บทที่ 4 ลาจากฝูงกวาง
แข้งขาผอม ๆ ของเด็กหญิงขยับเปลี่ยนเป็นคุกเข่ายอง ๆ อยู่บนหลังคาในท่าซุ่มโจมตี เหล่าเจ้าชายสนทนากันคึกคะนองอยู่ด้านล่างหน้าอาศรม หลังจากเพิ่งเรียนอาคมตาข่ายแก้วสำหรับจับนกได้และล้วนรู้สึกร้อนวิชา
นางตั้งข้อศอกกับแนวหลังคามุงจาก เป่าซางลำน้อยในมือ แล้วเม็ดมะกล่ำสีแดงก็พุ่งผลัวะจากลำกล้องออกไปถูกแถวท้ายทอยของเด็กหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ สำเร็จแล้วนางก็รีบก้มหลบไปหลังแนวหลังคาที่ลาดเอียงลงด้านหลัง
“...!?” กฤตพรตชะงักคำพูด ยกมือลูบคอเหมือนคิดว่าแมลงอะไรต่อย ทว่าไม่ได้หันหลังมามอง วิลาสินีวัยแปดขวบโผล่ขึ้นมาแอบดูจากที่เดิมบนหลังคาด้วยรอยยิ้มนึกสนุก
สายตานางมองเลยไปสบกับรัชตะวัยเดียวกันที่ยืนหันหน้ามา เจ้าฉัตรเสนหลุดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ชวนเจ้าฐิรังการุ่นพี่คุยต่อและสรวลเสเฮฮากันในวง
เด็กหญิงยกซางขึ้นเล็งอีกครั้ง ทว่าไม่ทันเป่ายิง กฤตพรตก็หันหน้าไปด้านข้างเหมือนกำลังมองอะไรสักอย่างในราวป่าประดู่ มุมปากของเขาขยับโค้งขึ้น
“เฮ้ย...!!” จู่ ๆ ลำกล้องไม้ไผ่ในมือวิลาสินีก็ปริแตกออก และเม็ดมะกล่ำสีแดงที่บรรจุเป็นกระสุนไว้ข้างในพากันงอกรากและใบออกมาอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา นางกรี๊ดลั่น โยนมันลงมาหน้าอาศรมขณะที่ทุกคนหันไปมอง นัยน์ตากฤตพรตเป็นประกายขบขันอย่างที่สุด วิลาสินีโกรธจนหน้าแดงที่โดนแก้เผ็ด นางชูกำปั้นและถอยหลังหมายจะลงจากหลังคามาเล่นงานเขาคืน
แต่แล้วเนตรนิลที่จับจ้องนางกลับมานั้นกลับเปลี่ยนเป็นตกใจกลัว แล้วเด็กหญิงก็รู้สึกตัวว่านางเหยียบพลาดไถลจากหลังคา มือเล็กตะเกียกตะกายจับใบจากแห้งขาดติดมือขณะเสียหลักร่วงหงายหลังไป
***
กฤตพรตลืมตาขึ้นขณะรีบผุดลุกขึ้นนั่งในความมืดยามค่ำคืน ความเจ็บปวดร้อนฉ่าทิ่มแทงเข้าในหัวเป็นสัญญาณของเวทที่กำลังถูกใครบางคนพยายามทำลาย บริเวณหว่างคิ้วพลันรู้สึกเสมือนถูกทุบตีด้วยกำลังแรง จากนั้นโลหิตร้อนก็ไหลพรูออกมาจากจมูกและปาก
“อึก...!”
