เนตรมฤคี

276.0K · จบแล้ว
Helegriel ณ ชะอำ
26
บท
9.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เจ้าชายจอมอาคมอย่างกฤตพรต เกิดไปประลองธนูชนะ ได้วิลาสินี ธิดาพระฤาษีมาโดยบังเอิญ "เราบำเพ็ญตบะ ไม่ร่วมเพศ" เขาบอก นางอยากโสดก็ต้องดีใจสิ แต่ทำไม ชะตาถึงดลให้นางกลายเป็นฝ่ายปลุกปล้ำเขาเองเช่นนี้เล่า!

นิยายแฟนตาซีนิยายรักแม่ทัพแต่งงานสายฟ้าแลบหมอดราม่านางกำนัลโตมาด้วยแฟนตาซี พระเอกเก่ง

บทที่ 1 บทนำ ได้เวลาเลือกเจ้าบ่าว

ทางทิศใต้ของชมพูทวีปอันกว้างใหญ่สมัยโบราณ เลยจากแผ่นดินรูปรวงผึ้งลุ่มแม่น้ำคงคาอันอุดม ไกลออกไปกลางมหาสมุทรสีน้ำเงินสด มีเกาะใหญ่อันเป็นจักรวรรดิทางทะเลนามว่า ‘ฐิรังกา’

ตำนานว่า เมื่อแรกเริ่มที่เกาะนี้ผุดขึ้นจากอุระของพระสมุทรนั้น พระองค์ได้เสกให้เมฆพายุกลายเป็นม้าป่าสีดำ และปล่อยให้พวกมันท่องไปทั่วเกาะ ต่อเมื่อมีบุรุษมาปราบและขึ้นขี่พวกมันได้ บุรุษผู้นั้นจึงจะเป็นกษัตริย์ของฐิรังกา

นี่เป็นเหตุผลที่ราชวงศ์ฐิรังกาได้รับการเรียกขานว่า วงศ์อัศวิน (ผู้ขี่ม้า) และบรรดากษัตริย์ก็ทรงควบขี่อาชาสีดำสนิทประพาสตามที่ต่าง ๆ ในเมืองหลวงอยู่เสมอ

อย่างไรก็ดี ในวันนี้มีบุคคลอีกผู้หนึ่งที่ได้นั่งบนหลังม้าดำ แม้จะไม่ใช่วรรณะกษัตริย์...

เสียงผู้คนเฉลิมฉลองและภาพริ้วธงโบกสะบัดทั่วท้องถนนยามสาย ทำให้ฐิรังกานครแลดูสนุกสนานสวยงามราวกับเมืองฟ้า วังหลวงฐิรังกาบนเนินสูงเหนือบ้านเรือน ตามแนวของวังและมุมถนนสายหลักมีทหารยืนเรียงราย ลานศิลาหน้าวังเต็มไปด้วยข้าราชบริพารจัดสถานที่เฉลิมฉลอง

พวกพราหมณ์ประพรมน้ำมนต์ลงดินรอบวัง ส่วนพวกวิเสท (คนครัว ผู้ทํากับข้าวของหลวง) ก็ช่วยกันปรุงอาหารในหม้อที่สูงเท่ากับตัวคน ส่งกลิ่นหอมอบอวล เนื้อทรายตัวพ่วงพีถูกล้มเป็นมงคลก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นำมาย่างไฟราดน้ำผึ้งสำหรับเซ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อฉลองชัยเหนืออริราชศัตรู

ณ แท่นประทับลานศิลา เหล่าเจ้าชายฐิรังกากำลังสำราญกับบทขับลำนำยอพระเกียรติของกวีหลวง ลำนำนั้นแสนชื่นชมยินดีที่กองทัพฐิรังกาสามารถขับไล่กองทัพญานปุตต์ ชาวภาคพื้นทวีปที่พยายามแผ่ขยายอำนาจลงมาทางใต้ด้วยใจพาล

“นี่เจ้าพี่พรตหายไปไหน อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะได้ฤกษ์แล้ว”

