันคงเดินมาจากน้ำตกและไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในทุ่งหญ้า
การล่าสัตว์ระหว่างสนทนาอย่างเป็นมิตรนั้นโหดร้ายเกินไป ให้โอกาสมันวิ่งหนีเสียยังดีกว่า แต่วิลาสินีกำลังอยู่ในอันตราย เขาจะยอมเสี่ยงปล่อยมันหลุดไปได้หรือ... แต่มันจะยุติธรรมกับกวางตัวนี้ตรงไหน เหตุใดมันต้องถูกบังคับให้เสียชีวิตมันเอง เพื่อให้อีกชีวิตหนึ่งที่มีคุณค่าไม่น้อยไม่มากไปกว่ามันได้อยู่ต่อ
'เจ้าชายพรตเคยมีรักไหม'
คำถามนั้นทำให้เจ้าชายหนุ่มชะงักจากห้วงคิด ดวงตากลมดำขลับของเจ้ากวางสบกับเขานิ่งนาน สุกใสและตรงไปตรงมา มันเล่าว่า
'ข้าคิดว่าข้ามีรักแล้ว วันหนึ่งเจ้าชายพรตอาจจะได้รู้จัก... เจ้าชายพรตจำได้ไหม ที่ข้าเคยเล่าว่ามีกวางนางหนึ่งชอบนอนอยู่ใต้ต้นมะม่วงตั้งแต่พวกเรายังเล็ก แล้วข้าก็ชอบเข้าไปนอนข้าง ๆ นาง วันหนึ่งข้ารู้สึกอยากปกป้องนางขึ้นมา เจ้าชายพรตนึกไม่ออกหรอกว่านางเซอะซะน่าเป็นห่วงปานใด'
ลูกกวางหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
'ดังนั้นเมื่อข้าเห็นนางกำลังจะถูกยิง ข้าจึงมาขัดไว้ และจะเป็นอาหารของเจ้าชายพรตแทนในวันนี้'
นัยน์ตาคมสีนิลเบิกกว้างก่อนจะเบือนไปทางอื่น ความละอายและปวดร้าวแล่นริ้วเมื่อศีลธรรมและความรู้สึกฟาดฟันกันในใจ พูดเสียงพร่า “เราไม่ได้จะใช้เจ้าเป็นอาหาร”
เจ้ากวางคล้ายจะสนเท่ห์ใจ 'ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าชายพรตล่าสัตว์เล่นเป็นกีฬา'
“ไม่ใช่...”
เจ้าชายหนุ่มทิ้งศรลง ถอนใจซบหน้าลงกับฝ่ามือ เขาอยากจะอธิบาย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เขาเป็นห่วงวิลาสินีมากขนาดไหน ทวยเทพเท่านั้นที่รู้ ความคึกคะนองของวัยแตกหนุ่มขับดันให้แกล้งเย้าแหย่นางอยู่ทุกวัน ทั้งรำคาญทั้งหลงรัก ทั้งอยากได้มาถนอมเป็นน้องเพราะเขากับพี่น้องไม่มีขนิษฐา แต่ก็ทั้งหมั่นไส้อยากจะทำให้แม่ตัวเล็ก ๆ ที่ใจกล้าเกินตัวนั้นร้องไห้กระจองอแงดูสักหน
กระนั้นเมื่อมันเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง เขากลับไม่รู้สึกสนุกสะใจแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกอะไรนอกจากความกลัว... เขากลัวจะสูญเสียนาง
แต่ในดวงตาของกวางหนุ่มก็เต็มไปด้วยความรู้สึกนับล้านของชีวิตหนึ่งที่มีอะไรต้องทำในอนาคตอีกยาวไกล มีสิ่งที่รักและมีเกียรติภูมิไม่ต้อยต่ำไปกว่าเขากับวิลาสินี
เรื่องนี้ยุติธรรมกับมันหรือ กวางตัวนี้อยู่ได้อีกเป็นยี่สิบปี สามารถจะโลดโจนทะยานในทุ่งหญ้า ผลัดเขาอันงามปีแล้วปีเล่า เช่นเดียวกับกวางทุกตัวอันเป็นเพื่อนสนิทของวิลาสินีน้อย
