บทที่ 3 คู่สยุมพร
เจ้ารัชตะพักอยู่ที่เนินเขาป่าประดู่ใกล้ ๆ อาศรมอีกในห้าวันหลังจากนั้น เขาแวะเวียนมาสนทนากับพระฤๅษีและเข้าป่าไปกับวิลาสินีเป็นครั้งคราว สลับกับเจ้าชายองค์อื่น ๆ
วิลาสินีถูกคอกับเจ้าอนุวงศ์ฉัตรเสนผู้ยิ้มละไมเสมออยู่พอสมควร เพราะนางก็เคยสนิทกับเขาเมื่อเด็กกว่านี้อยู่แล้ว ทว่าก็อึดอัดขึ้นมาทุกทีเวลาเขาเล่าถึงฉัตรเสน เป็นนัยกลาย ๆ ว่า มาดหมายใฝ่ฝันให้นางไปอยู่ด้วยและมีโอรสธิดาผู้เรืองเวท
วิลาสินีเข้าใจและชอบอัชฌาสัยของรัชตะ เขาเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่คอยดูแลรักใคร่นางตั้งแต่เด็ก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
โอกาสของหญิงสาวที่จะลิขิตชะตาของตนเผอิญมาถึงในคืนก่อนพิธีสยุมพร
“ท่านพ่อจะทำอะไรคะ”
วิลาสินีถามหวาด ๆ บิดาของนางหยิบกริชเล็ก ๆ ขึ้นมาขณะบริกรรมมนตร์ จากนั้นนางก็หวีดร้องเมื่อสิทธิสวามินเฉือนตรงข้อมือของท่าน เลือดสีสดไหลลงไปในอ่างเงินดำซึ่งมีลูกธนูราวห้าสิบดอกปักไว้ เป็นศรที่จะใช้ในพิธีสยุมพรวันพรุ่งนี้ หัวศรดูดโลหิตนั้นซึมหายไปราวกับกระหายดื่มกิน
พอท่องมนตร์จนจบ แผลที่ข้อมือของพระฤๅษีก็สมานปิดสนิทเองอย่างน่าอัศจรรย์ ท่านเอาเชือกมามัดธนูไว้รวมกัน แล้วโยนให้ให้บุตรีโครม
“เอาไปเก็บในกระโจมเจ้า ห้ามใครแตะต้องแล้วเข้าใจไหม พอตอนเช้าได้ฤกษ์ เจ้าก็ออกจากกระโจมไปแจกธนูให้พวกเจ้าแผ่นดิน จะแจกใครคนแรกก็ตามใจ” พูดจบเป็นอันเสร็จหน้าที่ ฤๅษีป่าประดู่หมุนตัวจะเข้าด้านในอาศรมไปจำวัด
วิลาสินีฉงน “อ้าว แจกเลยตอนนี้ไม่ได้หรือคะท่านพ่อ”
ถ้านางแจกตอนนี้คงจะดีเพราะไม่ได้เห็นกันจะ ๆ ว่าใครได้ลูกศรเป็นคนแรกหรือคนสุดท้าย นางลำบากใจเกินกว่าจะตัดสินจริง ๆ ไม่อยากทำให้ผู้ที่ได้ธนูคนแรกคิดว่านางกำลังเอาใจช่วยเป็นพิเศษเพราะมีจิตปฏิพัทธ์ด้วย
พระฤๅษีเหลียวมองด้วยหน้าตาเหนื่อยหน่าย
“คิดว่าเจ้าชายพวกนี้ซื่อนักเรอะ ขืนแจกตอนนี้ เป็นอันว่าท้าวเธอทั้งหลายได้ชุบศรลงอาคมกันเต็มที่ตลอดคืน ยิงมั่วยังเข้าเป้า” ท่านดูจะรู้ฤทธิ์สานุศิษย์ตัวเองดี “นี่ทั้งศรทั้งเป้าลงเลือดพ่อไว้แล้ว เผ่าพงศ์อื่นสู้ไม่ได้ง่าย ๆ ท้าวเธออยากใช้คันศรอะไรก็ให้เธอใช้ แต่ต้องใช้ลูกธนูของเรานี้ ประลองฝีมือธนูตามประเพณีบุราณจริง ๆ ไม่ใช่เอาอาคมโกง... ผู้ใดมีวาสนาต่อกันจริงจึงได้เจ้าไป”
อธิบายแล้วก็ปิดประตูอาศรม วิลาสินีหอบลูกศรมัดเบ้อเริ่มนั้นเข้ากระโจมขาวของนาง วางมันลงกับเตียง หัวใจเต้นตึกตักอย่างทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน
เลือดบิดาของนาง สายเลือดอื่นล้างไม่ได้...
แปลว่านางซึ่งมีสายเลือดเดียวกับพระฤๅษี มีอำนาจล้างได้น่ะสิ!
หญิงสาวถูมือไปมาขณะมองมัดลูกศร นางค่อย ๆ แก้ปมเชือกที่รวบพวกมันไว้รวมกัน แล้วเลือกหยิบธนูขึ้นมาเล่มหนึ่งอย่างครุ่นคิด...
วิลาสินีรู้อาคมที่ใช้สำหรับแทงปลา เวลานางอยากจับปลาตัวใหญ่น้ำหนักมาก ชนิดที่ข่ายดักปลาสานมือของนางจับไม่ได้ มีแต่มันจะดิ้นจนตาข่ายฉีกขาด นางก็จะแก้ปัญหาด้วยการลงอาคมในฉมวกหรือไม้ แล้วพุ่งแทงลงน้ำแบบพวกชาวบ้านทำกัน ลุงคนหาปลาที่หมู่บ้านชายป่าสอนเวทบทนี้แก่นางมา มันได้ผลดีทีเดียว ฉมวกลงอาคมเปรียบประหนึ่งมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง วิ่งเข้าแทงปลาได้แม่นยำทุกคราว
“จะพอประยุกต์ใช้ได้เหมือนกันไหมนะ...”
วิลาสินียิงธนูไม่เป็นเสียด้วย และก็ไม่แน่ใจนักว่าอาคมแทงปลาฉบับชาวบ้านมันจะไปตีกับอาคมในคันศรของใครเข้ารึเปล่า นางเพียงแต่ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ นัยน์ตาสีเขียวกลมโตเหมือนตากวางเพ่งจิตวางอำนาจลงในลูกศรที่ถืออยู่ ใช้ห้านิ้วลูบสัมผัสมันตั้งแต่ส่วนหัวแหลมคม ก้านศร และตลอดหางขนนก ท่องมนตร์จบก็ปามันใส่โต๊ะเครื่องแป้ง
ฉึก!
ลูกศรนั้นปักตรงปลายลูกบิดเล็ก ๆ ของลิ้นชักเครื่องสำอางอย่างแม่นยำ ทั้งที่นางเพียงแต่คิด ไม่ได้เล็งอะไรทั้งสิ้นวิลาสินีตบมือหัวเราะคิกคักดีใจยกใหญ่ นางดึงศรออกมาและใช้ชาดแดงในโถเครื่องสำอางแต้มที่ปลายหางขนนกขาวของมันเป็นตำหนิจุดเล็ก ๆ ก่อนจะเอาศรนั้นไปใส่ในมัดรวมตามเดิม
กฤตพรตมองลูกศรที่ได้รับจากมือวิลาสินี แล้วถือประเมินน้ำหนักของมัน ตัวธนูความยาวมาตรฐานเหลาได้ตรงสมมาตรดี เพียงแต่ขนนกขาวที่นำมาผูกกับหางธนูมีจุดสีแดงแปลก ๆ เขาบอกนางแล้วว่าเพียงแต่มาสังเกตการณ์อยู่ข้างพี่น้อง ไม่ได้จะร่วมประลอง แต่นางก็ย่อกายยัดเยียดให้จนได้ เขาจะปัดทิ้งต่อหน้าสาธารณชนก็ดูจะหักหน้าธิดาฤๅษีมากไป จึงยอมรับมา
ชายหนุ่มแตะดูจุดสีแดงนั้น และโล่งใจที่มิใช่เลือด... คงจะเลอะสีอะไรเข้าสักอย่าง
วิลาสินีกำลังเดินแจกศรให้กษัตริย์ทุกองค์ในแถวตามลำดับก่อนหลังที่พวกเขามาถึงพิธี วันนี้นางอยู่ในชุดสีแดงเพลิงสำหรับเจ้าสาว มีผ้าทองบางใสผืนเดียวคลุมปิดผมตลอดจนใบหน้า พอเห็นโฉมราง ๆ เท่านั้นแต่กลับยิ่งดูชวนฝัน เรือนผมประดับดอกไม้หอมระรวยออกมานอกผ้า มือเท้าแต้มสีและติดทองคำเปลวเป็นลวดลายวิวาหบงกช
รามราเมศกับสิงห์ศัตรุตถึงกับอึ้งไปนานเหมือนกันตอนที่ประสบพักตร์ ความงามเจิดจรัสในระดับนี้ยิ่งเสริมราศีด้วยเครื่องประดับและเครื่องสำอางแล้ว ต่อให้คนเฉยชาไม่สนใจเรื่องผู้หญิงอย่างกฤตพรตยังต้องมองซ้ำอยู่สองหน ส่วนบุรุษที่เหลือก็ละเมอเพ้อพกไปตาม ๆ กัน
“สมชื่อ... เกินชื่อไปอีกด้วยซ้ำ” สิงห์ศัตรุตครางเบา ๆ มองตามวิลาสินีที่ขยับไปทางหางแถวเสียคอบิด กระซิบถาม “เจ้าพี่ทั้งสองต้องใจนางหรือเปล่า... ข้าอยากได้เป็นบ้า! ไหนตอนกลับมาเจ้าพี่พรตบอกแค่ ‘ก็สวยดี’ ไง นี่มันนางฟ้าแล้วนะเจ้าพี่!”
