บทที่ 2 ทางรอดของหญิงงาม
วิลาสินีสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างมึนงง กายร้อนรุมชื้นเหงื่อ ขมับปวดตุบ ความปวดหน่วงตรงช่องท้องที่ไม่คุ้นเคยทำให้นางตกใจ เพดานอาศรมของพระฤๅษีป่าประดู่ผู้บิดาแลดูพร่ามัวและแปลกตาในแสงแดดสีม่วงยามใกล้รุ่ง
ร่างงามผุดผาดสีน้ำผึ้งค่อย ๆ ยันตัวขึ้น ขณะที่กุมหน้าผาก ครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายเป็นไข้ ก่อนจะพบว่ามีโลหิตไหลจากหว่างขาของนาง
“ตายแล้ว...”
เสียงแหลมกระซิบ กระโดดผลุงลงจากเบาะนอน หย่อมเลือดสีน้ำตาลแดงเกรอะกรังเด่นชัดบนผ้าแพรเก่า ๆ ที่ขึ้นขุยเพราะนางใช้มาตั้งแต่เด็ก กลิ่นคาวแทนหลักฐานการมาเยือนของวัยสาวสะพรั่ง วิลาสินีเกือบจะสบถคำแต่ก็รีบยกมือตะครุบปากตัวเองไว้ ปล่อยให้ลอดออกมาแค่เสียงครางหงิง ๆ
“ฮือ... ไม่จริง...”
มือคล่องแคล่วรีบดึงผ้าปูที่นอนซึ่งเปื้อนระดูครั้งแรกของนางออก กำลังจะหอบมันวิ่งออกจากห้อง แต่แล้วก็ชะงักขา หญิงสาวหันกลับมายกเบาะนอนพลิกเอาด้านที่เปื้อนเลือดคว่ำลงซ่อนไว้ จากนั้นจึงวิ่งจี๋ลงจากอาศรมอย่างพยายามจะให้มีเสียงน้อยที่สุด ร่างกายของนางปราดเปรียวว่องไวเหมือนกวางตัวหนึ่ง กระโจนตัดผ่านแนวต้นประดู่โปร่งมุ่งไปยังลำธาร
พรึ่บ!
ปลาในลำธารว่ายแตกหนีกระเจิงเมื่อวิลาสินีเหวี่ยงผ้าปูที่นอนลงไป ฝ่าเท้าเปล่าย่ำบนก้อนกรวดสีดำแบนลื่นจมน้ำลงไประดับน่อง ลำขาของนางแข็งแรงทรงตัวได้มั่นคงในกระแสน้ำ วิลาสินีสะบัดผ้า จากนั้นจึงทรุดตัวลงก้มซักขยี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แสงอรุณฉายผ่านร่มไม้ลงมาทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยับ มันสะท้อนเข้าตาหญิงสาวจนรู้สึกว่าน้ำตาเอ่อคลอ
ต้องซักเอารอยเลือดนี้ออกให้ได้... นางจะคงเป็นเด็กต่อไป! ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม นางจะยังไม่เป็นอิสตรี นางจะไม่ย้ายออกจากอาศรมของพ่อ นางจะอยู่...
ดวงเนตรสีเขียวอมเทาของนางตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกว่ามีคนมอง นางตัวแข็งไปทันที
สิทธิสวามินยืนนิ่งอยู่ใต้ร่มไม้ อาภรณ์ผ้าเปลือกไม้และหนวดเคราขาวปลิวน้อย ๆ ด้วยสายลมบริสุทธิ์ยามเช้า ท่านเงยหน้าขึ้นพินิจพิจารณาช่อดอกประดู่สีเหลืองสดดุจหางกระรอกทองคำ มันส่ายไหว ๆ เหมือนคนโบกมืออำลา
“...ท่านพ่อมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรคะ” วิลาสินีกลืนน้ำลาย ขยุ้มผ้าป่านไว้ในมือ พระฤๅษียังคงมองดอกไม้ ยกมือขึ้นลูบเปลือกประดู่แตกระแหง
“เมื่อเที่ยงคืน” เสียงกังวานผิดกับวัยกล่าวตอบ เลื่อนดวงตาสีเขียวอมเทาแบบเดียวกันมาสบ “อาศรมอยู่ไม่ได้... มันชายคาเดียวกับผู้หญิงสองต่อสอง”
วิลาสินีเม้มปาก น้ำตาปริ่มจะไหลแต่ก็ร้องไม่ออก หยดเลือดระดูไหลเปื้อนตามขาลงไปในน้ำ นึกน้อยใจและเสียใจเหลือประมาณ หากเกิดเป็นบุรุษ นางจะอยู่ปรนนิบัติรับใช้บิดาที่นี่ต่อนานเท่าไรก็ได้ แต่นี่นางเป็นสตรี แม้จะเป็นลูกสาวแท้ ๆ ก็จำต้องจากไป ด้วยถือเป็นศัตรูต่อเพศดาบสพรหมจรรย์
“มันเป็นความผิดของข้าหรือคะ ที่เป็นผู้หญิง” นางตัดพ้อ กระทืบเท้า “ข้าอยากอยู่กับท่านพ่อ! ข้าจะปลงเพศบวชเป็นดาบสินี!”