หากนางตื่นมารู้ว่าเขายิงมันเพื่อนาง นางจะรู้สึกเช่นไร... นางมักขานเรียกนักธนูว่า ‘ฆาตกร’ ตามสรรพสัตว์เรียกกัน และคำคำนั้นทำให้เจ้าชายหนุ่มกลับกลายไปเป็นเด็กหกขวบใหม่อีกครั้ง กลับไปอยู่ในวันที่เขาลองกีฬายิงนกในพระราชวังเป็นครั้งแรก แผลงศรเสียบทะลุอกนกร่วงมาดิ้นตาย ฟังเสียงข้าราชบริพารปรบมือสนั่นขณะที่นกนั้นเลือดกระฉูดนองพื้นหญ้า และรู้ทันทีว่าในชีวิตนี้ไม่ต้องการจะจับศรล่าสัตว์อีกต่อไป
เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาจนได้
“ไปเถิด... เราคิดว่านางกวางของเจ้าคงจะหลงฝูง ขวัญเสียนักแล้ว”
ลูกกวางหนุ่มเอียงคอมาแนบกับแก้มและข้างหูของเจ้าชาย
'เจ้าชายพรตกำลังร้องไห้... เป็นเพราะคนที่เจ้าชายพรตรักหรือ'
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะ เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่กะพริบตาเท่านั้น หยดน้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างไม่รู้ตัว เขาบอกว่าตนเองกลัวนางจะตาย แต่กลับฆ่ากวางตัวเดียวไม่ได้ราวกับปากว่าตาขยิบ
“น้องสาวคนสำคัญของเรากำลังจะตาย” ความจริงนั้นดูจะยิ่งจริงและน่ากลัวขึ้นหลายเท่าเมื่อเอ่ยออกมา “...อาจเป็นได้ว่านางสำคัญกับเราไม่พอ เราถึงได้ไม่อาจจะฆ่าใครเพื่อนาง”
'อาจเป็นเพราะนางสำคัญมากก็ได้' กวางหนุ่มกลับว่า 'เจ้าชายพรตจึงไม่อยากทำเรื่องโหดร้าย เจ้าชายพรตจึงอยากจะทำสิ่งที่ถูกต้องและภาคภูมิสำหรับนาง'
***
กฤตพรตสานอาคมเป็นแผ่นบาง ปิดรอบแผลของนางไว้ไม่ให้โดนฝุ่นเชื้อ ขณะที่เขาเจาะช่องเปิดดูดเอาโลหิตที่คั่งอยู่ในกะโหลกหยดลงมาในอ่าง วิลาสินีถูกยึดศีรษะติดกับเตียงด้วยเวท ลอยแขวนอยู่ในท่านอนคว่ำ ลมหายใจของนางถูกเขาควบคุมไว้ แต่ชีวะวิญญาณค่อย ๆ รั่วไหลออกไปเหมือนนาฬิกาทราย
“อยู่กับเราก่อน วิลาสินี” เสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบา เขาอุ้มนางออกมาจากป่าของพระกาฬแล้ว นางจะต้องไม่กลับไป “เจ้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ในอนาคตเจ้าก็อยู่กับเรา” ข้างท้ายยืนยันกับตนเองเพื่อให้ใจสงบ
ประตูกระโจมขาวเปิดออก ไม่ทำให้เกิดการสะเทือนเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในมวลอากาศทั้งสิ้นเพราะกฤตพรตเองเป็นเจ้าของม่านอาคมเอง ตัวเขาในอดีตจึงนับเป็นเจ้าของม่านไปด้วย ร่างสูงหันหลังกลับไปมอง
เด็กหนุ่มกลับมามือเปล่า ไม่มีสัตว์สำหรับยัญพิธี
ร่างสูงถอนหายใจ วางมือประคองที่ข้างศีรษะของเด็กหญิง ใช้สามนิ้วแตะที่รอยแตกร้าวบนกะโหลกเพื่อสมานมัน เลือดของนางหยะหยดต่อเนื่องดั่งฝน นัยน์ตาสีนิลของเด็กหนุ่มไหววูบเมื่อเห็นสภาพของวิลาสินี คนที่กำลังเยียวยาถามขึ้นเบา ๆ