รามราเมศหัวเราะในคอ พยักหน้าเห็นด้วยว่าเป็นนางฟ้าจริง ส่วนกฤตพรตไหวไหล่ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “พี่ก็บอกว่าสวยไง นางสวยดีกว่าตอนเด็กมาก”
“ดูดู๋ เจ้าพี่ราม ข้าว่าเจ้าพี่พรตตาไม่ถึงแน่แท้ ได้เห็นอัปสรสวรรค์แล้วชมแค่นี้ เป็นข้าจะกลับมานอนแต่งโศลกสักสิบบท”
วิลาสินีส่งศรให้แก่เจ้าชายองค์สุดท้ายแล้วลอบถอนใจเฮือก มีกษัตริย์จากนครน้อยใหญ่ในพิธีสยุมพรครั้งนี้ห้าสิบแปดองค์ ไม่นับว่ามากแต่ก็ไม่นับว่าน้อย นางได้แต่ภาวนาว่าจะมีเพียงลูกศรในมือกฤตพรตเท่านั้นที่เข้าเป้า ช่วยให้นางหลบเลี่ยงชีวิตสมรสอันน่ากลัวได้สำเร็จ
หญิงสาวเบิกตาขึ้นเล็กน้อย จริงสิ นางยังไม่รู้เลยว่าเป้าธนูคืออะไร
“ขอเจริญพร เจ้าจอมบพิตรทั้งปวงที่มาประชุมกันในพิธีสยุมพรแห่งนี้”
ฤๅษีป่าประดู่ปราศรัยทักทายจากปะรำพิธีหน้ากระโจมขาว วิลาสินีเดินอย่างระมัดระวังไปนั่งที่แท่นใกล้ ๆ บิดา เครื่องประดับทองคำที่นางสวมใส่ไม่ได้เยอะจนเกินไป แต่สำหรับหญิงสาวที่ท่องป่าตัวเปล่าตลอดจนชินก็รู้สึกหนักและรำคาญ นางจึงเพียงแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ได้แย้มยิ้ม ดูมาดสงบเสงี่ยมผิดวิสัย
พระฤๅษีทักทายบรรดากษัตริย์อีกเล็กน้อยก็แบมือขึ้น ปรากฏเป็นผลทับทิมสดวางอยู่บนฝ่ามือเหี่ยวย่น ท่านส่งให้วิลาสินีรับไว้ นางออกจะงุนงงเล็กน้อย ไม่ใคร่รู้เรื่องพิธีการ
“ผลทับทิมนี้จะผูกเชือกแขวนไว้บนยอดไม้” พระฤๅษีอธิบาย ชี้นิ้วขึ้นด้านบน ยอดไม้ที่ว่าคือยอดต้นประดู่ใหญ่เก่าแก่ที่พราวไปด้วยดอกเหลืองต้องสายลมโยกไหวตลอดเวลา บางกิ่งมีผลประดู่แบนสีเขียวอ่อน พวกมันทยอยหลุดร่วงลงมาด้วยแรงพระพาย “จงยิงตัดเชือกให้ผลทับทิมร่วงลงมาได้ แล้วจับรับไว้ กำนัลเป็นของขวัญวิวาห์แก่วิลาสินี”
“แค่นี้หรือ” สิงห์ศัตรุตกระซิบ เงื่อนไขนี้ฟังดูง่ายเกินไปไม่สมเป็นกติกาสยุมพร การยิงธนูเป็นกีฬากษัตริย์อยู่แล้ว เจ้าชายแทบทุกองค์สามารถยิงเป้าบินขณะนั่งบนหลังม้าที่กำลังควบตะบึงสุดฝีเท้าได้ แค่ยิงยอดไม้ที่โบกไปมาตามกระแสลมไม่นับว่าหนักหนา
กฤตพรตวางสายตาไว้ที่ปะรำพิธี พระฤๅษีคุยอะไรกับวิลาสินีสองสามคำ แล้วหญิงสาวก็ยกผลทับทิมขึ้น กล่าวอธิษฐานให้ทุกคนได้ยินทั่วว่า นางจะเป็นภรรยาของสวามีที่ได้จากพิธีสยุมพรนี้ไปเจ็ดชาติตามประเพณี
“แม้นพระพรหมลิขิตไว้ให้ครองคู่ ดลธนูปักรักดังปรารถนา
เจ็ดชาติภพสบเนตรมิคลาดคลา ร่วมชีวาประสมสองเป็นหนึ่งเดียว”
พระฤๅษีรับผลทับทิมมาจากมือนาง แล้วเสกให้มันเหินขึ้นไปแขวนบนยอดไม้กิ่งที่สูงที่สุด จากนั้นท่านก็ยกอ่างเงินดำขึ้นมา ค่อย ๆ เดินไปที่กลางลานประลองแล้ววางมันลง เป็นอ่างเดียวกับที่ปลุกเสกธนูเมื่อวานนั้นเอง วิลาสินีถือคนโทน้ำเดินตามไป เทน้ำสะอาดลงในอ่างจนเกือบเต็ม
ภาพสะท้อนบนผิวน้ำเห็นเลือนรางเป็นผลทับทิมแดงที่แขวนต่องแต่งอยู่บนยอดไม้ไหว
“จงจอมบพิตรทุกองค์เล็งยิงศรจากภาพเงาสะท้อนในผิวน้ำนี้ ห้ามมิให้เงยพักตร์ดู”
เสียงพึมพำดังขึ้นมาจากเหล่าเจ้าชาย เงื่อนไขนี้ยากพอ ๆ กับพิธีสยุมพรโบราณในตำนานภารตยุทธ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ถูกบังคับให้ยกธนูพระศิวะแบบพิธีสยุมพรพระนางเทราปตี (ราชธิดาของท้าวทรุปัทในเรื่องมหาภารตะ เงื่อนไขพิธีสยุมพรของนางคือ ให้เจ้าชายแต่ละเมืองยกธนูทองของพระศิวะ ซึ่งหนักเท่าภูเขาพันลูก ที่วางอยู่กลางสนามประลองขึ้น แล้วยิงให้ถูกตาของปลาปลอมที่แขวนอยู่บนยอดเสาซึ่งหมุนอยู่ตลอดเวลา แต่ให้เล็งโดยดูเงาจากในน้ำเท่านั้น เจ้าชายอรชุนผู้มีพรสวรรค์ทางธนูเป็นผู้ชนะ และเทราปตีได้เป็นชายาร่วมของกษัตริย์ปานฑพห้าพี่น้อง)
วิลาสินีถึงกับเหงื่อตกยิ้มเฝื่อน หากเป็นนางพอได้ฟังกติกาสุดหินแบบนี้ คงจะเปลี่ยนใจ กลับบ้านกลับช่องไปเลย ทว่าเจ้าชายจากเมืองต่าง ๆ ล้วนมีขัตติยมานะ เมื่อมาร่วมพิธีแล้ว จะนึกหวั่นหันหลังกลับเสียเป็นไปไม่ได้
กฤตพรตถอนใจ ตรึกว่าตนอาจจะทำให้ฐิรังกาได้ขายหน้าก็คราวนี้ เขาไม่ใช่นักแม่นธนูเลยจริง ๆ เรื่องสงครามหาใช่กิจการของเขาไม่ กระทั่งกีฬาล่าสัตว์ที่เจ้าชายทั่วไปนิยมเล่นอยู่เนือง ๆ เขาก็ไม่เคยนิยม สรุปรวมเวลาที่เจ้าชายฐิรังกาลำดับหนึ่งใช้ไปกับการฝึกธนูน้อยนัก นอกจากเป้านิ่งเขาไม่มั่นใจอะไรทั้งสิ้น
กฤตพรตจึงหวังแต่เพียงว่าจะยิงพลาดไปใกล้ ๆ พอให้ฐิรังกาไม่ต้องหน้ายับอับอายว่าเจ้าแผ่นดินมีฝีมือธนูต่ำ อย่างไรเขาก็ไม่ได้จะมาเอาชายาอยู่แล้ว
ฤๅษีป่าประดู่กลับไปยังปะรำพิธีพร้อมกับวิลาสินี
“เมื่อมีบุรุษคนแรกยิงศรได้ตามเงื่อนไข จะเป็นเจ้าบ่าวของวิลาสินีทันที และสิ้นสุดพิธี” พระฤๅษีคล้ายจะไม่ต้องการเสียเวลามากมาย กล่าวคือถ้าใครยิงได้ท่านก็จะปิดงานเลย ไม่จำเป็นต้องให้ลองยิงจนคนสุดท้าย “ถึงกาลอันเป็นมงคลแล้ว ขอเจริญพร”
วิลาสินีนั่งลงอีกครั้งหนึ่ง หัวใจเต้นประหนึ่งรัวกลอง เจ้ารัชตะ เจ้าชายจากฉัตรเสนอยู่ที่หัวแถว เขาเป็นคนแรกที่มาถึงลานประลอง ชายหนุ่มมองมาทางนางอึดใจหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่กลางลานเพื่อหาตำแหน่งที่เขามองเงาสะท้อนในน้ำแล้วคะเนได้ว่าควรเล็งศรไปทางใด
คันศรของเจ้าฉัตรเสนตั้งขึ้นไปทางยอดประดู่ เนตรหลุบลงมองภาพในอ่างเงินดำ สายลมที่พัดระเรื่อยเริ่มอ่อนลงจนผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นค่อย ๆ นิ่ง
ลูกธนูดีดตัวออกไป วิลาสินีกำมือเย็นเฉียบอยู่บนตัก
ฟิ้ว!