“จงระวัง อย่าได้กล่าววาจาเลื่อนเปื้อน... เจ้าหรือจะเป็นดาบสินี เพียงละจากความบันเทิงสนุกจากเพลงเสียงนกและที่นอนอันอ่อนนุ่มยังมิได้” พระฤๅษีกล่าวเป็นเชิงตักเตือน “ตัวเจ้าในยามนี้ ก็ถึงวัยคฤหัสถ์ (วัยครองเรือน) ที่สมควรสร้างครอบครัว หากเมื่อแก่ถึงวัยสันยาสี (วัยแสวงหาความสงบ) เจ้ายังต้องการเป็นดาบสินีจริง ก็สมควรแก่เวลา... ตอนนี้จงไปใช้ชีวิตของเจ้าเถิด”
ในชมพูทวีปเชื่อกันว่า ชีวิตมีช่วงวัยและเวลาอันเหมาะควรแก่การกระทำต่าง ๆ ดั่งเมล็ดของพืชที่ค่อย ๆ งอกต้นกล้าอ่อน เจริญเติบโตขึ้นเป็นพฤกษา ออกดอกผลตามฤดูกาล หยั่งรากลึกแผ่กิ่งใบกว้างเป็นร่มฉัตรแก่สรรพสัตว์ และแก่ลงผุพังไปอย่างสง่างามตามธรรมชาติ... ชีวิตมนุษย์ก็เช่นกัน ไม่สมควรจะฝืนให้ทำเรื่องผิดช่วงวัย และไม่สมควรจะละเว้นจากการกระทำตามวัย
วิลาสินีเข้าใจดีว่า เมื่อเป็นเด็กต้องเที่ยวเล่นดูความมหัศจรรย์แห่งพิภพและใฝ่ใจทุ่มเทกับการศึกษา เมื่อหนุ่มสาวก็ต้องสัมผัสอารมณ์รักหาคู่ครอง ช่วยกันสร้างครอบครัวด้วยการประกอบสัมมาอาชีพ... นี่คือวัยที่มาเยือนวิลาสินีแล้วในยามนี้ นี่คือวิถีของโลก
สาวน้อยเพียงแต่รู้สึกไม่พร้อม และคิดว่าคงไม่มีวันพร้อม การสมรสกับบุรุษสักคนคล้ายกรงขังขนาดใหญ่กำลังจะครอบลงมารอบโลกใบเล็ก ๆ ที่นางมี คล้ายเป็นมืออำมหิตเด็ดปีกของนาง นางจะไม่สามารถวิ่งเล่นอย่างเสรีในทุ่งหญ้าอีกต่อไป นางจินตนาการเห็นได้เพียงแต่ภาพตัวเองก้มหน้าก้มตาทำงานบ้าน ปรุงอาหาร ปรนนิบัติสามี เลี้ยงลูกมากมายเต็มบ้านหัวปั่น สูญเสียเวลาและโอกาสและตัวตนและทุกอย่างที่เคยเป็นของนาง
มีเหตุผลกลใดสามารถผลักดันให้ผู้หญิงคนหนึ่งปรารถนาและพร้อมจะใช้ชีวิตเช่นนั้น...นางนึกไม่ออกจริง ๆ
“ท่านพ่อ...จะไล่ข้าไปอยู่เสียที่ไหนคะ” วิลาสินีถาม กระแอมให้เสียงที่สั่นเทาพูดแล้วฟังพอรู้เรื่อง “พิธีสยุมพรกำหนดจัดอีกตั้งห้าวัน ระหว่างนี้ข้าอยู่กับท่านพ่อไปก่อนไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้” พระฤๅษีตอบ ผินหน้ามองไปทางอาศรม “เรื่องที่พัก พวกสานุศิษย์มาแสดงน้ำใจ ช่วยตั้งกระโจมแยกจากอาศรมให้เจ้าแล้ว ประเดี๋ยวคงเรียบร้อยพร้อมให้เจ้าอยู่ชั่วคราวช่วงห้าวันนี้ แล้วก็ใช้เป็นโรงพิธีสยุมพรต่อเลย”
“อะไรนะคะ!” หญิงสาวตกใจจริง ๆ จัง ๆ ว่าพ่อของนางเตรียมการอะไรกับลูกศิษย์โดยที่นางไม่รู้เรื่องเลย ทั้งที่อยู่ด้วยกันทุกวันได้อย่างไร “หมายความว่าข้าต้องย้ายออกจากอาศรมเดี๋ยวนี้เลย!?”
“ซักผ้าอาบน้ำให้เสร็จ แล้วกลับไปผลัดเสื้อผ้าใหม่ สวมผ้าคลุมผมให้เรียบร้อยเสียก่อน จากนั้นค่อยย้ายข้าวของของเจ้าออกไปจากอาศรม”
เท่านี้ก็ชัดแล้วว่าถูกขับไสอย่างไร้เยื่อใย ฤๅษีป่าประดู่หันหลังหมุนตัวหายวับเหมือนไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน บางทีในความรู้สึกของท่าน อารมณ์และสายสัมพันธ์กับบุตรีอาจเป็นเสมือนบ่วงร้อยรัดทางโลกที่ท่านตัดทิ้งได้เสียนานแล้ว ตั้งแต่วันที่ท่านละจากชีวิตฆราวาสหลังภริยาเสียไปหลายปี วิลาสินีนั้นท่านเลี้ยงไว้อย่างเมตตารับผิดชอบให้นางมีสุขตามอัตภาพเท่านั้น และปล่อยให้มีชีวิตของนางเอง ไม่ได้ประสงค์บังคับควบคุมดูแลอย่างบิดาทั่ว ๆ ไป
นางอยากเปลือยอก สยายผม นอนเล่นกับฝูงกวางก็ตามแต่อำเภอใจ จะเข้าป่าลึกไปหาผลหมากรากไม้โดยลำพังก็ไม่เคยเป็นห่วง จะวิ่งจะกระโดดโลดเต้นอย่างเด็กผู้ชาย นั่งกางแข้งขาไม่สำรวมก็ตามที ท่านไม่เคยตักเตือน
แต่วันนี้บิดาสั่งให้นางสวมผ้าคลุมผม ให้นางออกไปจากอาศรมไป วิลาสินีได้แต่ยืนอึ้งอยู่ในลำธารแห่งนั้น ผ่านไปหลายนาทีจึงแผดเสียงร้องไห้
“ก็ได้! ข้าจะไปก็ได้! ข้าไม่อยู่กับท่านพ่อแล้ว ท่านพ่อหุงข้าวเอง ซักจีวรเอง สานข่ายดักปลาเอง เก็บผลไม้เองก็แล้วกัน! ฮึก! ทำไมข้าต้องเสียใจด้วย สยุมพรเสร็จข้าจะไปอยู่เมือง ไปใช้เงินทอง ไปเดินถนน ข้าจะไม่ลำบากแล้ว... เชิญท่านพ่ออยู่ป่าคนเดียวไปเลย!”