ร่างสูงก้มหน้าลงราวกับคาดไว้อยู่ก่อนแล้ว ยกชายผ้าทรงรอกดเช็ดเลือดกำเดานั้นสีแดงซึมลงบนผ้าจนชุ่ม เขาสำลักและเลือดก็ยิ่งไหลออกมาอีก... ความเจ็บปวดดำเนินไปราวครึ่งนาที จากนั้นทุกอย่างก็หยุดลงเป็นปกติ
กฤตพรตลืมตา ลดมือลงปาดเช็ดเลือด แล้วพอเขาสะบัดมือเบา ๆ รอยเลือดโชกทั้งหมดก็เลือนหาย มือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าและเสยผมตัวเองช้า ๆ ขณะควบคุมลมหายใจเข้าออก เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก
ใครก็ตามที่พยายามเจาะม่านอาคมของฐิรังกามีอำนาจมากพอสมควรขนาดที่ทำให้เขาโลหิตตก แต่เขาเป็นฝ่ายชนะในคราวนี้ เช่นที่ชนะเรื่อยมา... นัยน์ตาสีนิลคมเปิดออกเป็นประกายในแสงสลัวขณะยกนิ้วแตะที่แถวหว่างคิ้วและหน้าผากซึ่งยังปวดหนึบ แผลทางเวทก็คล้ายกับแผลเป็นทางร่างกาย มันทิ้งรอยไว้ไม่เคยหายดี และเมื่อได้ฉีกขาดครั้งหนึ่งแล้ว โดนศัตรูโจมตีอีกก็จะมีแนวโน้มฉีกเปิดแผลเดิมซ้ำ ๆ เหมือนทหารในสมรภูมิที่คอยจ้องหาช่องเกราะหรือจุดอ่อนของอีกฝ่าย
บางครั้งเขาก็เบื่อเหลือเกิน... อุณหภูมิในกระโจมสมรสนี้หนาวเกินไปหรือไม่เล่า หรือเป็นธาตุไฟของเขาเองที่เสียไปกับเลือด เจ้าชายหนุ่มหัวเราะหึขณะส่ายหัว
“แผลนี้คงจะฆ่าข้าสักวัน...งั้นหรือ...”
เจ้าชายหนุ่มเลิกผ้าห่มออกและขยับไปที่มุมห้องตรงชั้นวางของ เลยเที่ยงคืนมามากแล้ว ในกระโจมขาวมืดและเงียบสงัด แว่วเสียงแมลงและสัตว์ป่าลอยมาไกล ๆ กฤตพรตเอาเบาะนั่งมาวางเรียงกันเป็นที่นอนที่ห้องด้านนอก ขณะที่วิลาสินีก่ายหมอนนุ่ม ๆ อยู่บนเตียงในห้องนอน เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวเป็นระยะสะท้อนไปมาในมวลอากาศที่ลงอาคมไว้เหมือนปลาแหวกว่ายก่อระลอกคลื่นในน้ำ สาวน้อยผู้นี้ชอบนอนดิ้นไม่เบา กฤตพรตยิ้มเล็กน้อยขณะเทน้ำลงในอ่างสำหรับล้างมือแล้วเริ่มชำระคาวโลหิตจากปากเงียบ ๆ
วิลาสินีตื่นจากนิทราตอนเช้าตรู่ด้วยเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เตะหมอนใบหนึ่งตกจากเตียงไปตามเคย นางลุกขึ้นมาหวีผมเกล้าเป็นมวยและแต่งตัวทะมัดทะแมงหมายจะไปหาฝูงกวางให้ตรงเวลาที่เคยไปทุกวัน แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่นางได้อยู่ในร่มป่าประดู่
เมื่อคืนถือว่านางเป็นชายาของกฤตพรตแล้ว และวันนี้นางก็ต้องเข้าวังฐิรังกา... หญิงสาวค่อย ๆ หันไปทางประตูที่แขวนม่านลูกไม้ไว้เพื่อแอบดูห้องข้างนอก