ศรหางขนนกขาววิ่งผ่านกิ่งไม้ที่ห้อยผลทับทิมไปอย่างฉิวเฉียด ทว่าไม่ถูกเป้าหมาย รัชตะตกตะลึงและก้มมองคันธนูของตนเองอย่างไม่เชื่อ วิทยาอาคมทุกหยาดหยดอาบอยู่ในเนื้อไม้และสายศรศักดิ์สิทธิ์อย่างที่เขามั่นใจว่าจะไม่มีวันพลาดเป้า
“เราลืมแจ้งไป” สิทธิสวามินเอ่ยเสียงเนิบ “ความสกปรกของมายาและไสยกล...ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในพิธี”
รัชตะมีสีหน้าเข้มขึ้น เขาทั้งโกรธ อาย และเสียใจ แต่ก็รักษามารยาทด้วยการไหว้ลาถอยไปนั่งดูด้านหลัง เจ้าชายองค์ต่อ ๆ มาลองยิงศรทีละองค์ และแถวก็ค่อย ๆ ขยับร่น บ้างยิงถูกกิ่งไม้ ใบไม้ บ้างก็ยิงถูกผลทับทิมเข้า ทำให้พระฤๅษีต้องเสกทับทิมผลใหม่เหินขึ้นไปแขวน แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครยิงตัดเชือกได้พอดีตามกติกา
เมื่อถึงตาของเจ้ารามราเมศ เจ้าชายหนุ่มขึ้นสายธนูรอให้น้ำในอ่างเงินดำนิ่งสนิทอยู่เป็นนานสองนาน เนตรนิลฉายความลังเลบางอย่าง วายุพัดโบก เศษใบไม้เล็ก ๆ ตกลงไปบนผิวน้ำ เกือบนาทีกว่าที่ผิวน้ำจะเรียบดุจกระจก
ลูกธนูพุ่งฉิวออกไป แทงคาขั้วผลทับทิมที่ผูกเชือกไว้ ทว่ากลับไม่ยอมขาดตกลงมา
รอบลานพิธีเกิดเสียงฮือฮา รามราเมศระบายยิ้มและค้อมศิระให้แก่วิลาสินี
“น่าเสียดาย มิใช่วาสนาของข้า”
สายตาของวิลาสินีจับจ้องให้ความสนใจแก่กฤตพรตที่เดินเข้ามาเป็นคนต่อไป ขณะที่สิทธิสวามินเสกทับทิมผลใหม่ให้ หัวใจนางเต้นลุ้นระทึก เม้มปากน้อย ๆ เมื่อเห็นกฤตพรตพาดศรช้า ๆ ต่างกับท่วงท่าชำนิชำนาญของน้องชาย ดวงตาคมของชายหนุ่มมองดูระลอกคลื่นบนผิวน้ำ วิลาสินีได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ มือเรียวประสานเข้าหากัน
ได้โปรด... ขอเทพเทวาโปรดเมตตา บันดาลให้เขาได้เป็นสวามีของข้า... อย่าให้ต้องเป็นชายอื่นที่จะมาบังคับขืนใจให้ข้าคลอดลูกของเขาอย่างที่ไม่พร้อมจำยอม ขอร้องเถิด ข้าไม่เคยขอกระไรมากกว่านี้...
กฤตพรตเกร็งมือ คะเนจากเงาบนผิวน้ำที่เห็นเงาผลทับทิมแดงแกว่งไหว ๆ เขาพอจับทิศได้ แต่ระดับสูงจากพื้นของมุมคันศรเป็นเรื่องต้องอาศัยประสบการณ์ซึ่งเขาออกจะขาด เจ้าชายหนุ่มจึงตั้งไหล่เล็งในระดับเดียวกับที่เห็นรามราเมศตั้ง และขึ้นสายศรเพื่อจะยิงให้จบ ๆ ไป
หางธนูขาวเปื้อนชาดแดงแตะที่ปลายนิ้วของเขา หัวศรแหลมคมเป็นประกายพร้อมจะพุ่งตัดเชือกให้ขาดลงอย่างง่ายดาย ชั่วขณะหนึ่งกระแสลมและน้ำสงบนิ่ง กระทั่งยอดไม้ก็นิ่งตาม ภาพผลทับทิมกลมแดงดั่งดวงมณีลอยเด่นกลางอ่างเงินดำ เส้นเชือกเหนือขั้วผลขึ้นไปผูกกับกิ่งไม้เป็นเส้นตรงผอมบาง
แล้วกฤตพรตก็รู้สึกถึงมัน... ความเร่งเร้าของพลังมนตราที่จะพุ่งไปยังจุดหมายไหลเวียนอยู่ในตัวศร มันทั้งร้อนและเย็น เป็นสิ่งเดียวที่แฝงชีวิตจิตใจเคลื่อนไหวท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่กำลังนิ่ง
ดวงตาสีนิลคมเบิกกว้างขณะขมวดคิ้ว กำลังจะลดศรลงด้วยสัมผัสถึงความผิดปกติ ทว่าอาคมที่ลงในศรนั้นมีจุดมุ่งหมายสำคัญของตนเอง มันกลายเป็นของเขา เฝ้ารออยู่ในมือเขาตั้งแต่วินาทีที่วิลาสินีมอบให้มา... มันรู้สิ่งที่เขารู้ มันเห็นว่าสิ่งใดคือเป้าหมาย
ฉับ…!
เสี้ยววินาทีนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะหยุดยั้ง ลูกธนูพุ่งหนีหลุดจากปลายนิ้วของเขาปานว่าเป็นเหยี่ยวที่ฝึกฝนมาอย่างดีทะยานเข้าจับเหยื่อ วิลาสินีลืมตัวผุดลุกขึ้นมองตาม จู่ ๆ ลมหอบใหญ่ก็กระหน่ำเข้ามาจนทุกอย่างโยกไหว ใบไม้ร่วงปลิวว่อน
“อ๊ะ!”
บางสิ่งสีแดงร่วงกระเด็นมา แล้ววิลาสินีก็รีบยกมือคว้าไว้ ตกใจแทบกรีดร้องเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ถูกพัดมานั้นคือผลทับทิมที่มีเชือกผูกอยู่ตรงขั้วถูกตัดขาด
“พระสมุทร...”
วิลาสินีสบถไม่มีเสียงทั้งตาถลน กุมผลไม้ที่เพิ่งตะครุบมาได้ดั่งของล้ำค่า หันมองกฤตพรตด้วยสีหน้าสุดจะเหลือเชื่อและดีใจจนเนื้อเต้น กฤตพรตก็กำลังจ้องมองนางเขม็งเช่นกัน แต่สีหน้าของเขากลับเคร่งเครียดและตกใจมากกว่าจะยินดี เขาไม่ได้ขยับจากตำแหน่งเดิมเพื่อจะวิ่งไปรับผลทับทิมมาส่งให้นางด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าลมไม่ได้พัดยอดไม้โบกเหวี่ยงให้ลูกทับทิมตกมาทางนี้ล่ะก็ เห็นทีกฤตพรตจะปล่อยให้มันตกลงกับพื้นเฉย ๆ
แต่อย่างไรนั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว วิลาสินียิ้มกว้างชูผลทับทิมขึ้นให้ทุกคนเห็นโดยทั่วกัน
“โว้ย!!!” สิงห์ศัตรุตเขวี้ยงลูกธนูปักลงพื้นอย่างออกจะหัวเสีย “ข้ายังไม่ได้ลองเลย อะไรกันเนี่ย!” บ่นเสร็จส่ายหัว หัวเราะพรืดเสียงดัง ขณะซบหน้ากับไหล่รามราเมศผู้เป็นพี่อย่างขบขัน “ดูเถิด เจ้าพี่รามก็ยิงไม่ตก ส่วนข้าก็ไม่ได้ยิง แต่คนเหมาะจะไปอยู่วัดอย่างเจ้าพี่พรตดันยิงตัดเชือกฉับเดียว ทับทิมกระเด็นไปหานางอย่างกับจับวาง เอ๊อ! ชีวิตนี่ประหลาดเสียจริง!”
รามราเมศก็ได้แต่หัวเราะ ตบไหล่อนุชา “เอาน่า หักใจเสียเถิดน้องรัก เมื่อเป็นเรื่องพรหมลิขิตแล้วก็ป่วยการจะคร่ำครวญ”
เจ้าชายจากนครต่าง ๆ ก็ดูจะผิดหวังและฉุนเฉียวไม่น้อย แต่ด้วยมารยาทของพิธีสยุมพร ประกอบกับผู้ที่ประลองศรชนะเป็นถึงเจ้าฐิรังกาผู้ครองดินแดนนี้เอง ก็ไม่มีใครประสงค์จะก่อการวิวาท
กฤตพรตเสียเองต่างหากที่ยืนตัวแข็งและอยากจะทำลายความราบรื่นของพิธีอยู่ในใจ ชายหนุ่มหน้าชา ในศรนั้นมีอาคม! กลโกงสกปรกที่เขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าเป็นศรที่ชุบโลหิตล้างมายาของผู้เป็นอาจารย์ไว้ มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ด้วยประการทั้งปวง
รอยเปื้อนชาดแดงเลอะที่ปลายนิ้วชวนให้สะกิดใจ แล้วเมื่อไตร่ตรองดู เจ้าชายหนุ่มก็คิดว่ารู้ตัวการ...คนคนเดียวที่มีสายโลหิตร่วมกับสิทธิสวามินและมีโอกาสทำเรื่องเช่นนี้กับลูกธนูก่อนพิธีสยุมพรได้...
“วิลาสินี” พระฤๅษีเรียกให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง “รีรอกระไร จงเข้าไปไหว้สวามีของเจ้า”
วิลาสินีค่อย ๆ เดินลงจากปะรำอย่างประหม่า ทุกสายตาจับจ้องมา แต่สายตาแฝงความพิโรธของเจ้ากฤตพรตดูจะทำให้นางหวั่นใจที่สุด นางไม่เคยเห็นกฤตพรตโกรธ ไม่ว่าจะตอนเป็นเด็กหรือตอนนี้ ทว่าดูเหมือนเจ้าชายหนุ่มกำลังขุ่นใจอย่างยิ่ง และบรรยากาศรอบตัวเขาก็เย็นเยียบแทนที่จะเดือดดาลเป็นไฟ เขามองนางราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังตำหนิเด็กทำความผิด
เขารู้ว่านางลงอาคมไว้ในศร สายตาเขาบอกเช่นนั้น!