เป็นเพราะระดูครั้งแรกของนางรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ วิลาสินีโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเสร็จก็สะอึกสะอื้น ขยี้ผ้าแรง ๆ เสียจนแสบมือ น้ำก็เย็นจัดแทบจะบาดผิว โอ นางรักลำธารใสเย็นแห่งนี้มากเพียงใด มีถ้อยคำใดมาบรรยายได้เล่า นางรักป่าแห่งนี้ขนาดอยากยึดเป็นเรือนตาย... ตอนยังเด็กไม่เกินสี่ขวบ สมัยที่สิทธิสวามินยังไม่ออกบวช ทว่าประกอบอาชีพแพทย์อยู่ วิลาสินีก็เคยเป็นคนเมืองมาก่อนแล้ว แม้จะแค่ไม่กี่ปี และจำรายละเอียดอะไรแทบไม่ได้ นางก็รู้ว่าในฐิรังกานครนั้น จะหาความบริสุทธิ์และความยิ่งใหญ่ไพศาลอย่างธรรมชาติที่นี่หามีไม่
เหล่ากวางเพื่อนรักของนางจะชะเง้อชะแง้คอยหานางทุกเช้า สงสัยว่าทำไมนางจึงหายไปหรือไม่นะ... วิลาสินีปาดน้ำตา บิดน้ำออกจากผ้าปูที่นอน นางอยากไปใช้เวลากับพวกมันให้มากที่สุดในช่วงห้าวันที่เหลือนี้
หลังจากตากผ้าและแต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย โดยใช้ผ้าทบซ้อนกันสวมรองเลือดอย่างเก้ๆกังๆ วิลาสินีก็เดินมาด้านหน้าอาศรมอย่างระมัดระวัง มือกดลูกผมดื้อดึงที่พาลจะโผล่ชี้ออกมาพ้นผ้าคลุมตรงแถวหน้าผากตลอด
ห่างจากอาศรมไปไม่เท่าไรนัก มีกระโจมสีขาวทรงฉัตรหลวงมาตั้งไว้แล้ว และมีเสียงพูดคุยเบา ๆ ดังมาจากข้างใน หน้าประตูกระโจมมีทหารยืนเฝ้าอยู่ ดูทีว่าสานุศิษย์ของพระฤๅษีป่าประดู่ที่มาช่วยปลูกกระโจมจะเป็นพวกเจ้าแผ่นดินตามเคย วิลาสินีไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก ยังคงติดอยู่ในอารมณ์เสียใจขณะลากห่อเสื้อผ้าลงบันไดอาศรม
ร่างสูงของบุรุษหนุ่มในเครื่องทรงกษัตริย์สองสามคนเดินออกมาจากกระโจม พวกเขาชะงักเท้าแทบจะพร้อมกันทันทีที่เห็นวิลาสินี หญิงสาวเงยหน้า สบกับสายตาตะลึงเหล่านั้นแล้วตกใจไปด้วยว่ามีอะไรผิดปกติ นางมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ห่อเสื้อผ้าพอดีไถลลงมาจากบันไดลงไปที่พื้น
บุรุษอีกสามสองคนทยอยกันออกมาจากกระโจม แล้วก็ชะงักเท้าอีกเหมือนกัน แต่วิลาสินีไม่ได้ใส่ใจเพราะกำลังผูกปมห่อผ้าใหม่อยู่ จนกระทั่งชายหนุ่มผู้โพกผ้ารอบศีรษะผู้หนึ่งปราดเข้ามาช่วย
“ขออนุญาตเถิดเจ้า ให้เราช่วยดีกว่า” เขาบอก
วิลาสินียิ้มพยักหน้าขอบคุณอย่างเป็นมิตร ทำเอาอีกฝ่ายตะลึงไปน้อย ๆ หญิงสาวจ้องหน้าเขา พินิจดูรูปคิ้วตรงใต้ผ้าโพก และโครงแก้มที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน จากนั้นนางจึงยิ้มร่ากว้างกว่าเดิม
“อ๋อ ฝ่าบาทรัชตะ! ฝ่าบาทรัชตะใช่ไหมเพคะ ไม่ได้พบกันเสียนาน” เสียงแหลมใสดีใจ จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าอนุวงศ์จากกรุงฉัตรเสน เจ้าชายหนุ่มไม่ใช่เจ้าฟ้า ดำรงยศแค่ระดับเล็ก ๆ แต่ก็แกล้วกล้าสามารถมากจนได้รับการยอมรับจากเจ้าฟ้าทั่วไปให้เข้าสมาคมด้วย
ชายหนุ่มที่ไม่ได้พบกันนานถึงกับตกประหม่าหน้าแดงด้วยเห็นรอยยิ้มนั้น นึกตอบกระไรไม่เป็นคำ ตอนเด็กเขาเคยมาเรียนกับพระฤๅษีป่าประดู่และเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทกับนาง แต่ใครจะคาดฝันว่า วิลาสินีเจริญวัยขึ้นจะงามจับใจถึงเพียงนี้ นางดูราวกับเทพธิดา ดวงหน้าอ่อนเยาว์ไร้ที่ติไม่ได้คลุมด้วยผ้าบาง ๆ อย่างสาวชาววังขี้อาย ทว่าเผยสู่ทุกสายตา ผิวนวลน้ำผึ้งไม่ได้ผัดแป้งแต้มชาดแม้แต่นิด ซึ่งก็ไม่จำเป็นเพราะริมฝีปากอิ่มและพวงแก้มใสก็ซับสีเลือดฝาดสุขภาพดีอยู่แล้ว ดวงตาสีเขียวอมเทาอยู่ใต้แสงแดดดั่งว่าพลอยเขียวส่อง ยิ่งพอนางแย้มยิ้มสดใส หัวใจคนมองก็สั่นไหวใหลหลงด้วยตกเป็นทาสเสน่หา
วิลาสินีเลิ่กลั่กอีกหน เห็นเจ้าชายนิ่งเงียบไปไม่ตอบพจมาน ก็เกรงว่ากำลังกริ้ว นางยิ่งไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมชาววังเสียด้วย
“ม..หม่อมฉันทำอะไรผิดไปรึเปล่าเพคะ”
“เปล่า! เปล่าหรอก... เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าทำหน้าเช่นนั้นเลยนะ” รัชตะรีบบอก ส่งถุงเสื้อผ้าของนางให้ทหารของเขาเข้ามาขนไป
ถึงตอนนี้ เจ้าชายจากเมืองต่าง ๆ ก็เข้ามาใกล้นางในระยะที่เหมาะสม แล้วพูดจาทักทาย พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของพระฤๅษีป่าประดู่ที่อาสามาช่วยอาจารย์เตรียมพิธีก่อน จำนวนประมาณสิบคนได้ แต่ในวันสยุมพรจริงจะมีเจ้าชายจากทั่วชมพูทวีปมาประลองธนูมากกว่านี้
วิลาสินีเริ่มอึดอัดเล็กน้อยที่เจ้าชายนับสิบมารุมชวนคุย แม้ว่าจะไม่ได้ขัดคำกันหรือจ้องหน้านางตรง ๆ ให้เสียมารยาทก็ตามสักพัก นางจึงออกปากว่าอยากเข้าไปพักในกระโจม
รัชตะแลดูไหล่และต้นแขนของหญิงสาวที่โดนแดดเผาแดงและเป็นรอยริ้วจากกิ่งไม้ในป่าเกี่ยวเอาตอนปีนเก็บผลไม้ แล้วจึงแบมือซ้ายออก ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวาจิ้มลงไปบนฝ่ามือนั้น เสกเป็นแผ่นยาสำลีปรากฏบนฝ่ามือมอบให้
“อภัยให้เราด้วยที่อาจจะละลาบละล้วงเกินไป นี่สำหรับผิวเนื้ออ่อน ๆ ของเจ้าไม่ให้ต้องเจ็บปวด เป็นของกำนัลจากเราด้วยไมตรีจิต... หากมีวาสนาในพิธีสยุมพร เทพธิดาคงจะได้ไปสถิตเป็นขวัญเมืองฉัตรเสน”
รัชตะค้อมศิระอย่างสุภาพ วิลาสินีกัดปาก ในใจนางยังเสียใจเรื่องบิดาและไม่อยากแต่งงานแม้แต่นิด ได้แต่พึมพำขอบคุณตามมารยาท ปุณยทัต เจ้าชายอีกองค์หนึ่งผู้มีดวงตาสีอำพันย่อกายลง ขออภัยนางแล้วแตะนิ้วที่ข้อเท้า ปลิงดำตัวน้อยจากลำธารพลันตายหลุดลงมาที่พื้นเป็นหย่อมเลือด วิลาสินีจำได้ว่า เมื่อก่อนนางเคยเห็นเขาเป็นผู้นำกลุ่มเจ้าชายเล่นล่าสัตว์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง
“หากมีวาสนา เราคงจะได้พาเจ้าผู้งามเด่นเป็นเอกในสามโลกไปพำนักที่โภคะ วังเราจะปูพรมทองรองเท้าเจ้ามิให้ต้องบอบช้ำเลย”
เจ้าชายแต่ละองค์ผลัดกันมาให้ของกำนัล หรือแสดงเวทอาคมดูแลนางอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเกี้ยวพา ก่อนจะหลีกทางให้นางไปยังกระโจมขาว
วิลาสินีลอบถอนใจเบา ๆ วางตัวไม่ถูกเพราะไม่ใคร่จะได้เจอผู้ชายมาเกี้ยวในรูปแบบนี้เท่าไรนัก บางครั้งนางไปที่ชายป่าและแลกของป่ากับเสื้อผ้าของชาวบ้านแถวนั้น แต่หนุ่ม ๆ รุ่นกระทงในหมู่บ้านก็มีแต่ผิวปากป้อแซวตามประสา ได้โต้ฝีปากกันเฮฮา จีบมาด่าไป ไม่เหมือนกับเจ้าชายเหล่านี้ นอกจาก ‘ขอบพระทัยเพคะ’ แล้ว หญิงสาวไม่รู้จะกล่าวอะไรจริง ๆ กลายเป็นดูสงบเสงี่ยมไปถนัด
มือเรียวเลิกผ้าประตูกระโจม ก่อนจะร้องออกมาเมื่อเกือบชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“อุ้ย! ขอโทษค่ะ... เอ๊ย! ข...ขอประทานอภัยเพคะ”
กฤตพรตก้าวถอยหลังออกห่างตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นว่าเป็นผู้หญิง เกรงจะไปแตะต้องบุตรีหรือภรรยาของใครเข้า จากนั้นวินาทีต่อมาเขาก็ชะงักไปเมื่อได้ยลสิริโฉมของอีกฝ่าย นางน่ารักงดงามจนบาดลึกเข้าในหทัย... ร่างสูงเจ็บแปลบเสมือนว่าต้องศรแทงทรวง
เจ้าชายหนุ่มกะพริบตาทีหนึ่งเพื่อปรับสติ ความเจ็บเสียดกลางอกมลายไปแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นทั้งสิ้น
“เราก็ต้องขออภัย... วิลาสินี?”