“ไม่ฆ่ากวาง แล้วจะทำอย่างไร” น้ำเสียงเรียบฟังดูนุ่มนวล ไม่มีวี่แววตำหนิหรือตกใจ
กฤตพรตวัยเยาว์เดินมาชันเข่าลงตรงหน้า คล้ายจะน้อมถวายบังคม
“ท่านมีญานรู้ว่าเราไม่ล่ากวาง...ก็คงล่วงรู้ความคิดจิตใจ” เด็กหนุ่มว่า “แต่เรามีชีวะมากกว่าเดรัจฉาน จำเป็นต้องฆ่าเราหรือไม่”
กฤตพรตส่ายหน้า อึดอัดใจกว่าที่คิดเมื่อต้องทำจริง ๆ เขาตบไหล่ตัวเองในอดีตเบา ๆ “ไม่ต้องหรอก ราชกุมาร... แต่เจ้าจะเชือดสังเวยตรงที่ใดเล่า จุดจักระที่ถูกเปิดด้วยอาคมจะกลายเป็นจุดอ่อนของเจ้าไปจนวันตาย”
(จักระ คือ จุดรวมพลังงานตามร่างกาย เชื่อว่ามีจุดหลักที่เชื่อมต่อกับพลังงานจักรวาลทั้งหมด ๗ จุด ได้แก่ ระหว่างอวัยวะเพศกับทวารหนัก ปลายก้นกบ ช่องท้อง อก คอ หน้าผาก และกลางกระหม่อม แต่ละจุดคอยควบคุมดูแลการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆในตำแหน่งใกล้เคียงให้เป็นปกติ)
“จุดที่ใกล้คอ อก และฐานเพศอันตรายเกินไป” อีกฝ่ายพูดหลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง “เราไม่ต้องการเสี่ยงจุดที่ต้องรับน้ำหนักทรงตัว และจะไม่เอาที่ใกล้หัวใจ ดังนั้น เราขอเลือกที่หน้าผาก ทุกวันมงคลพระอาจารย์จะได้เจิมบนแผล ป้องกันเราเป็นเกราะไว้ชั้นหนึ่ง”
ร่างสูงเตือนว่า “แต่เจ้าจะเจ็บมากนะ ยามที่โดนอาคมศัตรูโจมตี สักวันมันอาจจะฆ่าเจ้า”
“ไม่เป็นไร อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย”
กลิ่นคาวเลือดของวิลาสินีอวลอยู่ในกระโจมขาวขณะที่เด็กหนุ่มหลับตาลง ร่างสูงก้มลงแตะที่หว่างคิ้วของเขาลากขึ้นไปกลางหน้าผากด้วยนิ้วนางขวา ทำให้จุดนั้นร้อนชา ปลายมีดเงินเล่มบางลนเหนือเปลวไฟ จากนั้นก็จรดลงเรียกชีวะโลหิตพรั่งพรูออกมา
***
เย็น... เย็นจนจับขั้วหัวใจ...
ร่างของทั้งสองพุ่งหลาวจมลงสู่ท้องน้ำเชี่ยวกรากที่เต็มไปด้วยฝูงปลาว่ายทวน แรงดันน้ำพัดพากฤตพรตและวิลาสินีไหลลอยไปตามสายธารที่พราวพรายด้วยพื้นกรวดหินสีดำเป็นระยับกับเปลวแดด แวบหนึ่งน้ำตื้นใสแตะถึงพื้นง่ายดาย แต่พริบตาต่อมามันก็ยืดขยายออกไปลึกขึ้น ๆ จนเห็นแต่ความมืดมนอนธการเบื้องล่างดั่งเหวนรก
กฤตพรตพยายามแหวกว่าย เอื้อมผ่านฝูงปลาเข้าไปกอดวิลาสินีไว้ เปลือกตาของเด็กหญิงปิดสนิท ทว่าร่างกายดิ้นรนเตะถีบสุดกำลัง เส้นผมของนางสยายกระจายราวกับสาหร่าย
นางหายใจไม่ออก ปอดบีบรัดอึดอัดกับแรงดันน้ำที่ข่มขู่จะเป็นเพชฌฆาตไร้ปรานี มือและเท้าเล็ก ๆ พยายามว่ายขึ้นตามสัญชาตญาณแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงผิวน้ำ กระแสน้ำรุนแรงพัดนางไปไม่รู้เหนือรู้ใต้ในความมืดอับทิศ
ไม่!! ข้ากำลังจะตาย! ข้าหายใจไม่ออก...!!