วิลาสินีได้แต่ก้มหน้างุด เดินมาจนถึงตรงหน้าอีกฝ่าย แล้วยกผลทับทิมขึ้นจบเหนือหน้าผาก ไหว้ฝากเนื้อฝากตัว จากนั้นก็ได้แต่เงียบไม่รู้จะพูดอะไร กฤตพรตก็ยกมือรับไหว้ช้า ๆ จับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของนางเปิดออก
นัยน์ตาสีดำและเขียวสบประสานกันเพียงแวบเดียว แล้ววิลาสินีก็รีบหลบตา รับรู้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่นิด นางยกผลทับทิมขึ้นไว้ระดับอก ทับทิมคเนศสีแดงแก่ก่ำเป็นพลอยโกเมนน้ำหนึ่งจากสรวงที่เทพประทานแก่ชมพูทวีปแห่งเดียวในโลก วิลาสินีจ้องดูผลไม้เปลือกบางนิ่มนั้นเนิ่นนานขณะประคองไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ประหนึ่งว่านางกำลังเพ่งพินิจดูหัวใจของเขาก็มิปาน หัวใจที่อุตส่าห์แอบแขวนไว้เสียสูงลิบ ทว่าศรแต้มชาดแดงแห่งโชคชะตาที่นางลิขิตด้วยตนเองก็สามารถตัดมันตกลงมาจนได้
ปกติแล้ว เจ้าบ่าวควรจะกล่าวคำรักหรือชมโฉมเป็นมงคลหลังจากเปิดผ้าคลุมหน้า แต่กฤตพรตเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่นออกมาได้แค่ว่า “เราไม่รู้ว่าสมควรจะกล่าวสิ่งใด... เราไม่เคยคิดว่าบุญกรรมจะตบแต่งให้เป็นไปเช่นนี้ได้”
“แน่แท้ทีเดียว เป็นกติกาสยุมพรที่ไม่ง่ายจริง ๆ ฝ่าบาทคงจะทรงดีพระทัยตื่นเต้นกับเจ้าสาวที่แสนงดงามจนตรัสไม่ออก” บรรดากษัตริย์จากเมืองอื่น ๆ พากันพยักหน้าพาที ชื่นชมว่าทั้งคู่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก
วิลาสินีเหลือบมองกฤตพรต เขามองนางนิ่งนานและว่า
“งามหรือ... จริง เราสรรเสริญได้ว่าเจ้าเป็นดรุณีงดงามที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้ เป็นที่เจริญตาโลมใจ เราไม่เคยพบเห็นสตรีใดรูปงามเกินกว่าเจ้า”
นี่พอจะนับเป็นคำชมโฉมมงคลได้ นัยน์ตาสีรัตติกาลหลุบลง ค่อย ๆ ถอดแหวนวงน้อยจากนิ้วก้อยของตน มันเป็นธำมรงค์ประจำองค์วรชายา ซึ่งเหล่าเจ้าชายฐิรังกาจะสวมไว้กับตัวตั้งแต่เริ่มแตกหนุ่ม จนกว่าจะได้พบกับสตรีที่ตนเลือก แหวนของกฤตพรตเป็นแหวนหัวมรกต เจียระไนทรงหยดน้ำ สีเขียวใสสดดั่งใบไม้ที่เพิ่งสะเด็ดน้ำค้างยามรุ่งสาง ใบหน้าคมแค่นยิ้ม ลดเสียงลงกล่าวว่า
“...แต่สาวและงามก็คงอยู่ได้ไม่นานเท่าไร แม้มักกะลีผลในหิมพานต์ที่ต้องฆ่ากันเพื่อแย่งชิง ก็สดสวยอยู่ได้เพียงเจ็ดวันก่อนจะเน่า หรือเจ้าว่าประการใด”
(นารีผล ต้นไม้ในตำนานที่เชื่อว่าออกผลสุกเป็นหญิงงามวัยสิบหกปี บรรดาฤๅษี กินนร วิทยาธร และคนธรรพ์ในป่าจะมาต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อไปเสพสังวาส และถนอมระแวดระวังอย่างดี ทั้งที่นารีผลอยู่ได้ไม่นานก็เน่าเปื่อย เปรียบได้กับความสุขความงามจากกามตัณหาที่ไม่ยั่งยืน)
วิลาสินีเม้มปาก “หม่อมฉันไม่ใช่มักกะลีผลนะเพคะ”
“เราก็คิดว่ามิใช่... มักกะลีผลไม่รู้จักใช้ชาดทาปากเป็นแน่”
รู้จริง ๆ ด้วยสิ แถมกริ้วหนักเข้าแล้ว... วิลาสินีโอดครวญอยู่ในใจ ส่งสายตาขอความสงสาร สวามีหมาด ๆ ของนางผู้นี้ไม่พิศวาสอยากให้นางผลิตทายาทให้สมใจแน่ล่ะ ดูท่าจะไม่โปรดนางเลยด้วย สำหรับกฤตพรตแล้วมันคล้ายจะเป็นการหมิ่นเกียรติอย่างใดอย่างหนึ่งที่บังอาจใช้กลโกงสกปรกในพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่อัญเชิญเทพมาเป็นประธานเช่นสยุมพร โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นกับเขา แต่ไม่ใช่ฝีมือเขา ทว่าเป็นตัวเจ้าสาวในกระโจมขาวสะอาดเสียเอง จะให้เขาพอใจเรื่องส้มหล่นประเภทนี้ได้ไฉน
แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าสาวที่ได้จากการสยุมพรถือเป็นเรื่องวาสนาเทพอุ้มสม จะเป็นคู่ครองกันเจ็ดชาติ ดังนั้นวิลาสินีไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งสนมทั่วไป แต่ต้องได้เป็นวรชายา กฤตพรตจึงขอมือของนางมาสวมแหวนมรกตให้ที่นิ้วกลางตามธรรมเนียมฐิรังกาเพื่อหมั้นหมาย
สิทธิสวามินยิ้มน้อย ๆ อยู่ใต้แผงหนวดเคราอย่างเปรมปรีดา แน่นอนที่สุดว่าเจ้ากฤตพรตเป็นหนึ่งในศิษย์รักของท่าน ท่านจึงเข้ามาอวยพรและแต้มผงวิภูติ (ขี้เถ้าที่เกิดจากการเผากำยานเสกในพิธีต่างๆ ถือว่ามีพลังของเทพที่จุดบูชาสถิตอยู่) สีเงินบนหน้าผากแก่ทั้งสอง ลากยาวขึ้นไปถึงไรผม
“หวังว่าจอมบพิตรจะไม่ทรงรำคาญนางหนูของเราจนเกินไป นางยังเด็กและต้องการบดี (ผู้เป็นใหญ่ ใช้หมายถึง เจ้านาย หรือ สามี ภาษาไทยรับมาใช้เช่นในคำว่า 'ชายาปติ' สามีภรรยา, ปดิวรัดา 'ผู้อดทนปรนนิบัติสามี') ผู้ดูแลสั่งสอน ที่สำคัญนางเป็นเพียงชาวป่า ไม่รู้ธรรมเนียมชาววัง ไม่รู้หนังสือ เพื่อนพ้องสมาคมส่วนใหญ่ก็คือเดรัจฉานในป่าเท่านั้น ความคิดวิจารณญาณจึงออกพิเรนทร์อยู่บ้าง... หนักนิดเบาหน่อยก็ขอทรงพระกรุณาประทานอภัยให้นางด้วย แต่หากว่าดื้อนักก็ทรงด่าตีได้ตามพระทัย”
“ขอบพระคุณพระอาจารย์ แต่ว่าไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ข้าต่างหากจะได้เรียนรู้จากชายาผู้ได้ร่วมบุพเพสันนิวาสกันมา และเป็นบุรุษที่สมบูรณ์ขึ้น” เสียงเรียบตอบอย่างสุภาพ “ข้าให้สัตย์สาบานจะปกป้องดูแลไม่ให้นางตกอยู่ในอันตรายใดๆ ตราบที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ นี่คือของขวัญแต่งงานจากกฤตพรตผู้นี้”
“เป็นของขวัญที่มีค่าอย่างยิ่ง ทวยเทพและหน่อเนื้อมหาราชทั้งสิ้นในที่นี้เป็นพยานในวาจาของจอมบพิตรแล้ว” พระฤๅษีหันมาทางบุตรีและเลิกคิ้ว “ว่าอย่างไร ไม่ขอบพระทัยพระองค์หรือ”
“ขอบพระทัยเพคะ” วิลาสินีตอบอ่อย ๆ “หม่อม...หม่อมฉัน...จริง ๆ หม่อมฉันก็มีเรื่องอยากจะพูดเหมือนกัน!”