เจ้ารามราเมศ เจ้าชายหนุ่มผู้งามสง่าถามดัง ๆ หลังจากคล้องมาลัยเป็นรางวัลแก่กวี

แม้จะเป็นเจ้าชายลำดับสอง แต่ด้วยเหตุที่กำเนิดจากพระนางคชารี มเหสีของท้าวฐิรังกา และเพียบพร้อมด้วยลักษณะของสัตบุรุษ รามราเมศจึงดำรงตำแหน่งรัชทายาท สายสังวาลเพชรรัตน์เป็นประกายคล้องบนแผ่นอกสีเข้มกำยำที่มีผ้าปักดิ้นทองพาดบ่า เขาดูผึ่งผายอยู่เสมอทว่าไม่หยิ่งผยอง

“เมื่อคืนเจ้าพี่พรตไปค้างข้างนอก คงติดทักทายชาวบ้านอยู่ระหว่างทางกลับมาวังกระมัง เจ้าพี่” สิงห์ศัตรุต เจ้าชายลำดับสามซึ่งเป็นองค์สุดท้อง ผู้ร่วมอุทรกับรามราเมศ ทอดสายตาไปรอบ ๆ แล้วยกจอกเหล้า เกศาดกหนาปรกใบหน้าคมสันที่ละม้ายกับพี่ชายนั้นยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย “หรือไม่...เจ้าพี่พรตอาจดอดไปช่วยตัดเนื้อกวางขึ้นพานเซ่นอยู่ก็ได้ หอมน้ำลายสออย่างนี้”

รามราเมศแย้มยิ้ม “ใครจะชอบหาช่องแอบกินของเซ่นไม่อายฟ้าดินเหมือนอย่างเจ้า”

จู่ ๆ เสียงรอบตัวก็ค่อย ๆ เงียบลง เหล่านางกำนัลที่หมอบอยู่ตามขั้นบันได และที่คอยปรนนิบัติพัดวี ซุบซิบถ้อยคำต่อ ๆ กันมา เป็นสัญญาณบอกให้เจ้าชายทั้งสองตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ปกติ พวกเขาชะเง้อคอมองลงไปด้านล่างของเนิน เพียงครู่เดียว สิงห์ศัตรุตผู้มีจักษุแหลมคมก็อุทานขึ้น

“นั่นม้าทรงของเจ้าพี่พรตไม่ใช่หรือ แต่คนขี่กลับเป็น...ฤๅษี?”

เพียงไม่นาน อาชาสีนิลกาฬก็แหวกผ่านผู้คนมาอย่างแช่มช้าและเลี้ยวเข้าสู่ลานศิลา ทุกคนจึงได้เห็นว่ามีฤๅษีผู้เฒ่านั่งบนหลังม้าจริง ๆ โดยมีเจ้าชายลำดับหนึ่งแห่งฐิรังกาเป็นผู้จูงบังเหียนม้า

เจ้ากฤตพรตกวาดสายตาผ่านข้าราชบริพารที่พากันหลบสายตาด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงหน้าไร้รอยยิ้ม เรือนกายสูงฉวีสีเข้มงามคล้ายกับน้องชายร่วมบิดาทั้งสองทว่าโปร่งกว่า ไม่เห็นเส้นเลือดปูดโปนบนกล้ามเนื้อ และไม่มีรอยแผลจากการต่อสู้ตามร่างกาย ทั้งยังประดับเครื่องทรงทองคำน้อยชิ้น ผ้าพาดไหล่ซ้ายของเขาก็เป็นไหมสีขาวเรียบไร้ลวดลาย ดูธรรมดาอย่างที่สุด แต่บนไหล่กว้างกลับมีนกจาบฝนตัวหนึ่งบินมาเกาะ

เขาก้าวเดินผ่านผู้คนอย่างสงบ แต่ละก้าวที่เหยียบย่างไปมั่นคงและเงียบเชียบ

บรรยากาศยำเกรงปนรังเกียจรอบตัวเช่นนี้อาจทำให้คนอึดอัดใจ แต่กฤตพรตดูจะชินเสียแล้ว... ชาวบ้านว่ากฤตพรตกระทำมาตุฆาตแต่กำเนิด เพราะเป็นเหตุให้มารดาที่เป็นสนมตกโลหิตตายระหว่างคลอด อีกทั้งไม่มีลักษณะของกษัตริย์แม้แต่น้อย เพราะเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินย่อมมีสุรสีหนาทก้องกังวานน่าเกรงขาม เหมือนอย่างรามราเมศ แต่กฤตพรตทั้งพูดน้อยและพูดเบา