มือของกฤตพรตเอื้อมมาคว้าแขนเปะปะของนางไว้ได้ วิลาสินีกระชากหนีทันทีด้วยความกลัวแต่อีกฝ่ายกำแน่นไม่ปล่อย ปลานับสิบ ๆ ว่ายผ่านพวกเขาไป ครีบและหางแข็งคมบาดผิวเนื้อแสบแปลบ วิลาสินีร้องออกมาทั้งที่ยังอยู่ในน้ำด้วยความเจ็บปวดและตกใจ หัวใจดวงน้อยเต้นหนักหน่วงด้วยขาดอากาศแทบจะขึ้นมาติดที่คอ
ไม่...ไม่!!
แล้วกฤตพรตก็ดึงนางเข้าไปหาอย่างแรง ริมฝีปากของเด็กหนุ่มประกบลงถ่ายลมหายใจขณะที่พยายามกอดนางไว้ในธารคลั่ง แล้วความเจ็บปวดก็ปะทุขึ้นมาจากในทรวง ชีวะในกายเขาถูกนางกลืนกินเข้าไปอย่างกระหาย ร่างของนางประดุจเป็นใบมีดนับพัน ๆ เล่ม ยิ่งเขากอดแน่นก็ยิ่งเจ็บ แต่เขาจะปล่อยนางไปได้อย่างไร นางจะถูกสูบลงสู่หุบเหวนรกในคุ้งน้ำนี่
กฤตพรตจึงกอดนางไว้จนใบมีดเหล่านั้นตัดเฉือนเข้ามาจนถึงกระดูกและท้องน้ำย้อมด้วยสีแดงฉาน อณูชีวะฆานมานจิตตั้งแต่หัวจรดเท้าไหลวิ่งสูบฉีดออกไปสู่ร่างของนาง
แล้วเด็กหนุ่มก็พลันกลายร่างเป็นกวางหนุ่มที่เขาเพิ่งงอกตัวนั้น สงบนิ่งอยู่ต่อหน้าศรของพระกาฬ เพื่อสังเวยตนเปลี่ยนโชคชะตา
***
“อื้อ!!”
วินาทีนั้นกฤตพรตสะดุ้งตื่นราวกับถูกเขย่าขึ้นจากฝันร้าย ดวงตามองไม่เห็นภาพใดนอกจากความมืด จนไม่รู้ว่าเขาถูกลงทัณฑ์โดยพระกาฬเพราะบังอาจไปเปลี่ยนชะตาของวิลาสินีน้อยหรือว่าประการใด เสียงทุ้มร้องออกมาอย่างเจ็บปวด บ่วงโซ่นับร้อยแห่งมนตร์ศารทูลที่สาปกายเขาผูกติดกับเกาะฐิรังกานานปีราวกับถูกดึงจนตึงรัดแน่น กระชากจะให้ขาดลงเสียให้ได้ แล้วเขาก็ตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกได้ว่านั่นเป็นเพราะมีมือหนึ่งกำลังประคองร่างกายของเขาให้แทรกเข้าในสรีระของอิสตรี
น้ำหนักของใครคนหนึ่งนั่งคร่อมทับเขาอยู่ สัมผัสผิวต่อผิวของเขาและนางเปลือยเปล่า
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในห้วงภวังค์นั้นไพล่ไปหาหญิงเดียวที่เคยร่วมหมอนและนางเคยพยายามจะบำรุงบำเรอเขาหลังใช้เวทศารทูล “อย่า! พิมพ์ พี่บอกเจ้าแล้วไง!”
“โอ๊ย!”
เสียงร้องเจ็บที่ข้างหูทำให้หัวใจหล่นวูบ ไม่ใช่พิมพิสุทธิ์ แต่เป็น...
“เจ้า...วิลาสินี?”
สีสันบิดเบี้ยวระเบิดขึ้นในดวงตามืดบอดของเจ้าชายหนุ่มขณะที่เรือนร่างงามค่อย ๆ นั่งคร่อมทับลงมาเหนือตัก วิลาสินีทรุดฮวบลงมากับอกเขาขณะกัดฟันแน่นน้ำตาไหลพราก ทั้งเจ็บและไม่ประสา แต่ก็ขยับไปตามที่กำหนัดจากเมรัยชักนำ นางเริ่มร้อนจนคิดอะไรไม่กระจ่าง
“ไม่... วิลาสินีจริงหรือ ทำไม...”