วิลาสินีจำบุรุษร่างสูงโปร่งผิวเข้มตรงหน้าไม่ได้ในทีแรก นัยน์ตาสีเขียวเหลือบมองผ้าทรงและสังวาลแบบเจ้าฐิรังกา นางออกอุทาน
“พระสมุทรทรงเมตตา ฝ่าบาทกฤตพรตหรือนี่!?”
ใบหน้าคมหล่อเหลานั้นเมื่อพินิจดูดี ๆ แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งขนงเข้มและสันจมูกได้รูป ริมฝีปากบางหยัก และดวงตาที่มีแววองอาจรอบรู้ กฤตพรตมีเค้าหน้าแบบนี้ตั้งแต่ยังเยาว์ เพียงแต่บัดนี้เขาดูนิ่งและสุขุมจริงจังจนแปลกตา กฤตพรตในความทรงจำของวิลาสินีนั้นเป็นพี่ชายที่ชอบแกล้งชอบแหย่อยู่ตลอดเวลายามเจอหน้ากัน
มาบัดนี้ พี่ชายขี้แกล้งคนนั้นดูจะไม่ปรากฏอยู่แล้ว เหลือเพียงเจ้าวงศ์อัศวินผู้สง่างามจนน่าเกรงขาม ชายหนุ่มยิ้มนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงค่อนข้างเรียบ
“ยินดีที่เจ้ายังจำได้... เจ้าเปลี่ยนไปมาก”
วิลาสินีอยากจะวิจารณ์ว่าเขาก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน แต่อะไรบางอย่างทำให้นางไม่กล้า... อาจเป็นดวงตาสีความมืดสนิทที่ไม่แสดงอารมณ์คู่นั้นก็เป็นได้ หญิงสาวจึงวางของกำนัลที่ได้มา พลางพูดต่อเรื่องตัวเองแทน
“ง...งั้นหรือเพคะ มันก็หลายปีมากแล้วนี่นะ แต่จริง ๆ หม่อมฉันไม่เห็นจะเปลี่ยนอะไรเลย”
กฤตพรตมองนาง กล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “รูปโฉมของเจ้างดงามกว่าก่อนมาก”
วิลาสินีหน้าร้อนวูบกับคำชมตรงไปตรงมานั่น แต่เมื่อสบตาเจ้าชายหนุ่มก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่ามันมิใช่คำชม... มันเป็นเพียงคำบรรยายลักษณะทางกายภาพที่ไม่ได้มีเจตนายกยอ แววตาของเขาบ่งบอกว่ากำลังพูดข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งเท่านั้น
เจ้าชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปยังประตูกระโจมที่เปิดปลิวน้อย ๆ ตามแรงลม
“โชคดีของเจ้าแล้วที่งดงามดุจนางศกุนตลา (ธิดาของฤๅษีวิศวามิตรกับนางอัปสรเมนกาในเรื่องมหาภารตะ ถูกเลี้ยงมาในป่าโดยฤๅษีกัณวะ เป็นยอดหญิงงามบริสุทธิ์) เช่นนี้ เราคิดว่าเจ้าชายไม่ว่าองค์ใดก็คงจะปรารถนาให้เจ้าเป็นชายาและเลี้ยงดูอย่างดี หามีวันหลงลืมและทอดทิ้งเจ้าให้เป็นทุกข์เยี่ยงนางนั้นไม่ (หลังศกุนตลาพบรักกับท้าวทุษยันต์ พระองค์ถูกฤๅษีทุรวาสสาปให้จำนางไม่ได้ และทอดทิ้งนางช่วงที่กำลังตั้งครรภ์) เราขออวยพรจากใจให้บุตรธิดาของเจ้าจงมีแต่ความรุ่งเรือง”
ถ้อยคำของชายหนุ่มมีอะไรแปลก ๆ วิลาสินีขมวดคิ้วเล็กน้อย มันฟังดูเหมือนว่า...
“แล้วฝ่าบาทไม่...” นางชะงักคำ “หม่อมฉันหมายถึง...ฝ่าบาทจะไม่เสด็จมาร่วมพิธีสยุมพรหรือเพคะ”
กฤตพรตหันกลับมาหานาง เลิกคิ้วข้างหนึ่ง “ร่วมสิ เราจำต้องร่วมอยู่แล้วตามคำเชิญของพระอาจารย์ ต้องคอยดูไม่ให้พวกเขารบกันชิงตัวเจ้าด้วย” ข้างท้ายเหมือนกลั้วหัวเราะน้อย ๆ วิลาสินียิ่งรู้สึกแน่ใจ
“เอ่อ คือหม่อมฉันหมายความว่า...ฝ่าบาทไม่ได้...ประสงค์จะมีชายาในเวลานี้หรือเพคะ”
หญิงสาวกลั้นใจถามออกไปจนได้ ความเงียบที่ตัดฉับลงมาในกระโจมทำเอานางกลัวว่าอีกฝ่ายพิโรธแน่ที่ถามเรื่องส่วนตัวเกินไป แต่แล้วกฤตพรตกลับตอบหลังจากใคร่ครวญว่า
“...ชายาอาจจะมีหรือไม่มีก็ตาม แต่เราคงไม่สามารถเสพเมถุนอีกแล้วตลอดชีวิต”
วิลาสินีฟังแล้วเหวอทันที ละล่ำละลัก
“เอ๋!? ฝ...ฝ่าบาท... พระ...พระนกเขาไม่ขันหรือเพคะ!?”