ที่สำคัญ วรรณะกษัตริย์นั้นเป็นพาหา (คัมภีร์พระเวทอธิบายว่า วรรณะทั้งสี่เกิดจากส่วนต่างๆของร่างกายปุรุษะ ผู้พลีกายสร้างมนุษย์ ซึ่งในไทยบางครั้งแปลงเป็นพระพรหม กล่าวคือ ปากเกิดเป็นพราหมณ์ คือนักบวชใช้ปากสวดและสั่งสอน แขนเกิดเป็นกษัตริย์ คือนักรบใช้แขนควบคุมอาวุธ ต้นขากลายมาเป็นแพศย์ คือผู้ทำเกษตรและเดินทางค้าขาย และเท้าเป็นศูทร คือผู้ใช้แรงงานของสามวรรณะแรก) สมควรจะชำนาญการรบทัพจับศึก เหมือนอย่างสิงห์ศัตรุต แต่กฤตพรตก็หาได้ฝึกฝนร่ำเรียนวิชาอาวุธไม่ กลับไปอยู่ป่าดงตั้งแต่เล็กราวกับเป็นวานรตัวหนึ่ง เช่นนี้จะหาประโยชน์กระไรได้

ตั้งแต่กลับมาอยู่วังถาวรเมื่ออายุสิบหก จนบัดนี้ผ่านมาสี่ปีแล้ว กฤตพรตก็คล้ายไม่แยแสคำวิจารณ์ ไม่ได้แก้ข่าวหรือสร้างความนิยมต่อราษฎรด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น กลับแยกตัวอยู่ในตำหนักของตนที่ขยายบริเวณใหญ่ขึ้นทุกที นับวันยิ่งทำให้ผู้คนคลางแคลงใจ

แต่จะสำคัญอันใดเล่า ตราบที่ครอบครัวคนใกล้ชิดของเขารู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร และเขารู้ตัวเองดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว...มิใช่หรือ

รามราเมศและสิงห์ศัตรุตรีบลุกขึ้น ประนมมือวันทาพระฤๅษีและพี่ชายของตนตามลำดับ

กฤตพรตเชิญพระฤๅษีลงจากม้า และท่านก็เหวี่ยงขาลงอย่างคล่องแคล่วผิดท่าทาง เครากับผมของพระฤๅษีนั้นยาวมาก ห้อยลงราวกับรากไทรทั้งที่แบ่งเกล้าเมาลีไว้เป็นก้อนขดทับขวัญแล้วบางส่วน ทว่าผิวหนังกรำแดดกลับไม่เหี่ยวย่นเท่าที่ควร เลยทำให้ยากจะคาดเดาว่าท่านอายุเท่าใดกันแน่

“นมัสการท่านผู้เจริญ เป็นบุญของวังฐิรังกาที่ท่านมาเยือนในวันเช่นนี้” รามราเมศกล่าวปราศรัยอย่างอ่อนน้อม “ข้ากับอนุชาได้นำกองทัพเรือขับไล่พวกพาลญาณปุตต์ออกไปจากน่านน้ำ จึงเห็นควรฉลองชัยเพื่อบำรุงขวัญกำลังของทหาร พวกเขาคงปีติที่จะได้พรอันมงคลจากท่าน”

“เจริญพร ราชบุตรทั้งสอง เราไม่ได้มาเพื่อการนี้หรอก” พระฤๅษีหัวเราะแผ่ว ๆ “เราคือสิทธิสวามิน มาจากป่าประดู่ทางใต้โน้น เราบังเอิญพบกับฝ่าบาทกฤตพรตที่ประตูนคร พระองค์ทรงสละม้าทรงให้นั่งเพื่อแสดงกตัญญุตา เราจึงมาถึงเร็วกว่าที่คาด จนขัดจังหวะงานฉลอง อันที่จริงแล้ว เราเพียงแต่จะมาทูลแจ้งข่าวบางอย่างเท่านั้น แล้วก็จะไปตามทางของเรา”