กฤตพรตตัวสั่นด้วยทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเหนือการควบคุม งวยงงผิดปกติไม่รู้ว่าจริงหรือฝันแต่ก็ไม่อาจจะรวบรวมความคิด ทางรักบริสุทธิ์ของหญิงสาวรัดรึงแน่นจนชายหนุ่มที่ไม่ได้ภิรมย์สตรีใด ๆ มาหลายปีหลุดเสียงร้องแตกพร่า เยื่อพรหมจรรย์ของนางคงขาดไปนานแล้วตั้งแต่วิ่งเล่นปีนต้นไม้ในพงไพร ทำให้ไร้ปราการใด ๆ ขวางกั้นและความแข็งแกร่งของเขาสอดลึกเข้าไปเกินครึ่ง ทั้งสองเสียดจุกขึ้นมาถึงคอหอยกับสัมผัสลึกล้ำนั้น
วิลาสินีส่งเสียงสะอื้นออกมา พยายามเสือกกายเข้าไปครอบครองชายหนุ่มทั้งที่ไม่พร้อม ก็รู้สึกราวกับร่างจะฉีกขาดเป็นเสี่ยง ๆ กระนั้นผิวแสบไหม้เป็นลายเสือนาบกับฝ่ามือของนางก็ทำให้ฮึดสู้ว่าจะถอยไม่ได้ เวทศารทูลจะไม่คลายฤทธิ์จนกว่าร่วมประเวณีกันแท้จริง
นางขยับเข้าออกขณะร้องครวญ ตัดสินใจยันมือกับหน้าท้องของเจ้าชายหนุ่มไว้เป็นหลักยึด แล้วฝืนทิ้งตัวลงมาอีกครั้งก็สามารถคร่อมทับลงมาแนบตักจนสุด
“อย่า...!!”
ภาพตรงหน้าสว่างเข้ามาในจักษุภาพของกฤตพรตในพริบตานั้น ก่อนจะเลือนไปเมื่อร่างสูงกระตุกอย่างแรง ถึงสวรรค์อย่างง่ายดายทันทีที่ร่างงามรับตัวตนของเขาเข้าไปได้หมด
วิลาสินีสะดุ้งเฮือกกรีดร้อง จิกเล็บลงกับกล้ามท้องของเขาขณะที่กฤตพรตผวาลุกขึ้นมากอดรัดตามสัญชาตญาณ เขาเสียวแปลบจนร้องออกมาไม่เป็นภาษา สายโซ่พันธนาการแห่งเวทศารทูลขาดสะบั้น ทั้งกายแกร่งกระตุกเข้าหานางครั้งแล้วครั้งเล่าแทบจะเจ็บปวด นี่เป็นการลิ้มรสสตรีครั้งแรกในช่วงหลายปี และร่างสูงสุขสมรุนแรงจนตัวงอ
ใบหน้าคมซบกับเนินอกของนางหอบเร่า กล้ามเนื้อกระตุกเต้นไปทั่วกาย ตาของเขาไม่เจ็บแล้วและมองเห็นทุกสิ่ง เพียงแต่มันย้อมด้วยสีทับทิมแห่งกามรสหวานแหลม เขาแทบจะลืมรสชาติของกายเนื้อนารีไปแล้ว หากมันรุมเข้ามาในยามนี้ฉับพลันจนแทบสำลัก เหมือนนักบวชที่ถือศีลหลายปีจู่ ๆ ถูกกรอกสุราไฟเข้าปากก็ไม่ปาน
“ฝ่าบาท...”
เสียงครางเจ็บของคนในอ้อมแขนเป็นเหมือนน้ำเย็นจัดสาดโครม กฤตพรตตัวแข็งทื่อ ขณะรีบผละจากปทุมถันนวลมาเงยหน้ามองหญิงสาวที่เหงื่อโซมกาย วิลาสินีกลับเผยอยิ้ม พลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ นางประคองสองข้างแก้มของเขามาสบตาชัด ๆ
“พ...พระเนตร... นี่ทอดพระเนตรเห็นแล้วใช่ไหมเพคะ”
หลักฐานของตบะที่ถูกทำลายย่อยยับไหลจากหว่างขาของนาง และหยดลงบนหน้าตักเขา นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างเมื่อจับต้นชนปลายได้ทั้งหมด
เขากลับมาจากมิติอดีตแล้ว ถูกดึงกลับมาที่นี่หลังจากปิดแผลของวิลาสินีน้อยเรียบร้อยแทนที่จะต้องหวนคืนสู่ป่าของพระกาฬ เพราะหญิงสาวที่บัดนี้เป็นชายาเขาอย่างเต็มตัว และเป็นเหตุให้ผลจากศารทูลจางหายไปด้วย!