กฤตพรตแทบสำลัก อยากจะเอามือปิดปากอัปมงคลนั่นเหลือหลายขณะกุมขมับ วิลาสินีรีบโบกมือขึ้น ๆ ลง ๆ
“ข...ขอประทานอภัย แต่ว่าไม่เป็นไรนะเพคะ! เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ ถึงจะไม่ค่อยเกิดกับคนหนุ่มก็เถอะ เอ่อ พระนกเขาถ้าไม่ได้พิการถาวรละก็ มีวิธีบำบัดรักษามากมายนะเพคะ จำได้ว่าหม่อมฉันยังเคยแอบร่วมฟังอยู่เลย ตอนท่านพ่อเคยสอนพวกพระองค์ในวิชายา ว่าบางทีก็อาจจะเกิดจากความเครียดชั่วคราว หรือไม่ก็...”
“ไม่ใช่” เสียงทุ้ม ๆ เริ่มจะดุเมื่อนางพล่ามไปใหญ่โต วิลาสินีหุบปากฉับ มองใบหน้าคมที่คล้ายจะปวดหัวแล้วไม่วายพึมพำอ่อย ๆ
“ไม่เห็นต้องอายเลยนี่เพคะ หม่อมฉันไม่ไปโพนทะนาหรอกว่าฝ่าบาทน่ะทรงไร้น้ำยา...”
“บอกว่าไม่ใช่ไง!”
คราวนี้คนหน้านิ่งดูจะเคืองจริงแล้ว วิลาสินีหดคอ กฤตพรตส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เวียนเกล้ากับความคิดหญิงงามตรงหน้าเหลือแสน นางอาจจะกลายเป็นอิสตรีเลอโฉมก็จริงอยู่ แต่ท่าทางความคิดอ่านจะยังเป็นเด็กซุกซนเอะอะมะเทิ่งเช่นเดิม
“เราใช้เวทศารทูล ขีดรอบเกาะฐิรังกาปกป้องไว้จากอาคมศัตรู... เจ้าเป็นบุตรีฤๅษีคงจะรู้ว่าการใช้เวทศารทูลต้องละเว้นจากการเสพเมถุน ไม่เช่นนั้นมนตร์จะเสื่อม”
วิลาสินีถึงบางอ้อทันที บิดาของนางก็ใช้เวทศารทูลขีดไว้รอบอาศรมเป็นม่าน ศารทูลเป็นมนตร์ที่เทียบได้กับสาบเสือ สิงสาราสัตว์ไม่อาจกล้ำกรายเข้ามาในอาณาบริเวณนั้นได้ ยกเว้นว่าสู้กันจนเจ้าเสือนั้นตายลง พูดอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้ากฤตพรตวางอาคมนี้ไว้ ตราบที่เขามีชีวิตอยู่และสู้กับเวทอื่น ๆ ของศัตรูที่พยายามจะเจาะม่านเข้ามาได้ ฐิรังกาก็จะปลอดภัยจากหายนะทางอาคมทั้งปวง
นั่นหมายถึงกฤตพรตต้องเสียสละไม่เสพความสุขจากเพศรสตลอดชีวิตเช่นกัน วิลาสินีตาเป็นประกาย เห็นแสงสว่างที่จะมาช่วยกู้ชีวิตนางออกจากการเป็นภรรยาและมารดาโดยไม่พร้อมฉายอยู่รำไร
“แปลว่าฝ่าบาทถึงจะอภิเษกสมรสกับใคร ก็ทรงไม่เสพเมถุนแน่นอน”
“ใช่ เราจึงตั้งใจว่าจะไม่หาชายา เข้าใจหรือยัง” เขาถอนใจเบา ๆ “อีกอย่าง มันไม่ได้เรียกว่าพระนกเขา หากจำเป็นต้องพูดจริง ๆ เรียกว่าพระคุยหะ ระวังวาจาสักหน่อย เจ้าชายองค์อื่น ๆ อาจไม่พระทัยดีนัก” ข้างท้ายนี้เขากระซิบสอนเตือนอย่างเริ่มนึกเป็นห่วงอนาคตหญิงสาวเสียจริง ๆ วิลาสินีหัวเราะแหะ ๆ
“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันตกใจไปหน่อย”
ทั้งสองสนทนากันอีกครู่หนึ่ง กฤตพรตก็ขอตัวออกไปและให้นางได้พักผ่อน วิลาสินีนั่งลงที่เตียงเตี้ย ๆ ด้านในกระโจม ขย่มตัวกระเด้งดึ๋งดั๋งบนฟูกขนห่านนุ่ม ๆ นั้น แล้วล้มตัวลงนอนแผ่ กระโจมที่เหล่าเจ้าฟ้ามาเตรียมให้นี้สะอาดสะอ้านและสบายดีแท้ มีโคมกระดาษฉลุลายสวยงามและโต๊ะเครื่องแป้งติดคันฉ่องแบบเจ้าหญิงใช้กัน ทุกอย่างน่าพึงใจ พาให้ลืมความเศร้าที่ต้องจากอาศรมมาได้
“ไม่เสพเมถุนตลอดชีวิตงั้นหรือ…”
คนไม่อยากแต่งงานกระซิบกับตัวเอง หมายมั่นปั้นมือแล้วว่า นี่แหละ ทางรอดของนาง!