เมื่อท่านเอ่ยเช่นนั้น เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นหึ่งเหมือนฝูงผึ้ง ใคร ๆ ในฐิรังกาก็ล้วนรู้ว่า สิทธิสวามินเป็นฤๅษีที่ทรงเวทวิทยาอาคมขมังที่สุดในจักรวรรดิ และเป็นพระอาจารย์ผู้ดูแลกฤตพรตในช่วงที่ถูกท้าวฐิรังกากับพระมเหสีส่งไปอยู่ไพรเถื่อน ทว่าสิทธิสวามินไม่เคยปรากฏกายในเขตวังหลวงมาก่อน ดังนั้นทุกคนจึงตื่นเต้นไม่น้อย

ฤๅษีโยคีและนักสิทธิ์วิทยาเป็นกลุ่มชนที่แปลก พวกเขารอบรู้ในมายาศาสตร์ มีความคิดความต้องการอิสระของตัวเอง ไม่ดำเนินชีวิตตามกรอบหน้าที่แห่งชนชั้นวรรณะอย่างคนทั่วไป ที่สำคัญ ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใดเลยแม้แต่จากพระเจ้าแผ่นดิน

บางครั้งพวกเขาร่วมมือกับราชสำนักเพื่อช่วยเหลือผู้คน เช่นยามมีภัยธรรมชาติร้ายแรง แต่บางครั้งก็วางเฉย ราวกับไม่ไยดีความเป็นไปในโลก

โดยเฉพาะยามสงครามอันเกิดจากการชิงอำนาจระหว่างอาณาจักร กษัตริย์หลายพระองค์ปรารถนาจะได้รับความช่วยเหลือจากชนกลุ่มนี้ แต่ไม่ว่าจะอัญเชิญโดยประทานลาภยศสรรเสริญประการใด พวกเขาก็ดูจะไป ๆ มา ๆ ตามใจชอบเหมือนเคย สิทธิสวามินเองก็เช่นกัน

“นี่เป็นข่าวถึงฝ่าบาททั้งสาม... ในวันเดือนเพ็ญที่จะถึงนี้ เราจะแต่งการสยุมพร (พิธีเลือกคู่ของหญิง) ให้แก่วิลาสินี บุตรีของเรา ซึ่งเจริญวัยอันเหมาะควรจะออกเรือนได้แล้ว ด้วยการจัดประลองธนูตามประเพณีบุราณ และได้ป่าวประกาศให้เจ้าชายนครต่าง ๆ ได้รับทราบทั่วกัน”

ฟังแล้วสิงห์ศัตรุตกะพริบตาปริบ ๆ หันมองหน้ากฤตพรตผู้นำฤๅษีมาหา

“สยุมพรเนี่ยนะ...”

ในยุคนั้น ไม่ใคร่มีการสยุมพรบ่อย ๆ อีกแล้ว คนนิยมหมั้นหมายตั้งแต่เกิดหรือสู่ขอกันและกันมากกว่า พิธีสยุมพรที่ยังมีอยู่มักจัดโดยกษัตริย์ที่มีพระธิดางามเลิศล้ำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือโดยผู้ที่มั่นใจว่าบุตรีของตนคู่ควรแก่วีรบุรุษที่มีฤทธิ์เดชพิเศษกว่าคนธรรมดา ซึ่งพระฤๅษีป่าประดู่นับเป็นพวกหลังนี้

คนปากไวเกือบจะพูดว่า นี่มันสมัยไหนแล้วหนอ ฤๅษีป่าประดู่ช่างไม่ทันโลกเสียเลย แต่ก็หวาดกลัวจะโดนสาปอยู่บ้าง จึงกัดปากตนไว้

รามราเมศเองก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับอย่างสุภาพ

“ได้ยินข่าวอันเป็นมงคลเช่นนี้ เราทั้งสามจะเมินเสียได้อย่างไร ย่อมไปร่วมพิธีสยุมพรและลองวาสนากับบุตรีของท่านอย่างสุดความสามารถ”