โอ... ไม่... เวทศารทูล และพรหมจรรย์ของนาง... เขารู้ดีกว่าใครว่า บุตรีฤๅษีไม่เคยอยากสมรสร่วมหอกับบุรุษใด
“พระสมุทรทรงเมตตา วิลาสิ...”
ไม่ทันพูดจบ นางกลับยื่นหน้าเข้ามาจูบเขา กลีบปากอิ่มบดแนบกับริมฝีปากล่างของกฤตพรตขณะที่มือยังจับบังคับอยู่ข้างแก้ม รสเมรัยร้อนละมุนยังไม่ร้อนเท่าปากนุ่มนิ่มของนาง เรือนผมยาวระแขนของเขาดุจสัมผัสขนนกหอมหวาน มันมอบพลังให้กับเขา
เจ้าชายหนุ่มเผลอไผลกับจุมพิตนั้นอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยายามดึงสติกลับมาและเบือนหน้าหนี
“ฮึก...ทำไมรอยไหม้ไม่หายไปเพคะ” วิลาสินีกลับดูสิ้นหวัง เลื่อนมือมาลูบรอยสีดำตรงหัวไหล่ ชายหนุ่มสะดุ้งด้วยแผลแสบไหม้ “หม่อมฉันต้องทำยังไง เสพเมถุนก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
“เจ้าควรหยุดเดี๋ยวนี้ แล้วลงไปจากเตียงของเรา...”
นางจับใบหน้าคมให้หันกลับมาจุมพิตอีกครั้ง กฤตพรตขืนตัวร้องห้ามซ้ำ ทว่ามือเรียวเอื้อมมาตะครุบท้ายทอยเขาแล้วกดจูบแน่น ครานี้ ชิวหาของทั้งคู่สัมผัสเกี่ยวพันกัน และเจ้าชายหนุ่มเสียววูบวาบไปตลอดร่างจนถึงปลายเท้า
ฐานแห่งบุรุษเพศที่เพิ่งปลดปล่อยไปเต็มที่เมื่อครู่กลับกระตุกตื่นอยู่ในร่างของนางใหม่อย่างรวดเร็ว วิลาสินีหวีดเบา ๆ ในลำคอขณะยังไม่ละจูบ เพลิงตฤษณาบันดาลให้บุปผาเบ่งบานตอบรับชายหนุ่มเป็นจังหวะรัญจวน
นางหน้าร้อนซ่าน ไม่รู้ว่าเมาเหล้าหรือเมาสวาทที่เพิ่งได้ลองรู้จัก ไม่กี่อึดใจ มันก็เริ่มเกินกว่าที่หญิงสาวจะรับไว้ได้
“โอ๊ย!!” วิลาสินีกลายเป็นฝ่ายดันแผ่นอกกว้างถอยห่าง ทุกอย่างทั้งเต็มและเน้นแน่นจนนัยน์ตาสีเขียวน้ำตารื้น แต่แล้วมือใหญ่กลับยึดสะโพกของนางไว้ไม่ให้หนี “ฝ่าบาท...”
ริมฝีปากร้อนจัดแนบเข้ามาที่ซอกคอของนาง แล้วก่อนจะทันรู้ตัว ร่างนวลน้ำผึ้งก็ถูกกอดกลิ้งพลิกลงมาเป็นฝ่ายถูกคร่อมทับ กลิ่นเมรัยคู่สมรสเจืออยู่ในลมหายใจระรัวของทั้งคู่
ฝ่ามือสีเข้มเคล้นคลึงทรวงอกสล้าง ก่อนจะเลื่อนไล้ลงไปยังสะดือ และต่ำลงไปยังส่วนที่ประสานแนบชิดกัน
***
ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มค่อย ๆ เสกสร้างเส้นผมดำขลับคืนให้แก่วิลาสินีน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงจนเสร็จเส้นสุดท้าย นางยังไม่ได้สติ แต่ลมหายใจเข้าออกยาว ๆ อย่างสบายด้วยตนเองโดยที่เขาไม่ต้องช่วยควบคุมแล้ว เป็นสัญญาณที่ยอดเยี่ยม