***
ใกล้เที่ยงตรง แสงแดดแผดกล้า กฤตพรตและเจ้าชายบางส่วนกลับไปยังที่พักของตนเองตั้งแต่สาย หลังจากมั่นใจแล้วว่ากระโจมขาวที่มาช่วยกันตั้งและวางอาคมรอบเสาป้องกันสัตว์แมลงร้ายต่าง ๆ เรียบร้อยสมบูรณ์ดีแล้ว วิลาสินียอดยุพินที่ทุกคนรุมเอาใจก็ยืนยันว่านางไม่ขาดเหลืออะไร พวกเขาจะกลับมาครั้งอีกในวันสยุมพร เจ้าชายอีกส่วนหนึ่งยังอยู่เฝ้าสนทนากับพระฤๅษีที่อาศรม นำภัตตาหารมาประเคน และรอเสวยกระยาหารร่วมกันหลังจากนั้น
วิลาสินีนั่งกินอาหารคนเดียวในกระโจม มีทหารยกสำรับเลิศรสมาตั้งให้ถึงที่ มันก็อร่อยมากจริงอยู่ แต่นางนึกอยากนอนแทะมะม่วงสุก ท่ามกลางผองสหายมฤคีที่คงจะกำลังนอนหลบร้อนกันใต้ต้นประยงค์ใหญ่ คิดแล้วนางจึงสวมผ้าคลุมผม เปิดประตูกระโจมออกไป ทหารที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจมเข้ามากราบบังคมทันที เล่นเอาหญิงสาวที่นิยามตัวเองเป็นชาวป่าสะดุ้ง
“ตาย! ไม่ต้องกราบกันหรอกค่ะ ลุกเถอะ” นางร้อง กลัวเหาจะขึ้นหัวพิกล แต่ดูเหมือนทหารจะได้รับบัญชามาให้ปฏิบัติกับนางอย่างให้เกียรติ ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว ตอนนี้วิลาสินีก็อยู่ในฐานะว่าที่พระวรชายาแน่นอน แม้ยังไม่แน่ว่าภัสดาตัวจริงจะเป็นเจ้าแผ่นดินองค์ใด
“พระนางจะเสด็จไปอาศรมหรือพะย่ะค่ะ ขอทรงพระกรุณาโปรดให้กระหม่อมไปแจ้งก่อน”
“เอ่อ... เปล่าค่ะ...” ชักจะไม่เข้าที ถ้าแค่ไปอาศรมยังต้องแจ้งก่อนและมีคนตามคุ้มกัน สงสัยไปหาฝูงกวางที่ต้นประยงค์ใกล้น้ำตกจะได้นั่งวอไม่ก็เสลี่ยงไปแน่ ๆ วิลาสินีจึงว่า “ข้าแค่จะออกมาสูดอากาศสักหน่อย ในกระโจมอึดอัดน่ะค่ะ เที่ยงแล้วมันอบ ๆ ข้างใน” นี่โกหกคำโตทีเดียว ในกระโจมขาวอากาศปลอดโปร่งสบายกำลังดีจนน่าประหลาดใจ เย็นกว่าข้างนอกเสียอีก
ฟังแล้วทหารตาโตเท่าไข่ห่าน เขาประนมมือเอ่ยว่า
“พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมจะรีบไปทูลเหล่าเจ้าฟ้าให้มาแก้ไขพะย่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะผิดพลาดได้ กระหม่อมเห็นกับตาว่าฝ่าบาททั้งหลายทรงช่วยกันวางอาคมในกระโจมเพื่อควบคุมธาตุลมและไฟให้อุณหภูมิภายในคงที่”
“ฮะ!?”
วิลาสินีเป็นฝ่ายตาโตเท่าไข่ห่านยักษ์เสียแทนกับคำอธิบาย นี่มันกระโจมวิเศษหรือไรกัน! สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในหัวเจ้าชายผู้ทรงเวทเหล่านี้คิดอะไรอยู่ตอนพระฤๅษีแค่ขอแรงมาปลูกกระโจมชั่วคราว
อันที่จริง อีกหลายปีหลังจากนี้ทีเดียวกว่าวิลาสินีจะเข้าใจว่า บุคลิกร่วมของเจ้าจอมอาคมทุกคนก็คือ ชอบที่จะรู้ความเป็นไปและควบคุมสิ่งต่าง ๆ อย่างเข้มงวดใกล้ชิด ประหนึ่งว่าวางอยู่บนฝ่ามือ ยิ่งสำคัญก็ยิ่งกำแน่น ทว่าในตอนนั้นนางได้แต่ทึ่ง ขบขันแทบจะหยุดหัวร่อไม่ได้ด้วยซ้ำ
“อ้อ ฮะ...ฮ่ะ ๆ ๆ ขอโทษทีค่ะ ข้าคงรู้สึกไปเอง เพราะแปลกที่ล่ะมั้ง... แล้วก็ตื่นเต้นร้อนรนกับพิธีสยุมพร” พูดไปก็ถอนใจเฮือก นายทหารเหลือบดูนางแวบหนึ่งอย่างเห็นอกเห็นใจ ไม่กล้าจะบังอาจทอดตาประสบเนตรหรือชมโฉมนานนัก วิลาสินีคุยนั่นนี่อีกสองสามคำก็หันหลังกลับเข้าไปในกระโจมใหม่
สรุปแล้ว นางออกไปทางประตูไม่ได้แน่นอน หญิงสาวทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด หากนางเป็นชายและไม่เกียจคร้านเกินไป คงได้ศึกษาเวทวิทยาบ้าง และรู้ว่ามีช่องโหว่ตรงไหนอย่างไรให้เล็ดรอดไปได้ อีกทั้งคงเห็นร่องรอยว่าในกระโจมขาวนี้ลงคาถาไว้มากมายเพียงไร วิลาสินีรู้ก็แต่อาคมพื้นฐานง่าย ๆ ของชาวฐิรังกาสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อาคมกันสัตว์มีเขี้ยวเล็บ สัตว์มีพิษ อาคมลงสัญลักษณ์ตามทางไม่ให้หลงป่า มนตร์เรียกปลา เรียกนก
หากจะมีสิ่งหนึ่งที่สิทธิสวามินถ่ายทอดให้แก่นางเป็นพิเศษ ก็คือเวทที่เป็นจุฑาหรือยอดสุดของธาตุทั้ง ๔ หมู่ หญิงสาวสามารถเสกไฟที่มีฤทธิ์และกำลังเหนือไฟทั้งปวง เสกลมที่เหนือลม น้ำที่เหนือน้ำ ดินที่เหนือดิน หรือเรียกตามลำดับว่า เตโช วาโย อาโป ปถวี น้อยคนจะรู้เวทจุฑาธาตุเช่นนี้ ทว่าวิลาสินีก็ไม่มีโอกาสต้องใช้สักเท่าใด
“ไม่มีประโยชน์เลย ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด... แล้วต้องอยู่อย่างนี้ห้าวันเนี่ยนะ”
หญิงสาวโอดครวญ ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็ลุกขึ้นนั่งครุ่นคิด นางมีเวลาแค่ห้าวันสุดท้ายในไพรพนา อย่างไรนางก็จะไปหาฝูงกวางให้ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด! แต่นางจะไม่ยอมเสียเวลาอาลัยป่าประดู่ในกระโจมที่เห็นแต่ผนังผ้าสีขาวเป็นแน่