กฤตพรตมุ่นขนงเล็กน้อย ธิดาของฤๅษีป่าประดู่ย่อมมีฤทธิ์ไม่น้อยไปกว่าบิดา ต่อให้ไม่เรียนเวทวิทยาเลย สายเลือดของนางก็จะให้กำเนิดผู้มีอาคมขมัง แทนที่สิทธิสวามินจะจัดหาทาบทามคู่ครองที่เหมาะสมที่สุดให้นาง กลับจะจัดพิธีสยุมพรเช่นนี้ ย่อมต้องมีเจ้าฟ้าจากนครต่าง ๆ กรูกันมาแย่งชิงนางเป็นแน่ และทุกที่ที่มีเจ้าฟ้าจากต่างเมืองมาแย่งชิงสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าแผ่นดินหรือสตรี เขาล้วนไม่ไว้วางใจ

“ในวันงานข้าจะนำทหารไปป่าประดู่ด้วย เผื่อเกิดการจลาจล” กฤตพรตค้อมศิระให้แก่อาจารย์อย่างเคร่งขรึม

เมื่อสิทธิสวามินหันหลังจากไปแล้ว โดยเดินทักทายให้ศีลให้พรชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง จนโดนฝูงชนรุมเข้าใกล้แทบมองไม่เห็นร่าง เจ้าชายฐิรังกาทั้งสามก็หันมองหน้าสบตากัน

“เจ้าพี่พรตคงจะเคยพบนาง ใช่ไหม” สิงห์ศัตรุตเอ่ย กฤตพรตเลิกคิ้ว พยักหน้าทีหนึ่ง แน่นอนตอนเด็ก ๆ เขาเป็นศิษย์ฤๅษีป่าประดู่ ย่อมเคยเป็นเพื่อนเล่นกับวิลาสินี “นางเป็นอย่างไร งามวิลาสสมชื่อวิลาสินีหรือเปล่าเจ้าพี่” น้ำเสียงนั้นออกขี้เล่นและกระตือรือร้นตามประสาคนเจ้าชู้

“หึ ครั้งสุดท้ายที่พี่เห็น นางเป็นแค่เด็กมอมแมม ไม่รู้หรอกป่านนี้เป็นเช่นไร” เจ้าฐิรังกาลำดับหนึ่งยักไหล่เบา ๆ นกจาบฝนที่เกาะบนไหล่นั้นร้องออกมาทีหนึ่ง แสงแดดยามสายตกกระทบใบหน้าซีกหนึ่งของกฤตพรตเป็นภาพที่ชวนมอง

“น่าเห็นใจเหมือนกันเนอะ เกิดนางไม่สวยหยดขึ้นมานะ เจ้าชายทั้งหลายมีอันได้เกี่ยงกัน ขายหน้าเหมือนพิธีสยุมพรเจ้าหญิงที่เมืองโภคะห้าปีก่อนนั่นน่ะ” ผู้เป็นน้องเล็กถอนใจ

รามราเมศเผยยิ้มน้อย ๆ ในวันงานฉลองมงคลเช่นนี้ เขาหาได้พกคันธนูไว้กับตัวไม่ เพื่อแสดงให้ราษฎรเห็นว่าชัยชนะเหนือญานปุตต์ครั้งนี้ทำให้บ้านเมืองปลอดภัยจนไม่ต้องถืออาวุธ แต่หากเป็นวันปกติแล้วละก็ กระทั่งยามนอนก็ยังยากจะแยกรามราเมศกับคันศรสีทองคู่มือของเขาได้ แม้กระนั้น ผู้ที่มีโอกาสชนะการประลองสยุมพรมากที่สุดก็ยังเย้าพี่ชาย

“จะว่าไป... บุตรีฤๅษีป่าประดู่ก็เหมาะกับผู้ทรงเวทอยู่นะ เจ้าพี่พรต เสียดายที่เจ้าพี่ไม่ใช่บุรุษแม่นธนู”

กฤตพรตเพียงแต่ส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจเรื่องสตรี ก่อนจะเดินไปนั่งที่แท่นของตน เขาโบกมือให้นางกำนัลรินน้ำใส่ถ้วย จากนั้นจึงเชิญนกจาบฝนบนไหล่ให้กระโดดลงมาตามแขน เพื่อลงไปกินน้ำสะอาดในถ้วยนั้น เจ้าชายหนุ่มมองดูปักษาน้อยตีปีกจนน้ำกระเซ็นเริงร่าและใช้ปลายนิ้วลูบหัวของมันอย่างอ่อนโยน ผิดกับสีหน้าที่แลดูนิ่งขรึมเย็นชาเป็นนิจ