วิญญาณเปียกปอนของทั้งสองขึ้นจากธารน้ำริมป่าอาถรรพ์ของพระกาฬ เหนื่อยอ่อนแทบสลบ กฤตพรตก็ยืนไม่อยู่ ทรุดลงนั่งข้างเตียงของนางและฟุบหน้าลงครู่ใหญ่ เขาเอียงหน้าจุมพิตฝ่ามือของวิลาสินีน้อยด้วยความรู้สึกนับล้านที่ยากจะบรรยาย รู้สึกอ่อนแอและไร้กำลังกว่าที่เคยเป็นด้วยได้เสียชีวะในตัวไปมากมาย แต่ก็รู้สึกราวกับแข็งแกร่งด้วยได้ผ่านสมรภูมิที่น้อยคนจะเลือกผ่าน
วิทยาธรลึกลับผู้นั้นจากไปแล้ว ไม่ได้อำลาและไม่แม้แต่จะทันฟังคำขอบคุณ พร้อมกับกระโจมขาวและเครื่องมือต่าง ๆ ก็ทยอยจางหายไปด้วยราวกับไม่เคยปรากฏอยู่ในวันเวลานี้ คงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือแผ่นกระดาษที่เด็กหนุ่มกำไว้ในมือ
ต่อไปเขาควรจะเรียนวิชาแพทย์ให้มากขึ้น นอกเหนือจากการท่องจำกฎหมายและศิลปศาสตร์ ใครจะรู้ว่าคนสำคัญในชีวิตเขาจะตกอยู่ระหว่างความเป็นความตายเมื่อใด
ไม่นาน ทุกสิ่งที่เนรมิตไว้ก็อันตรธานสิ้น กฤตพรตกับวิลาสินีกลับมาอยู่ที่ริมลำธารที่เก่าตอนที่เขาปิดตาของนาง เขาคุกเข่าลงข้าง ๆ และตรวจชีพจร
มือกร้านแผ่เรือนผมของเด็กหญิงบนพื้นกรวด วัดดูว่าขึ้นยาวสมบูรณ์เหมือนเดิมแล้ว เส้นผมที่เขาเพิ่งเรียกให้งอกมาใหม่นั้นนิ่มและสะอาดผิดกับผมรอบ ๆ เดิมของนางที่พันกันเป็นสังกะตัง เจ้าชายหนุ่มอดไม่ได้สางไล้เกศานั้นอย่างใจเย็น เวทวิทยาจากฝ่ามือเขาชำระเอาฝุ่นผงต่าง ๆ ให้ทิ้งตัวร่วงลงไปในซอกหินกรวด
ในใจเขาคันไม้คันมืออยากจะหวีผมของวิลาสินีและยลมันชัด ๆ ยามสะอาดสะอ้านมาตั้งนานแล้ว นางมีผมหนาหอมและเงางามพิเศษอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะมันเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่บอกใบ้ว่า เด็กมอมแมมคนนี้จะเจริญวัยเป็นนงรามผู้ทรงเสน่ห์ อย่างน้อยก็ด้วยแสงระยับจากเรือนผมดังไหมของนาง
ก็ดี... เจ้าชายหนุ่มคิดในใจอย่างเลื่อนลอย แตะตรงหว่างคิ้วที่เขาปิดแผลให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่ยังรู้สึกอ่อนไหวแม้กับสัมผัสปลายนิ้วตนแท้ ๆ ...ยามนั้นนางจะได้พอดีถึงวัยสวมผ้าคลุมผม ปิดประกายลำเพาเงางามของมันไว้ นางไม่คู่ควรแก่บุรุษที่ชอบใช้สายตาจับจ้องประเมินค่าความงามเพียบพร้อมของสตรีเพื่อตกหลุมรักหรอก น้องสาวผู้ซุกซนนี้เหมาะแก่บุรุษที่รักนางแล้วก็จะเห็นความงดงามตามมาเอง หรือไม่ นางก็ไม่ตกเป็นสมบัติของบุรุษใด และโบยบินอยู่ในป่านี้อย่างนกที่ไม่รู้จักกรงขัง
แดดยามบ่ายคล้อยแยงตาของเด็กหญิง ไม่นานนางก็ขยับตัวและขมวดคิ้ว กฤตพรตสังเกตเห็นจึงเลื่อนตัวไปนั่งบังแดด นางผ่อนลมหายใจและหันหน้าไปข้าง ๆ เหมือนต้องการนอนต่อ
เขาส่งเสียงเรียกขึ้น เพราะอยากเห็นนางลืมตาขึ้นพูดจาเป็นปกติเต็มทนแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ...”