สาวน้อยร่างเพรียวจ้ำตึง ๆ ไปสุดขอบกระโจมด้านหลัง สูดหายใจลึกแล้วเลิกชายผ้ากระโจมขึ้น ก้มตัวมุดเผ่นแผล็วออกไป
***
เจ้ารัชตะวางกาน้ำชาที่กำลังรินให้พระฤๅษี หยุดพูดไปเสียเฉย ๆ เขาสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งออกจากกระโจมไปโดยไม่ได้ผ่านทางประตูอย่างถูกต้อง เจ้าชายผู้ทรงเวททั้งหมดสัมผัสได้เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ที่เหลืออยู่ในอาศรมและสะดวกจะจัดการปัญหาที่สุดคือเขาและเจ้าชายจากโภคะ ดังนั้นทั้งสองจึงมองหน้ากัน ก่อนจะค่อย ๆ ปิดบทสนทนาอย่างสุภาพและกราบลาพระอาจารย์
สิทธิสวามินยกแก้วชาขึ้นจิบ “ไปไกลแล้ว วิ่งไปทางลำธาร”
น้ำคำไม่อนาทรร้อนใจ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นทุกวันสำหรับท่าน แต่สำหรับเจ้าชายทั้งสอง การปล่อยให้หญิงสาวสะคราญเข้าป่าลึกโดยลำพังเป็นเรื่องร้ายแรงไม่น้อยเลย ถ้าเป็นสาวชาววัง แค่ออกมาเดินตลาดก็ต้องมีเพื่อนหรือคนคุ้มกันไปด้วยแล้ว สิงสาราสัตว์ในไพรเถื่อนไม่ยิ่งน่ากลัวกว่ามิจฉาชีพตามตลาดละหรือ ถึงวิลาสินีจะรู้จักเส้นทางในป่านี้ดีดุจเส้นลายมือตนเองมาแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อกลายมาเป็นโฉมงาม และกำลังจะเป็นพระวรชายาในไม่ช้า ฐานะใหม่อันสูงส่งก็ทำให้การปฏิบัติต่อนางต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
รัชตะร้อนรน ตัดสินใจแยกกันกับเจ้าโภคะค้นหาที่ลำธาร เขาไม่คุ้นเคยกับป่าแห่งนี้เกินกว่าอาณาบริเวณอาศรมที่เคยมาเรียนตอนเด็ก อีกทั้งเวลาก็ผ่านไปหลายปี จึงวาดอักขระเวทลอยไว้ตามทางเป็นสัญลักษณ์ว่าผ่านตรงนี้แล้ว เผื่อเวลาขากลับ และเผื่อเจ้าปุณยทัตแห่งโภคะมาเจอจะได้รู้ว่าเขาไปทางไหน แนวป่าประดู่โปร่งก้องเสียงวิหคร้องหากัน รัชตะได้ยินมันเล่าถึงหญิงสาว เขาจึงก้มมองพื้นดิน แกะร่องรอยฝีเท้าเบาว่องไวของนางแล้วตามไป
รอยเหยียบหญ้าของวิลาสินีไม่ได้พามาพบอะไรที่น่ากลัว ตรงกันข้าม นำเจ้าชายหนุ่มลัดเลาะไปหาเสียงน้ำตกกระทบหิน ละอองวารีกระเซ็นปลิวอยู่ในอากาศฉ่ำเย็น แดดเที่ยงทำองศาพอเหมาะเกิดเป็นรุ้งกินน้ำขนาดสั้น รัชตะสูดกลิ่นดอกประยงค์ แต่แล้วก็ย่นคิ้วเมื่อได้กลิ่นมะม่วงมหาชนกสุกลอยปนมาด้วย มันหื่นหอมติดจมูกสำหรับคนที่ชอบ และฉุนเฉียวชวนหายใจขัดสำหรับคนที่เกลียด รัชตะออกจะนับเป็นประการหลัง เขาสาวเท้าไปยังริมสระใต้น้ำตก ก่อนจะชะงักขาตกประหม่า
วิลาสินีเอนกายเอกเขนกอยู่กับฝูงกวางดาวที่ริมสระอีกฝั่งหนึ่งใต้ต้นประยงค์ ปากอิ่มจิ้มลิ้มกำลังเอร็ดอร่อยกับมะม่วงมหาชนกสุกจัดแบบไม่รักษากิริยา ผ้าคลุมผมตกมาอยู่ตรงไหล่ เรือนผมอันดำงามดั่งนกกาน้ำเกล้าไว้ลวก ๆ ปักปิ่นไม้หอมทำมือ ทิ้งลูกผมรุ่ยลงมาประดับลำคอระหงที่วาวแดงด้วยเหงื่อและละอองน้ำ
รัชตะใจเต้น จิตบุรุษคล้ายถูกยั่วยวนจนกระสันปั่นป่วน รูปโฉมของนางแสนสดใสไร้เดียงสา เขาคิดว่าอสูรราวณะ (ทศกัณฐ์ พระราชายักษ์แห่งกรุงลงกาในเรื่องรามายณะ) ยามเห็นพระเทวีสีดาแล้วลักอุ้มไปนั้น ก็คงเป็นด้วยอารมณ์พิศวาสขาดใจเช่นนี้ ต่อให้มีสวามีอยู่แล้วก็ควรค่าที่จะช่วงชิงมา
เจ้าชายหนุ่มกำลังจะหาทางอ้อมไปหานาง แต่แล้วทั้งฝูงกวางและหญิงสาวก็รู้ตัวก่อน หันขวับมาทางนี้เป็นตาเดียวอย่างพร้อมเพรียง เขาจึงรีบแสดงตัวให้เห็น วิลาสินีเขม้นมอง
“อ้าว ฝ่าบาทรัชตะ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ” มือเรียวฉวยผ้าคลุมผมมาสวมและจัดส่าหรีให้เข้าที่ ปลอบเหล่ามฤคีให้ไม่ต้องตื่นตระหนก ดวงหน้างามยิ้มแหยขณะทำหน้าสำนึกผิด “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเบื่อกระโจมนั่นจริง ๆ อยากจะอยู่กับกวางเหล่านี้ก่อนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว… อ๊ะ! ไม่ได้หมายความว่ากระโจมที่ฝ่าบาททรงช่วยปลูกไม่ดีนะเพคะ มันดีมากจริง ๆ”
รัชตะยิ้มอ่อนโยนขณะฟังเสียงแหลมใสเจื้อยแจ้วไปเรื่อย พอหายห่วงแล้วมีเวลาพินิจดูสถานที่ บริเวณน้ำตกนี้ก็เหมือนสวรรค์น้อย ๆ แห่งหนึ่งทีเดียว เขาเข้าใจอยู่หรอกที่นางจะอยากอยู่ตรงนี้มากกว่าในกระโจมขาว
“วิลาสินีโสภา ถ้าเจ้าต้องการมาที่นี่ ไม่จำเป็นต้องแอบหนี ขอแค่บอกทหารให้มาบอกเรา เราก็จะมาด้วย ใช่ว่าเจ้าชายนครต่าง ๆ เป็นราชมัล (เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำโทษคน) ใคร่จะตีตรวนคุมขังเจ้าเป็นนักโทษเสียเมื่อไร” เขาว่า ทำท่าจะลงไปในสระ วิลาสินีหน้าตื่น
“จะลงสรงหรือเพคะ ไม่เอานะเพคะฝ่าบาท! ที่นี่ไม่มีฉลองพระองค์ให้ผลัดเปลี่ยน แล้วก็...”
จ๋อม...