กฤตพรตกะพริบตา เนตรนิลเลื่อนไปมองนาง หญิงสาวมีท่าทีกระวนกระวาย แก้มซับสีเลือดด้วยไม่รู้เป็นอารมณ์เขินหรือรู้สึกผิด ดวงตารวนเรของนางมองไปรอบ ๆ ลานประลองที่เจ้าชายเกือบหกสิบองค์ประทับอยู่ แล้วก็เงยหน้ามาสบตากับเขา
“หม่อมฉันอาจจะ...ทำอะไรให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย แต่ว่า...” นางกัดปากเล็กน้อย “หม่อมฉันดีใจมากที่ได้เป็นชายาของฝ่าบาท และคิดว่าหม่อมฉันจะไม่มีวันเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เพคะ”
พระฤๅษีคิ้วกระตุกเล็กน้อย คล้ายสงสัยในวาจากำกวมนั้น หันขวับมามองกฤตพรต เจ้าชายหนุ่มเข้าใจแต่ก็ตอบกระไรไม่ถูก ความขุ่นเคืองเริ่มจะหายไปแล้วและอยากคุยกับนางให้รู้เรื่องมากกว่าว่าโกงพิธีสยุมพรทำไม แต่ยามนี้คงยังไม่ใช่เวลาจับเข่าคุย ยามนี้เป็นเวลาที่เขาต้องตัดสินใจว่า จะเปิดโปงความผิดของวิลาสินีหรือเล่นตามน้ำ
ปากบางหยักเผยอขึ้นเมื่อสบตากับอาจารย์ของตน หมายจะพูดบางอย่างออกไป แต่แล้ว...จู่ๆเขาก็แลเห็นหางตาคมงามของหญิงสาวที่สั่นไหวด้วยความกลัวนั้นมีปลายคมดุจหัวลูกศร โค้งใบหูของนางกลายเป็นคันธนู และเส้นจอนผมที่หลุดลุ่ยผ่านผ้าคลุมผมเป็นสายขึง และเมื่อนางชายตามองมาสบ ศรนั้นก็ยิงเข้าทิ่มแทงอกเขาไม่หยุดหย่อน
กฤตพรตกำมือแน่น เขาเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงคลายออกพร้อมกับค้อมศีรษะ
“หากเจ้าแน่ใจเช่นนั้น เราก็ยินดีที่เจ้าพอใจเป็นชายาของเรา... วันนี้จงไปพักผ่อนเถิด เราทั้งสองจะแต่งงานกันวันพรุ่งนี้”
***
แม้กฤตพรตจะกล่าวเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วก็หาได้มีใครพักผ่อนไม่ พิธีวิวาห์ของสามัญชนมีเรื่องต้องตระเตรียมมากมายเพียงใด พิธีวิวาห์ของราชโอรสยิ่งคูณสิบ กฤตพรต รามราเมศ และสิงห์ศัตรุตรีบเข้าไปตกลงกับสิทธิสวามินบนอาศรมเป็นการส่วนตัว ขณะที่พวกเจ้าชายจอมเวทที่เป็นศิษย์ของพระฤๅษีรับอาสาสวมบท ‘ญาติฝ่ายเจ้าสาว’ ในฐานะพี่ชายของวิลาสินี เพราะนางกับสิทธิสวามินไม่มีญาติที่ใดในป่านี้ ช่วยกันลงมือเสกที่พักและอาหารรองรับแขก
วิลาสินีถูกสั่งให้ไปชำระขัดถูร่างกายให้สะอาดทุกซอกทุกมุม กว่านางจะกลับมาถึงกระโจมขาวก็แทบงง เพราะเห็นกระโจมสำหรับแขกคือบรรดาเจ้าชายต่างเมืองมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมดจนละลานตา บิดาของนางรออยู่ในกระโจมขาวอยู่แล้ว ท่านนำถาดดอกไม้กลมขนาดใหญ่มาวางไว้บนพื้นพรมตรงกลาง แล้วก็สั่งให้วิลาสินีลงไปนั่งชันเข่า
พระฤๅษีดึงผ้าคลุมศีรษะของนางออกไปพร้อมกับส่าหรีส่วนที่พาดไหล่ จากนั้น เรือนผมของนางก็เปียกโชกทันที แล้วก็เปียกตามไปหมดทั้งตัว วิลาสินีสะดุ้งเฮือก
“ท่านพ่อ! เอ๋ น้ำนมหรือคะ” มองไม่ทันทีเดียว ไม่รู้ว่าบิดาเทนมโคบริสุทธิ์ออกมาเมื่อไร นางยกมือลูบหน้าลูบตาขณะที่ไอค่อกแค่กด้วยความตกใจ มืออุ่นๆของบิดาปาดขมิ้นลงบนไหล่ของนางเป็นลำดับต่อมา
“ก่อนสมรส ก็ย่อมต้องขัดสีฉวีวรรณป้องกันเสนียดให้เรียบร้อย... พ่อตกลงกับราชบุตรฐิรังกาทั้งสามแล้วว่า จะจัดพิธีวิวาห์อย่างสมถะที่สุด แต่อย่างไรเจ้าก็ควรจะเป็นเจ้าสาวที่ผ่านขั้นตอนอย่างถูกต้องสมเกียรติ ไม่ให้มีข้อโต้แย้งหรือครหาภายหลังได้” สิทธิสวามินพึมพำ ในมือถือโถบรรจุขมิ้นชันที่บดละเอียดแล้วยกขึ้นให้นางดูว่าได้มาจากฝ่ายเจ้าบ่าว ท่านผสมแล้วแบ่งกลับไปให้เจ้าบ่าวใช้ด้วยตามธรรมเนียม ทำให้วิลาสินีตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อยว่า ตอนนี้กฤตพรตก็คงกำลังทำพิธีขัดขมิ้นตัวเขาเองอยู่เหมือนกัน “เอ้า อย่ามัวแต่เฉย ช่วยพ่อขัดเองเสียด้วยสิ”
“แล้วฝ่าบาทกฤตพรตประทับอยู่ไหนหรือคะ ท้าวฐิรังกากับพระมเหสีจะเสด็จมาทรงขัดพระฉวีให้พระองค์หรือ” นางถามอย่างสงสัย แม้จะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ หากท้าวฐิรังกากับพระมเหสีจะเสด็จมา ก็คงจะเสด็จร่วมพิธีสยุมพรด้วยไปแล้ว แต่ว่ากฤตพรตเป็นโอรสองค์โต ญาติที่เป็นผู้ใหญ่กว่าซึ่งควรเป็นผู้ขัดขมิ้นให้เขาจะเป็นใคร
“ในกระโจมหลังอาศรมโน่น ผู้ที่รับเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวคือเจ้ารามราเมศ เพราะทรงพระยศสูงกว่าในฐานะรัชทายาท แม้จะมีพระชันษาอ่อนกว่าเจ้ากฤตพรตก็ตาม”
ฤๅษีป่าประดู่เข้าใจว่าบุตรสาวถามถึงเรื่องใดอยู่
“มันไม่สู้สำคัญอะไรหรอก หลังพิธีวิวาห์แล้วเจ้าค่อยไปเข้าเฝ้าท้าวฐิรังกาได้ เจ้ากฤตพรตอย่างไรก็ประสูติใต้ร่มเศวตฉัตร ทรงศักดิ์และศรีสมวรรณะกษัตริย์โดยตัวพระองค์เอง ต่อให้ไม่มีพระญาติองค์ใดเสด็จมาร่วมพิธี ความจริงข้อนี้ก็มิได้เปลี่ยนแปลง... เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงม้าเสด็จมาป่าแห่งนี้ครั้งแรกกับพวกองครักษ์ และตรัสขอฝากตัวเป็นศิษย์ของพ่อโดยไม่มีผู้ใหญ่ พ่อก็ไม่ถือสาอะไร”
วิลาสินีหลุบตาลงเล็กน้อย ก้มหน้าถูแขนขาตัวเอง นางเคยเป็นเพื่อนเล่นกับกฤตพรตตอนเด็ก ๆ แต่ก็ไม่เคยได้ยินเจ้าชายหนุ่มปริปากเรื่องครอบครัว รู้แต่จากคนอื่น ๆ เล่าว่ามารดาของเขาเคยเป็นสนมที่ท้าวฐิรังกาโปรดมาก แต่เขากลับไม่เป็นที่โปรดเอาเสียเลย เพราะแรกเกิดมาก็เป็นเหตุให้นางตกเลือดไม่หยุด ทุรนทุรายจนสิ้นใจ
วิลาสินีเองก็กำพร้ามารดา แต่มารดาของนางป่วยตายกะทันหันตอนนางอายุสามขวบ นางได้รู้จักความรักความอบอุ่นอันยิ่งใหญ่นั้นมาแล้ว และนางก็ยังมีบิดาคอยสั่งสอนเลี้ยงดู เป็นหลักในชีวิตของนางอยู่
หญิงสาวนึกไม่ออกเลยว่าถ้ากำพร้ามารดาแล้ว บิดายังไม่รักเสียอีก ส่งออกนอกบ้านไปอยู่ที่ไกลคนเดียวหลายปี นางจะรู้สึกอย่างไร วันสำคัญที่สุดวันหนึ่งในชีวิตอย่างวันแต่งงานจะอยากให้บิดามาเป็นผู้ใหญ่หรือไม่
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ คงจะน่ากลัวมากกว่านี้ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมา แค่เจ้าชายทั้งหลายก็ทำข้าเกร็งไปหมด” นางกระแอมแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ท่านพ่อคงมีความสุขมากที่ได้ฝ่าบาทเป็นเขย”
สิทธิสวามินยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องมีคำว่าสุขหรือทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าเป็นไปตามครรลอง เมื่อได้ครองคู่กันมาเจ็ดชาติ ก็ย่อมครองกันต่อไปเป็นธรรมดา ดั่งหิมะที่กำเนิดใหม่ที่เดิมบนยอดเขาทุกฤดูหนาว และละลายลงเป็นลำธารสายเดิมทุกฤดูร้อน จิตจะต้องหวั่นไหวเป็นสุขทุกข์กับวัฏจักรเช่นนี้ด้วยเหตุใด”
“ท่านพ่อพูดอะไรแบบนี้ ข้าไม่เข้าใจหรอกค่ะ ท่านพ่อเองก็พูดอยู่ตลอดนี่คะว่าข้าเป็นแค่เด็กโง่ ดื้อด้าน คิดอะไรตื้น ๆ แถมยังไม่มีศรัทธาอีกด้วย” คนแอบใช้อาคมแทงปลาเลือกคู่เองแทนเทพเจ้าถูเท้าเข้าหากันไปมาอย่างกระวนกระวาย แต่สิทธิสวามินคล้ายจะไม่สนใจพิรุธ เขากลับถอนใจเบา ๆ ขณะเลิกผมและถูหลังของบุตรสาว