ดวงนัยนาสีเขียวอมเทาเหมือนท้องใบไม้ค่อย ๆ เปิดขึ้น กะพริบอยู่สองสามครั้ง สบกับเนตรนิลคมที่จ้องมอง วิลาสินีน้อยไม่พูดอะไรเลย ได้แต่มองเขานิ่งนานคล้ายถูกมนตร์สะกด คล้ายสับสน คล้ายเหม่อลอย
กฤตพรตยิ้มเล็กน้อย เป็นยิ้มที่บางเบาแทบจะมองไม่เห็น วิลาสินีเพิ่งเคยเห็นยิ้มนี้เป็นครั้งแรก ปกติเขายิ้มเจ้าเล่ห์คะนองเวลาเจอนางเสมอมา แต่นี่ เป็นยิ้มที่นางไม่เข้าใจ... ใบหน้าคมดูซีดกว่าปกติอย่างน่าแปลก แม้แต่เสียงก็นุ่มนวลกว่าพี่ชายขี้แกล้งที่รู้จัก
“ตื่นแล้วก็ลุกเถิด”
วิลาสินีพยักหน้า ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งตามที่เขาบอก ในหัวของนางมีแต่หมอกควัน มันค่อย ๆ จางลง และบางเหตุการณ์ก็หายไปพร้อมกับมันด้วยจนนางนึกหงุดหงิด พยายามจะนึกให้ออกแต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
กฤตพรตกล่าวอีกครั้ง “ลุกได้แล้วก็พูดอะไรหน่อยเถิด วิลาสินี เรียกเรา บอกมาว่าเราเป็นใคร”
“...เอ๊ะ...”
เสียงแหลมอุทาน มองหน้าเขาแล้วมุ่นคิ้ว เงียบอยู่นานจนกฤตพรตชักกลัว ว่านางนึกไม่ออกหรือว่าอะไร เขาเอื้อมมือไปสัมผัสด้านหลังศีรษะของนางและทำเหมือนอยากให้นางล้มตัวลงนอนใหม่ แต่วิลาสินีนั่งตัวตรงอยู่อย่างนั้นและยิ่งขมวดคิ้วแน่น ในที่สุดนางก็จับแขนเขาแล้วโพล่งถาม
“ฝ่าบาท...ทรงเสียพระจริตแล้วหรือเพคะ ตรัสถามมาได้ว่าพระองค์ทรงเป็นใคร ประทับนิ่งไปตั้งนานนี่ทรงรำลึกได้หรือยังเพคะ”
ทุกอย่างเงียบไปพักหนึ่ง ได้ยินแต่เสียงธารน้ำไหลและปลากระโดดงับแมลงจ๋อมแจ๋ม จากนั้นก็มีเสียงกฤตพรตหัวเราะเบา ๆ ค่อย ๆ ดังขึ้นขณะที่เจ้าชายหนุ่มก้มหน้าหัวเราะจนไหล่สั่นระริก ทั้งโล่งอก ดีใจ ซึ้งใจ สงสัยเขาชักจะบ้าอย่างนางว่าจริง ๆ กระมัง
เด็กหญิงได้แต่นั่งงง สักพักก็อ้าปากจ้อย ๆ ตามนิสัย
“เอ่อ...ฝ่าบาททรงพระสรวลอะไรเพคะ เสียพระจริตจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย... แล้วทำไมหม่อมฉันมาอยู่ตรงนี้ได้เพคะ หม่อมฉันจำได้ว่าตกจากหลังคาเมื่อกี้เองนี่นา แต่ว่าหายเจ็บแล้วเพคะ ฝ่าบาทรัชตะล่ะเพคะ”
“โอ น้องรัก... เจ้าเปื้อนดินเลอะเทอะไปหมดแล้ว เราพาเจ้ามาล้างตัว รัชตะถ่วงเวลากับพระอาจารย์อยู่”
“เอ๋...!? อ้าว งั้นก็รีบ ๆ สิเพคะ ฝ่าบาทก็ทรงเปื้อนด้วยนี่นา มา ๆ ลงน้ำกัน!”
ช่อดอกประดู่เหลืองทองโปรยปรายลงมาในลำธาร ผิวน้ำระยิบระยับสุกใสใต้ฟ้าเจิดจ้าเห็นเงาของทั้งสองร่างวักน้ำกระเด็นใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงหัวเราะของทั้งคู่ราวกับวิหคสองตัวเล่นน้ำเริงร่าในฤดูร้อน