***

มือเรียวนุ่มนวลของหญิงสาวลูบไล้ไปตามลายแต้มสีขาวบนหลังกวางดาว เรือนผมหนาสยายกระจายทับลายดาวนั้นเมื่อนางพลิกตัว ศีรษะซึ่งหนุนนอนบนหลังมฤคีขยับขึ้นลงน้อย ๆ ตามจังหวะหายใจของมัน

วิลาสินีขดกายตะแคงอยู่บนพรมหญ้าอ่อน ท่ามกลางฝูงกวางที่กำลังพักผ่อนอาบแดดยามสาย

หญิงสาวถักเส้นหญ้ายาวนุ่มเข้าเป็นรัดเกล้า คาดหน้าผากที่แต้มน้ำมันใส นางไม่สวมผ้าคลุมผมและสร้อยกรองคอ กลิ่นไอดินน้ำค้างจึงกรุ่นอยู่ตามเส้นผมและเนื้อตัวของนาง ในรอยพับส่าหรีสีส้มอ่อนมีดอกประยงค์ปลิวมาจากร่มไม้ร่วงลงติดพราว

นัยน์ตาเรียวเฉียงสีเขียวอมเทามองดูก้อนเมฆที่บังดวงอาทิตย์บนฟ้า ทิศทางลมกำลังเปลี่ยน ลมเหนือกำลังหอบฝนมา

สาวน้อยยันกายขึ้น ชักชวนให้นางมฤคีลุกขึ้นด้วย ฝูงกวางควรเตรียมหาที่กำบัง และนางก็ควรกลับบ้าน

“โอ๊ย... แต่ข้าไม่อยากกลับบ้านเลย”

เสียงแหลมบ่นโอดครวญกับแม่กวางท้องแก่ที่เดินเข้ามาถูจมูกกับหลังมือของนาง วิลาสินีเกาใบหูให้มันและซบกอดไว้ นางทำตัวเป็นเด็กงอแงอีกแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้เล่า

“ข้าไม่อยากแต่งงานนี่ สยุมพรยิ่งแล้วใหญ่ อย่างกับสุ่มผู้ชายแปลกหน้ามาเป็นสามีเลย ทำไมท่านพ่อถึงไม่เข้าใจข้า เข้าบ้านเป็นได้เทศนาแต่เรื่องหน้าที่ภรรยา... ก็ข้ายังไม่อยากเป็นภรรยาใคร” วิลาสินีพึมพำอย่างน้อยจิต สบตาพ่อกวางเขางามเนื้อล่ำสันที่ดูจะไม่เห็นด้วยกับนาง “อะไรกัน! เจ้าว่าข้าไม่มีเหตุผลหรือ... นั่นสินะ กวางก็เลือกคู่แบบนี้เหมือนกัน เพศผู้ประลองกันเพื่อชิงเพศเมีย ให้ตายสิ แต่ข้าเป็นคนนี่นา! คนไม่ได้เลือกผู้ชายที่แข็งแรงหรือมีเขาสวยนะ รู้รึเปล่า”

กวางหลายตัวมองนางอย่างสงกา วิลาสินีได้แต่ถอนใจ พูดไปก็ป่วยการ จริงอยู่ว่านางไม่ได้ตัดสินบุรุษที่ร่างกายและหน้าตา แต่ก็นั่นแหละ แล้วควรจะดูที่สิ่งใดกัน

“ไม่รู้สิ ถ้าเลือกได้ข้าก็อยากได้ใครสักคนที่...ใจดี...” เสียงแหลมเล็กหยุดไปพักหนึ่ง ไล้มือไปบนสันจมูกของแม่กวาง เงาในดวงตาของมันสะท้อนให้เห็นเนตรเรียวสวยสดใสของวิลาสินี รวมถึงดวงหน้าที่งามจบทั่วภพไตรแห่งยุคนั้น แม้ว่าเจ้าของจะยังไม่รู้ตัวก็ตาม “คนที่พวกเจ้าจะยอมให้ลูบหน้าและลำตัวแบบนี้... คนที่มือไม่จับธนูล่าสัตว์”