“รู้แล้วว่าตนเป็นคนโง่ก็ดี แต่ก็ควรแก้ไขโดยทำตนให้ฉลาดด้วย โลกภายนอกมันก็ไม่เหมือนในป่าแห่งนี้... พ่อได้เชิญแต่ราชบุตรมาสยุมพร เพื่อเป็นประกันให้ชีวิตเจ้าไม่ลำบากแล้ว ตามที่แม่ของเจ้าเคยเปรยไว้ว่าอยากให้เจ้าสุขสบาย ไม่มีวันต้องอดมื้อกินมื้อเหมือนกับนางสมัยก่อนแต่งงานกับพ่อ นี่ก็ถือว่าเจ้ามีข้อได้เปรียบเหนือคนทั่วไปอยู่มาก แต่กระนั้นเจ้าก็ต้องรู้จักรักษาตัวให้ดีในฐานะพระวรชายา”
พระฤๅษีลูบศีรษะของวิลาสินี
“ลูกเอ๋ย เจ้าน่ะเป็นคู่ชีวิตของเจ้าฐิรังกาลำดับหนึ่ง ต่อแต่นี้ไป เจ้าจะต้องระมัดระวัง ไม่เหลิงไปกับลาภยศที่ได้ครอบครองจนลืมตน เจ้าจะต้องอดทน เรียนรู้การปรนนิบัติสวามีให้มาก ฝ่าบาทกฤตพรตทรงเป็นบุรุษที่ตรัสน้อยคำ ทรงมีระเบียบแบบแผน และทรงมีราชกิจมาก ดังนั้น เจ้าจะเกียจคร้านละเลยพระองค์ไม่ได้ มิฉะนั้นนานเข้าก็จะทรงเหินห่างเจ้าไปอย่างง่าย ๆ ทีเดียว เจ้าต้องหมั่นสังเกต หมั่นถามความในพระทัยของพระองค์เสมอให้เข้าใจกัน”
“ค่ะ” วิลาสินีไหว้รับโอวาท นางแย้มยิ้ม “ที่จริง...ก็แปลกดีนะคะ ท่านพ่อ ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าฝ่าบาทกฤตพรตทรงกลายเป็นคนตรัสน้อยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อทรงพระเยาว์ตรัสเก่งจะตายไป โดยเฉพาะกับนก ยามกลางคืนพระสุรเสียงยังดังกังวานจนกู่เรียกหมาป่าจากในถ้ำลึกออกมาได้... บางทีพระราชวังอาจจะเปลี่ยนพระองค์ไปมาก”
มือเหี่ยวย่นที่ขัดขมิ้นบนหลังของนางชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าจำไม่ได้เลยหรือ”
“จำอะไรคะ”
“ช่างเถอะ เรื่องเก่า ๆ มองปัจจุบันดีกว่า” สิทธิสวามินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “เอาล่ะ หลับตาและกลั้นหายใจ พ่อจะราดน้ำนมอีกครั้ง”
***
พิธีวิวาห์ตอนเช้าวันต่อมาราวกับฝัน วิลาสินีมองทุกอย่างผ่านผ้าคลุมหน้าโปร่งแสงสีแดงด้วยความสะลึมสะลือ เจ้าฐิรังกาทั้งสามออกจากกระโจมอ้อมมายังอาศรมกับทหาร จัดเป็นขบวนแห่อย่างอลังการ นำเสื้อผ้าและเครื่องประดับมากำนัลให้เจ้าสาว สิทธิสวามินออกมาต้อนรับที่ตีนอาศรมและเจิมหน้าผากให้เจ้าชายทั้งสามด้วยรอยยิ้มชื่นบาน
กฤตพรตโดดเด่นกว่าอนุชาทั้งสอง เพราะเขาสวมมงกุฎมีสายไข่มุกร้อยเป็นม่านบังหน้าในฐานะเจ้าบ่าว แลดูลึกลับแปลกตา
วิลาสินีคล้องมาลัยให้ชายหนุ่มอย่างคร้ามเกรง ด้วยมีทั้งผ้าคลุมหน้าของนงและม่านมุกดากางกั้น นางไม่รู้เลยว่าแววตาของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร กฤตพรตคล้องมาลัยให้นางกลับมา จากนั้นทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปยังปะรำพิธีที่จัดขึ้นง่าย ๆ ใต้ต้นประดู่แก่ที่เดียวกับที่ทำการสยุมพร
บ่าวสาวนั่งลงเคียงกันบนแท่นหน้ากองไฟ มีแขกเหรื่อนั่งชมเป็นพยานอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วสิทธิสวามินในฐานะบิดาเจ้าสาวจึงหลั่งน้ำกระทำกัญญาทาน (การให้หญิงสาวพรหมจรรย์ หมายถึงการที่พ่อแม่มอบบุตรสาวให้เป็นภรรยาแก่ชาย) ผ่านฝ่ามือของวิลาสินีกับกฤตพรตที่วางหงายซ้อนทับกัน โดยมีมือของท่านเองโอบอุ้มอยู่ด้านล่าง จากนั้นบ่าวสาวก็จับมือกันไว้ ถือเป็นสัมผัสแรกในฐานะสามีภรรยา
ความอบอุ่นของฝ่ามือชายหนุ่มตัดกับความเย็นของน้ำทำให้วิลาสินีขนลุกเล็กน้อย มือเขาใหญ่กว่ามือนาง ทั้งยังกร้านกว่าอย่างไม่น่าเชื่อแม้ว่านางเป็นชาวป่าและเขาเป็นชาววัง สิทธิสวามินผูกชายส่าหรีของวิลาสินีเข้ากับชายผ้าทรงเฉวียงบ่าของกฤตพรต แล้วเจ้าชายหนุ่มจึงปล่อยมือนาง
เปลวไฟยัญพิธีเต้นระบำวูบไหวอยู่ในสายลมอ่อน กฤตพรตยืนขึ้น พาให้วิลาสินีลุกขึ้นยืนตาม ปกติแล้วเจ้าสาวจะต้องเดินวนรอบกองไฟนำเจ้าบ่าวก่อน แล้วเจ้าบ่าวก็ผลัดมานำ รวมทั้งหมดเจ็ดรอบ วิลาสินีตื่นเต้นและสูดหายใจลึก นางลืมเรื่องมนตร์ที่บิดาสอนว่าจะต้องท่องระหว่างเดินไปสิ้นแล้ว เพียงแต่ควบคุมตนให้สง่าและเตรียมนับอยู่ในใจ ทว่าเพียงแค่ยกขาทำท่าจะก้าวไปก้าวแรกเท่านั้น กฤตพรตก็เอื้อมมาฉวยมือนางไว้
“ไม่ใช่ทางนั้น วิลาสินี เราต้องเดินวนทักษิณาวัตร” เขากระซิบบอกแบบเบามาก ๆ
เกือบไปเสียแล้ว แม่คนง่วงตระหนักว่านางจวนจะเอาหน้าของฤๅษีป่าประดู่และเจ้าฐิรังกามาขายอยู่รอมร่อ นางยืดตัวและออกเดินวนขวารอบกองไฟ แต่มือเมื่อจับกันไว้อีกครั้งแล้ว จะปล่อยเลยทันทีก็ประดักประเดิด วิลาสินีจึงกระชับมือกับเจ้าชายหนุ่มและจูงให้เดินตามแทนชายผ้าที่ผูกติดกัน และร่างสูงโปร่งของเขาจำต้องประกบใกล้นางมากขึ้น ได้กลิ่นเครื่องหอมจากกันและกันอวลกรุ่น
กฤตพรตไม่ได้ตื่นเต้นอย่างวิลาสินี เขาท่องบทลำนำรับพระวรชายาฐิรังกาขึ้นเป็นทำนองเรียบง่าย
“เจ็ดวงโคจรรอบกองไฟ สองใจผูกรักสมัครสมาน
ขอตามติดพิทักษ์เจ้าเยาวมาลย์ จวบจนสิ้นปราณลาญชีวี
นางอื่นหมื่นพันสำคัญไม่ ดวงใจพิศวาสเพียงมารศรี
เจ็ดชาติปรารถนาเลี้ยงรตี ปัตนี มีสิทธิ์กึ่งหนึ่งในทรัพย์
เจ้าจะบริบูรณ์มูลผลาหาร ศฤงคาร บัลลังก์รัตน์ประดับ
ทั้งข้าไทบริวารทหารทัพ จงรับไว้ใช้สอยเป็นของตน”
โอ เสียงของกฤตพรตจู่ ๆ ก็กังวานลึกและชัดเจน ไม่นุ่มนวลอ่อนหวาน ทว่าเชื่อถือได้ ทั้งวิลาสินี แขกที่มาประชุมในงานวิวาห์นั้น และธรรมชาติแห่งป่าประดู่ก็พากันเงียบฟัง สาวน้อยหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกก้าวที่เดินจับมือเจ้าบ่าวของตนไป นางเหมือนกับลอยอยู่ในฝันอีกแล้ว มากะพริบตาตื่นตัวอีกครั้งก็เมื่อเดินวนรอบกองไฟครบเจ็ดรอบ และกฤตพรตตลบผ้าคลุมหน้าของนางออกไปด้านหลัง
เจ้าชายหนุ่มใช้นิ้วนางขวาเจิมน้ำมันสกัดจากไม้มงคลฐิรังกาบนหน้าผากวิลาสินี ปรากฏเป็นรอยดิลกแวววาวกลางหน้าผากครั้งแรกของนาง ปลายนิ้วลากยาวขึ้นไปตามรอยแสกผม เท่านี้ นางก็เป็นชายาของเขาอย่างสมบูรณ์ตามประเพณีของเกาะ นับแต่วันนี้ไปเขาควรจะต้องเจิมหน้าผากนางให้เช่นนี้ทุกเช้าจวบจนตลอดชีวิตในฐานะสวามี
มือของกฤตพรตเคลื่อนจากรอยแสกผมลูบลงมาด้านข้างแผ่วเบาสองสามที ตอนนี้ วิลาสินีมองเห็นดวงตาของชายหนุ่มแล้ว และไม่เห็นสิ่งใดในนั้นนอกจากความเศร้าเจือสงสาร จากนั้นก็แปรเป็นความปล่อยวางอันเฉยชา
“เจ้าคงจะเหนื่อยแล้ว ไปหลบแดดในกระโจมเสียก่อน เรารับแขกเสร็จแล้วจะตามไป”
กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวหันหลังจากไปกับอนุชาทั้งสอง ชายเสื้อผ้าที่ผูกมัดกันไว้ถูกแก้ปมเมื่อไร นางก็ไม่รู้ตัว
***
วิลาสินีนั่งเกร็งอยู่บนเบาะต่วนนุ่มในกระโจมขาว ยามเฝ้าหน้ากระโจมเปลี่ยนเป็นทหารฐิรังกาของเจ้ากฤตพรต สำรับอาหารและขนมนมเนยมากมายจัดเตรียมไว้ในถาดทองสำหรับเจ้าสาว แขกเหรื่อด้านนอกล้วนมีแต่บุรุษ นางจึงได้แยกมานั่งกินมื้อเที่ยงอย่างสงบอยู่ในนี้ ส่วนกฤตพรตก็ฉลองอยู่ด้านนอก
แต่จะไปกินลงคล่องคอได้อย่างไร นางประสาทจะกินแทนอยู่แล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากฤตพรตยินยอมวิวาห์กับนางจนตลอดรอดฝั่ง เขาคิดอะไรอยู่ และนางคิดอะไรอยู่! คนหนึ่งไม่ต้องการเสพกามารมณ์ อีกคนหนึ่งไม่ต้องการเป็นภรรยาและมารดา พวกเขาสามารถแต่งงานอยู่ร่วมกันแบบคนโสดได้จริง ๆ น่ะหรือ...