ร่างสูงเลื่อนลงน้ำไปเรียบร้อย ว่ายเร็ว ๆ มาหานางด้วยสีหน้าระรื่น ปลายผ้าโพกหัวระผิวน้ำ รัชตะเป็นคนยิ้มซื่อตาหวาน น้ำคำนุ่มช่างเอาอกเอาใจ ดังนั้นต่อให้ทำอะไรตามอารมณ์ไม่สนคำพูดคนอื่นแบบนี้ เจ้าตัวก็ยังตีหน้าแจ่มใสจนโกรธไม่ลง ทั้งแกล้งวักน้ำกระเซ็นใส่หญิงสาวทีหนึ่งอีกต่างหาก ถ้าเป็นคนอื่นวิลาสินีอาจจะแว้ดเข้าให้
“เย็นดี เราหายร้อนทันตาเลย น้ำไหลแรงไม่มีกระทั่งตะกอนดินอย่างนี้ ต้นน้ำคงอยู่เหนือขึ้นไปชั้นเดียวสินะ”
วิลาสินีหน้ามุ่ยที่อีกฝ่ายไม่เดือดเนื้อร้อนใจ อุบอิบว่า “จริง ๆ เลย... แล้วเดี๋ยวฝ่าบาทเสด็จกลับไปกับหม่อมฉันโดยที่พระวรกายเปียกม่อล่อกม่อแล่ก คนจะคิดกันฉันใดเพคะ” ชายหนุ่มยิ่งยิ้มให้เหมือนเห็นขันอะไรสักอย่าง “มา ๆ เสด็จขึ้นจากน้ำเถอะเพคะ หม่อมฉันช่วยดึง แล้วเดี๋ยวหม่อมฉันก่อไฟผิงให้พระองค์แห้ง”
นางยื่นมือมา รัชตะหัวเราะ วิลาสินีดูจะยังเก่งกล้า ชอบทำนั่นทำนี่เองเหมือนตอนเด็ก หญิงงามที่ไหนออกปากจะฉุดเจ้าชายขึ้นจากน้ำแล้วก่อกองไฟให้บ้าง มันกลับกันพิกล
“ไม่ต้องหรอก” เจ้าฉัตรเสนขึ้นจากน้ำเองมานั่งใกล้ ๆ เป่ามนตร์สามคำรบลูบตัว แล้วน้ำที่เปียกโชกตามเนื้อกายก็พร้อมใจกันดึงตัวออกจากเขา ตกซู่ลงไปเป็นวงที่พื้น ไม่มีเหลือแม้สักหยดที่เคยซึมในเนื้อผ้าทรง วิลาสินีอ้าปากหวอ “นี่ไง เท่านี้ก็แห้งแล้วใช่ไหม”
นางพยักหน้ารัว ๆ อย่างชื่นชม สิทธิสวามินอาจมีฤทธิ์มากก็จริง แต่ไม่เคยแสดงอภินิหารพร่ำเพรื่อให้นางเห็นแบบนี้ ท่านพอใจจะใช้ชีวิตในวิถีปกติและเรียบง่ายที่สุด แต่ความจริงเวทวิทยาเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนและดัดแปลงใช้ประโยชน์ได้มากหลาย มันนำมาได้ทั้งลาภยศสรรเสริญและของยอดปรารถนาต่าง ๆ ในโลก และเจ้าชายผู้ทรงอาคมเหล่านี้เองเป็นตัวอย่างของผู้ที่เลือกจะใช้มัน ทางเดินของพวกเขาต่างจากฤๅษีซึ่งเลือกจะไม่ใช้
“ฝ่าบาทเก่งสุด ๆ ไปเลย เอ้ย! ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนักเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” วิลาสินีชมเปาะ รัชตะอกพองโต เห็นช่องแล้วว่านี่เป็นวิธีที่ทำให้นางประทับใจได้
“ไม่หรอก ตัวเราไร้พรสวรรค์ เป็นเพราะพระอาจารย์เมตตาสั่งสอนทั้งนั้น” เสียงนุ่มถ่อมตนยิ้ม ๆ เลื่อนสายตามองต้นแขนของนาง จากนั้นสีหน้าก็หงอยลง “...ไม่ทายาที่เราให้หรือ แผลยังอยู่เลย ทำไมไม่ทา”
“อ้อ” วิลาสินีลืมไปแล้ว รอยขีดข่วนเล็กน้อยแค่นี้ไม่ทำให้นางระคายเท่าใด “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมัวแต่จัดของอยู่ในกระโจม... ฝ่าบาทอย่ากริ้วเลยนะเพคะ หม่อมฉันซาบซึ้งที่ทรงพระกรุณา จะกลับไปรีบทายาแน่นอนเพคะ”
“เราจะไม่โกรธ ถ้าเจ้าทาเดี๋ยวนี้”
พริบตาเดียวเจ้าชายหนุ่มก็เสกแผ่นยาสำลีใหม่ส่งให้ วิลาสินีเกรงใจแต่ก็กลัวเขาจะโกรธมากกว่า จำได้ว่าตอนเด็กนางเคยปฏิเสธความช่วยเหลือจากรัชตะไปหนหนึ่ง ปรากฏว่าอีกฝ่ายน้อยใจโกรธเกรี้ยวจนร้องไห้กระทืบเท้า นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ประทับใจนางเกี่ยวกับรัชตะ หญิงสาวจึงรีบรับแผ่นยามาแปะที่ต้นแขน ไม่กี่นาทีทั้งรอยข่วนและปื้นแดงก็หายไป เหลือแต่เพียงผิวสีน้ำผึ้งนวลตา
เจ้าฉัตรเสนตรวจดูแขนอันปราศจากราคีนั้น แล้วเปลี่ยนอารมณ์มาสำราญใจอีกครั้งอย่างง่าย ๆ
“อืม... ที่นี่มีกวางเยอะแยะเชียว เจ้าอยากดูกวางเต้นรำไหม เราทำให้มันเต้นรำได้”
วิลาสินีพิศวงใจ “เห...กวางเต้นรำเป็นอย่างไรเพคะ เกิดมาหม่อมฉันไม่เคยเห็น พวกมันเต้นได้หรือเพคะ”
“ฮ่ะ ๆ ได้สิ พวกมันไม่มีนิ้วจับจีบก็เท่านั้น” ชายหนุ่มยิ้ม เพ่งสายตาไปที่ฝูงกวางซึ่งบ้างกำลังนอน บ้างก็กำลังก้มกินดอกประยงค์ตามพื้น เขาเลือกดูตัวผู้ที่เขางามทั้งหลายแล้วกำหนดจิตสะกดพวกมัน จากนั้นจึงเริ่มร้องเพลงในภาษาที่หญิงสาวไม่เข้าใจ
“โอ๊ะ! ฝ่าบาท...”
วิลาสินีอุทาน ทันทีที่เสียงนุ่มร้องทำนองช้า ๆ จบวรรคแรก ดูเหมือนบางสิ่งในบรรยากาศจะแปรไปทันที อำนาจประหลาดบางอย่างขึงตัวลงมาแน่นหนาจนขนลุกเยือกในเสี้ยววินาที ก่อนจะกลายเป็นอบอุ่นสนุกสนาน ระยับแดดที่ส่องผ่านร่มประยงค์สว่างไสวขึ้นมา รัชตะขับเพลงต่อไป แล้วเหล่ามิคมาศก็โจนกันเข้ามาเริงระบำเป็นวงกลม เหยาะย่างกีบเท้าสะบัดหูพร้อมเพรียง อวดเขางามน่าชม
วิลาสินีตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่งกับภาพตรงหน้า รัชตะลุกขึ้นและทำมือชวนให้หญิงสาวลุกตาม เขาไม่ได้หยุดร้องเพลง แล้วทั้งสองก็เข้าไปรำกลางวงกวางใต้ร่มประยงค์โปรยปราย