ทับทิมสยุมพรวางอยู่บนพื้นพรมข้าง ๆ นาง ดูผิดที่ผิดทางอย่างไรพิกล วิลาสินีหยิบมันขึ้นมา ยิ่งมองนานมันก็ยิ่งดูไม่เหมือนผลไม้ นางกำลังจะจิกเปลือกของมัน แต่แล้วก็ลดมือลงไปซุกไว้บนตัก เพราะเจ้าชายหนุ่มร่างสูงเปิดประตูกระโจมเข้ามา
เขาหันหลังคุยสั่งอะไรกับทหารสองสามคำ จากนั้นจึงเดินเข้ามาทรุดนั่งที่เบาะฝั่งตรงข้ามกับนาง มงกุฎร้อยม่านมุกถูกถอดออกไปแล้วพร้อมเครื่องประดับบางส่วน สีหน้าชายหนุ่มออกจะนิ่งขึงเย็นชา ทำเอาคนมองหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ไม่นานทหารองครักษ์ก็เข้ามากราบบังคมพร้อมยกถาดเครื่องพระสุธารสชากับเมรัยมาให้ดื่มล้างปาก แล้วรีบกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ฐิรังกาไม่มีธรรมเนียมกักตัวบ่าวสาวไว้จากกันหลายวันอย่างบางนครในภูมิภาคนั้น ในห้องส่วนตัวของสามีภรรยาก็จะไม่มีญาติพี่น้องหรือนักบวชเข้ามายุ่มย่ามทำฤกษ์ชัยมงคลอะไรวุ่นวายเป็นอันขาด ดังนั้น นี่จะเป็นครั้งแรกที่วิลาสินีกับกฤตพรตได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองในกระโจมสมรส
หญิงสาวกลืนน้ำลาย นั่งประจันหน้ากันใกล้ ๆ อย่างนี้ นางยิ่งรู้สึกว่าโอรสองค์โตของท้าวฐิรังกาช่างสง่าเคร่งขรึมและน่าคร้ามเกรง โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นัก ในดวงตาสีดำสนิทคู่คมกริบไม่พบประกายความขี้เล่นของพี่ชายในวัยเด็กอีกต่อไปแล้ว และนางก็เริ่มกลัว ๆ ... มือเรียวลนลานหยิบจอกและรินเหล้าให้เพื่อจะได้ไม่ต้องสบตากัน
กฤตพรตมองอยู่สักพัก แล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ
“นี่จะจับเราให้ได้จริง ๆ หรือ... เจ้าชอบเราถึงขนาดนั้นเลย?”
“อ...อะไรนะเพคะ”
“นั่นเมรัยคู่สมรส” สาวน้อยชาวป่ายังตาใสไม่เข้าใจนัยยะ เจ้าชายหนุ่มจึงอธิบาย “ครึ่งจอกก็อาจมอมเราให้งวยงงด้วยกำหนัด ปลุกปล้ำหญิงชราแปลกหน้ายังได้”
“ว้าย!”
ฟังแล้ววิลาสินีแทบเททิ้ง เสียแต่เอาออกไปเทจริง ๆ ไม่ได้ นางยกมันออกจากถาดไปซุกไว้หลังฉากม่านเสียให้พ้นตา จากนั้นค่อยรินชาให้แทน เสร็จแล้วพอจะส่งถึงมือเขาก็ชะงัก เนตรเขียวส่องมองอย่างไม่ไว้ใจ
“เดี๋ยวก่อน...คงไม่ใช่เป็นชาคู่สมรสบัดสีอะไรแบบนั้นอีกนะเพคะ?”
คราวนี้กฤตพรตหัวเราะในคอ แล้ววิลาสินีก็นิ่งมองเขาด้วยความประหลาดใจและโล่งอก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนี้ยังเป็นเหมือนเก่า ใบหน้าหล่อเหลายามแย้มสรวลก็มีเสน่ห์น่ารักอย่างยิ่ง แม้ว่าจะปรากฏออกมาแค่ช่วงสั้น ๆ นางจึงยิ้มไปด้วย กฤตพรตรับถ้วยชาด้วยมือขวาอย่างกิริยาชาววังที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ ยกขอบถ้วยขึ้นแตะตรงริมฝีปากล่าง
“ไม่มีชาพรรค์นั้นหรอก และกลิ่นนี้ก็เป็นชาเครื่องเทศจากเมืองอารทรา” นัยน์ตาสีดำมองนาง “เจ้าชอบของเผ็ด น่าจะกระสากลิ่นรสอยู่แล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็วางใจ รินชาใส่จอกให้ตัวเองและรีบซดแก้อึดอัด นางรอดูว่ากฤตพรตจะถามอะไร แต่เจ้าชายหนุ่มกลับไม่ถาม เพียงแค่วางจอกลงและเอนกายเท้าแขนข้างหนึ่งกับหมอนปักทรงลูกฟัก จ้องมองนางเงียบงัน สายตาสงบสีดำลึกล้ำมีอำนาจกดดันแปลกประหลาด
นางต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายสารภาพ หากว่ายังมีเกียรติอยู่ ไม่ใช่เขาให้ขู่เข็ญง้างปากดั่งนักโทษ
วิลาสินีไม่รู้จะพูดอะไร ถ้าพิจารณาด้วยไม่ว่าเหตุผล วิธีการ หรือจริยธรรมของสมัยนั้น นางก็ผิดเต็ม ๆ ทุกประตู เนตรนิลที่จ้องมามองดูจะทิ่มแทง และมวลอากาศรอบตัวก็หนักอึ้งมากขึ้น ๆ แทบจะจับเป็นก้อน จนถึงจุดที่หายใจไม่ออก
ในที่สุดหญิงสาวก็อดรนทนไม่ได้ ตัดสินใจก้มลงไปกราบตรงหน้า
“ขอประทานอภัยเพคะ! ม...หม่อมฉันเป็นคนลงอาคมในศรเอง ทำให้ฝ่าบาทต้องมาแต่งงานด้วย”
เสียงนางแหลมเล็กและสั่นราวกับเด็กที่กลัวจะถูกผู้ใหญ่เฆี่ยนตี ร่างสูงสีหน้าไร้ความรู้สึก เรื่องนั้นเขารู้อยู่แล้ว เขามองคนที่ฟุบหน้าไม่ยอมเงยแล้วถาม
“ด้วยเหตุผลประการใด”
วิลาสินีกลืนน้ำลายเอื๊อก เจ้าชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดราบเรียบเมื่อเจ้าสาวของเขาไม่ยอมตอบ
“เจ้ารู้เรื่องเวทศารทูลอยู่แล้วว่าเราทำหน้าที่สามีไม่ได้ แต่เจ้าเลือกเรา หมายความว่าเจ้าไม่ได้ปรารถนาความสุขของชีวิตครอบครัว ทว่าปรารถนาในลาภยศแห่งวรชายาฐิรังกางั้นหรือ” สายตาของเขาจับอยู่ที่ผลทับทิมในกลีบผ้าบนตักของนาง ก่อนจะย้ายไปยังธำมรงค์มรกตบนนิ้วของนาง “แต่เช่นนั้น เจ้าก็ควรเลือกเจ้ารามราเมศผู้เป็นรัชทายาท เพื่อจะได้เป็นอัครมเหสีและราชินีในอนาคต เลือกเรานับว่าโง่มาก”
วิลาสินีผงกหัวขึ้นมาส่ายหน้าไหว ๆ ฟังการเดาของเจ้าชายตรงหน้าแล้วยิ่งเครียด ...ความจริงก็สมอยู่หรอก สาวชาวป่าแบบนางทำมารยาอาคมใส่ศรสยุมพร เพื่อจะได้เลือกเจ้าชายลำดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเกรียงไกรเช่นฐิรังกา ใครรู้จะเข้าใจเป็นอื่นนอกจากเรื่องตำแหน่งพระวรชายาไปได้
กฤตพรตหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนไม่เชื่อถือนัก “ไม่ใช่แล้วเป็นเหตุผลกระไร... เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้งั้นหรือ”
“คือ...”
วิลาสินีไม่แน่ใจว่าควรพูดอย่างไรไม่ให้ฟังดูเป็นบาป... ที่ถูกต้องนั้นหนุ่มสาวต้องได้มีครอบครัวตามครรลองวัยเจริญพันธุ์ กระทั่งเด็กน้อย ๆ ในหมู่บ้านชายป่ายังท่องอาขยานว่า ‘คนโสด ไร้บุตรชาย จำตกตาย นรกไหม้’ หญิงสาวที่ไม่แต่งงานถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ซึ่งบิดามารดาและญาติของนางจำต้องรีบหาคู่ครองมาให้
วิลาสินีไม่มีเหตุผลที่ดีพอไปแก้ตัวกับพระยมราช เช่นว่าจำเป็นต้องใช้เวทศารทูลป้องกันประเทศเลยมีลูกชายไม่ได้เสียด้วย... หรือจะให้บอกว่าอยากบวช ในใจนางก็ไม่ได้อยากบวชตลอดชีพจริง ๆ เสียหน่อย! ขืนกฤตพรตมีจิตอนุโมทนา ส่งนางโกนหัวเข้าสำนักชีปะขาวเลยจะทำอย่างไร
นางแค่ยังไม่พร้อมแต่งงานในเวลานี้ แต่มันก็ไร้น้ำหนักนัก ในเมื่อพิธีสยุมพรเต็มไปด้วยกษัตริย์น้อยใหญ่ที่พร้อมจะดูแลนางกับลูกสบาย ๆ มีสิ่งใดกันเล่าที่เรียกได้ว่าไม่พร้อม
ใจนางนั่นแหละ... บางทีมันอาจต้องการอย่างอื่นมากกว่านี้ มากกว่าแค่การแต่งงานเพราะถูกบังคับด้วยช่วงวัยคฤหัสถ์มาเยือน และบรรดาผู้ที่มาเสนอตัวเป็นเจ้าบ่าวก็เพียบพร้อมพอดี แต่จะเป็นสิ่งใดที่นางยังโลภต้องการอีก นางเองก็ตอบไม่ได้ ได้แต่เค้นสมองหาคำแก้ตัวที่ฟังขึ้นไปร้อยแปด
แล้วนัยน์ตาของนางก็สบเข้ากับนัยน์ตาของร่างสูงอีกครั้ง ประหลาดนัก เหมือนใบหน้าของเขาจะแลดูกระด้างขึ้นเมื่อเห็นท่าทางหลุกหลิกของนาง เขาข่มเสียงให้กล่าวออกมาไม่ฟังดูขุ่นใจเกินไปนัก
“วิลาสินี จงตอบอย่างซื่อตรง อย่าทรยศความเชื่อใจของกฤตพรตผู้นี้ด้วยคำโป้ปด... เราต้องการรู้ความจริงในเมื่อเจ้าเลือกมาอยู่กับเรา เจ้าเป็นชายาของเราแล้ว เราย่อมจะไม่นำความไปบอกใคร”
เนตรเขียวส่องวูบไหว “...ฝ่าบาทจะไม่ตรัสต่อแก่ใครจริง ๆ นะเพคะ? กับท่านพ่อก็ห้ามนะ”
“เราเคยทำเช่นนั้นกับเจ้าหรือ”
เขาย้อนถาม แต่วิลาสินีก็จำเหตุการณ์ในวัยเด็กเกี่ยวกับเขาแน่ชัดขนาดนั้นไม่ได้แล้วว่าเคยทำหรือไม่เคยทำอะไร ทุกอย่างหล่อหลอมรวมกันมาเป็นเพียงความรู้สึกผูกพันเชื่อใจอุ่น ๆ
และนางก็อยากจะเชื่อ
“… เพราะ...เพราะว่าหม่อมฉันไม่อยากแต่งงาน...” หญิงสาวเบ้หน้าแดงก่ำ แต่ละพยางค์ที่พูดออกมาทำให้นางฟังดูเป็นคนไม่ดี “หม่อมฉันยังไม่อยากจะใช้ชีวิตกับบุรุษใด หรือเป็นแม่เด็กคนไหนทั้งนั้น พิธีสยุมพรก็ไม่เห็นจะต่างจากการเสี่ยงดวงสุ่มชายแปลกหน้ามาบังคับให้หม่อมฉันปรนนิบัติรับใช้... ถ้าไม่แต่งกับฝ่าบาทหม่อมฉันจะทำยังไงล่ะเพคะ! หม่อมฉันไม่พร้อมนี่นา!!”
ข้างท้ายเหมือนจะปล่อยโฮรำไร เล่นเอากฤตพรตออกจะตกใจอยู่บ้าง ที่คิดจะตำหนิก็เลยลืมไปเสีย เอื้อมมือไปรองรับมือของนางที่กำลังประนมไหว้
“เบาเสียงของเจ้า ข้างนอกจะได้ยินกันหมด” เขาดุ ดึงให้นางเงยหน้าขึ้นมา ดวงหน้านวลใสยู่ยี่น่าดูชมทีเดียวขณะค้อนตาอันงามตัดพ้อใส่เขา คล้ายจะโทษว่าเป็นความผิดของเขานั่นแหละที่กดดันนางให้นางสารภาพเอง กฤตพรตถอนใจ “หมายความว่ากระไร สยุมพรคือการสุ่มชายแปลกหน้า? พระสมุทรทรงเมตตา สยุมพรคือการประสบเนื้อคู่ของเจ้าโดยพรบันดาลของเทวาที่อัญเชิญมาในพิธี เจ้ากลับหนีมาเลือกเราด้วยเหตุผลเด็ก ๆ ... รีบหย่ากับเราเสียก่อนอาทิตย์ตกดินวันนี้เพื่อประกาศพิธีวิวาห์เป็นโมฆะไม่ดีหรือ”
“หม่อมฉันไม่หย่าเพคะ” วิลาสินีชักมือไหว้ออกมาจากมือเขาแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ปล่อยแต่โดยดี เสียงเรียบเริ่มถามด้วยน้ำคำออกจะใจเย็น
“แล้วถ้าหากว่า เนื้อคู่ที่แท้จริงของเจ้าเป็นหนึ่งในเจ้าชายซึ่งต่อแถวหลังจากเราเมื่อวาน และนั่งเป็นพยานยัญพิธีในวันนี้เล่า... หากว่าเขาเป็นสามีที่รักเจ้ามาเจ็ดชาติ และจะรักเจ้าตลอดกาล เจ้ายินดีที่จะตัดพรหมลิขิตเช่นนี้หรือ และส่งให้เขาต้องไปแต่งงานกับคนอื่น มีภรรยาที่ในใจเขาคำนึงอยู่เสมอว่าไม่ใช่ผู้ที่เขาตามหา”
“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้ว ใครจะรักกันได้ถึงเจ็ดชาติ มันเป็นแค่ถ้อยคำตามธรรมเนียม เนื้อค่งเนื้อคู่หม่อมฉันไม่มีหรอกเพคะ”
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร”
“แล้วฝ่าบาททรงทราบได้อย่างไรว่าเนื้อคู่หม่อมฉันอยู่ในแถวหลังฝ่าบาท ไม่ใช่หนุ่มเหน้าปากหมาสักคนในหมู่บ้านชายป่าซึ่งไม่ได้มาร่วมพิธี” นางโต้กลับ ใช้แขนเช็ดหน้าเช็ดตาลวก ๆ กฤตพรตอมยิ้ม เครื่องสำอางของนางเลอะไปนิดหน่อย
“ถ้าเขาเป็น เทพย่อมดลใจให้เขาเดินทางผ่านมามิใช่หรือ หรือเจ้าเห็นเป็นประการใด”
“แหม งั้นฝ่าบาทก็อาจจะทรงเป็นเนื้อคู่ของหม่อมฉันก็ได้เพคะ มิฉะนั้นพรหมลิขิตคงไม่แพ้อีแค่อาคมแทงปลาในศร” นางโต้ เจ้าชายหนุ่มสรวลในคอเห็นขัน ยกกาน้ำชาขึ้นริน ใบชาก้นกาแช่อยู่นานแล้วคายสีเข้มหอมเครื่องเทศเผ็ดร้อน
“อนิจจา เราไม่ใช่บุรุษที่จะประสบเนื้อคู่จากพิธีสยุมพรหรอก บอกตามตรง วิชาอาวุธของเราอ่อนกว่าทหารเลว และนิ้วของเราก็ด้านด้วยสายพิณ หาใช่สายธนู”
เรื่องนี้ฟังดูค่อนข้างน่าอายสำหรับคนวรรณะกษัตริย์ซึ่งมีหน้าที่ทำสงคราม แต่ส่วนตัวกฤตพรตเองดูจะไม่ได้อายเท่าไร เขาชอบและพอใจกับพรสวรรค์ของตนในด้านศิลปวิทยา วิลาสินีก็ยักไหล่เป็นเชิงว่ามันไม่เสียหายตรงไหน นางออกจะเห็นดีเห็นงามด้วยซ้ำ สำหรับนางแล้ว ความเก่งกาจด้านฆ่ามนุษย์นั้นไม่ใช่พรสวรรค์ทว่าเป็นคำสาป
กฤตพรตถอนใจอีกครั้ง “เอาเถอะ หากเจ้ามั่นใจจะไม่หย่าและเป็นชายาของเราแน่ เราจะบอกไว้ตั้งแต่ตอนนี้ว่า เราไม่อยู่ร่วมห้องนอนกับสตรี และไม่คิดจะให้มีสตรีในตำหนักของเรา นอกจากเวลาอาหารเย็นที่เราจะเรียกนางสนมมารำให้ดูและอยู่งานพัดวีบ้าง”
เขาทอดเสียงเนิบช้าเหมือนกำลังครุ่นคิด
“เราคงจะส่งเจ้าไปอยู่เขตวังหลังที่พวกนางสนมอยู่รวมกัน ปกติใครมาถวายตัวกับเราก็ได้อยู่ที่นั่นทั้งสิ้น... แต่มันอาจเป็นที่ครหาเพราะเจ้าเป็นถึงวรชายา เราจะสั่งให้คนจัดห้องแยกสำหรับเจ้าก็แล้วกัน”
“วังหลัง?” วิลาสินีกลืนน้ำลาย “ช้าก่อนเพคะ... ฝ่าบาทกำลังตรัสว่าหม่อมฉันต้องไปอยู่ในฮาเร็มหลวง?”
“ที่นั่นมีแต่สตรีกับองครักษ์ที่เป็นขันที เจ้าสบายใจได้”
“สบายใจอะไรกันล่ะเพคะ! คำครหาไม่เท่าไร แต่วังหลังนี่...วัน ๆ ต้องทำอะไรบ้างเพคะ”
“อ้อ โดยทั่วไปก็ทำตนให้งามและสะอาดพร้อมสำหรับให้กษัตริย์เรียกมาถวายงาน แต่ด้วยเหตุว่าเราไม่เรียกใครมาถวายงาน นักสนมของเราเลยได้รับหน้าที่ให้เล่นดนตรี ฟ้อนรำ และช่วยงานนางกำนัลที่ดูแลตำหนักของเราทอผ้า ทำอาหาร สลักผลไม้ ปักหมอน ร้อยม่านมุกวาดลายพัด ปิดทองตลับ...”
ยิ่งฟังวิลาสินียิ่งทำปากพะงาบ ๆ ในใจอยากจะออกความเห็นเสียเต็มประดาว่า นี่มันดงแม่บ้านผัวเมินชัด ๆ ! ชีวิตสาวงามที่ไหนจะอเนจอนาถเท่าคนที่หลงมาถวายตัวแก่เจ้าชายกามตายด้านอย่างกฤตพรตได้บ้างละหนอ แค่คิดก็เห็นภาพว่าเหล่าสตรีที่มีชีวิตอยู่แบบนี้ทุกวัน ๆ จะฉุนเฉียวเหี่ยวเฉาเพียงใด ถ้าหากเคยวาดฝันชีวิตในวังไว้สวยหรูว่าเจ้าฐิรังกาจะโปรดปรานตนอย่างนั้นอย่างนี้
และประเด็นสำคัญที่ต้องบอกก็คือ “แต่ฝ่าบาทเพคะ…ที่ตรัสร่ายมานั่นหม่อมฉันทำไม่เป็นสักอย่าง! อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทำแบบชาววังทำกันแน่ ๆ เพคะ!”
กฤตพรตเลิกคิ้ว เป็นฝ่ายยักไหล่บ้างขณะรินชาถ้วยสุดท้ายให้นางหมดกา วิลาสินีเพิ่งตกใจรู้ตัวขึ้นมาว่า เจ้าชายหนุ่มรินชาให้ตัวเองและนางมาระยะหนึ่งแล้วทั้งที่มีศักดิ์สูงกว่า
“ก็หัดสิ หรือจะทำอะไรก็ตามแต่ใจ...เจ้าสวมธำมรงค์แห่งวรชายา ถ้าต้องการก็สามารถสั่งนักสนมกรมในของกฤตพรตผู้นี้ได้ทั้งหนึ่งพันนาง”