“อรุณสวัสดิ์”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยโดยไม่ได้หันมามอง เขานั่งเท้าหมอนลูกฟักหันข้างอยู่บนเบาะพร้อมสำรับกระยาหารเช้าที่ยังไม่ได้แตะ มือหนึ่งกุมอยู่ตรงสังวาลไข่มุกขาวไล่นับไปทีละเม็ด ๆ เหมือนกำลังกำหนดจบบริกรรมมนต์ในใจ มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาสวมบนแผ่นอกเปลือยเปล่าตอนนี้ สนับเพลา (กางเกง ในที่นี้เป็นกางเกงนุ่งขายาวจรดข้อเท้าแบบแขก แบบไทยจะปรับให้ยาวครึ่งแข้งและมีแถบผ้าปลายงอนหุ้มปลายขาสองข้างด้วย) ลำลองสีน้ำเงินเข้มไร้ลวดลายบ่งบอกว่ายังเป็นชุดนอนเมื่อคืน
วิลาสินีรีบสวมผ้าคลุมผมร้องตอบ “อรุณสวัสดิ์เพคะ”
นางใช้เวลาอีกครู่เดียวก็ออกมานั่งกับเขาได้และทำตาวาวกับอาหารเช้า ตั้งท่าจะหยิบแผ่นแป้งจี่ไฟเหลืองหอมจิ้มเนยใส อาจเพราะเมื่อวานนางกินไม่เต็มที่เลยสักมื้อ วันนี้ทุกอย่างก็เลยดูน่าอร่อยผิดปกติ กฤตพรตหยุดมือคนตะกละไว้ได้ทัน วิลาสินีสะดุ้ง
“อ๊ะ! ขอประทานอภัยเพคะ เชิญฝ่าบาทเสวยก่อน” นางนึกด่าตัวเองอยู่ในใจ ภรรยาที่ไหนเขากินก่อนสามีกัน
กฤตพรตส่ายหน้า “อ้อ เปล่า... ไม่ล่ะ วันนี้เราไม่ค่อยอยากอาหาร เราแค่จะให้เจ้าขยับมานี่ก่อน” วิลาสินีเคลื่อนไปนั่งข้าง ๆ ร่างสูงอย่างว่าง่าย แล้วเขาก็ใช้นิ้วนางขวาเสกน้ำมันเจิมที่หน้าผากของนาง
วิลาสินีมองเจ้าชายหนุ่ม ขมวดคิ้ว “...พระอนามิกา (นิ้วนาง) ของฝ่าบาทเย็นจัง” กฤตพรตคล้ายจะชะงักเล็กน้อย “เมื่อกี้พระหัตถ์ก็เย็น... ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ”
“หืม? เจ้าคิดว่าเราจะเป็นกระไรไปได้” เขายิ้ม มือใหญ่เลื่อนถาดสำรับมาไว้ตรงหน้านาง “รีบกินเถอะ เราทั้งสองจะได้เข้าวังช่วงสาย ถ้าเที่ยงเจ้าคงจะร้อนจนเป็นลมบนหลังม้า”
“เอ๋! ขี่ม้าเข้าวังหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เคยขี่ม้าเลย!” น้ำเสียงออกจะตื่นเต้น กฤตพรตไม่ได้ใส่ใจนางนัก ใบหน้าคมหันไปทางประตูกระโจมที่ปิดอยู่เหมือนสัมผัสได้ว่ามีใครอยู่ตรงนั้น “แต่ว่าหม่อมฉันอยากไปลาพวกกวางก่อนได้ไหมเพคะ อย่างไรนี่ก็เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันแล้ว”
กฤตพรตเงียบไปนาน ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาว “ขอโทษ... เจ้าว่ากระไรนะ กวางหรือ” วิลาสินีกลอกตา เช็ดเนยที่มุมปาก
“หม่อมฉันอยากขออนุญาตไปลาพวกกวางเพคะ พวกมันเป็นเพื่อนของหม่อมฉัน”
“พวกมันอยู่ที่ใด”
“น้ำตกเพคะ พวกมันไปกินหญ้าและดอกประยงค์ที่นั่น” กฤตพรตทำเสียงรับรู้ในคอ
“เจ้าคิดว่าจะกลับมาที่นี่ทันในหนึ่งชั่วยามหรือไม่”
“ฝ่าบาทจะไม่เสด็จไปกับหม่อมฉันหรือเพคะ” หญิงสาวออกจะยินดีหากว่าไม่ต้องมีคนคุมไปด้วยเหมือนอย่างรัชตะที่ตามไปนางไปทุกแห่งตลอดห้าวันก่อนหน้านี้
บางทีนางอาจจะกลับช้ากว่าหนึ่งชั่วยามหน่อยเป็นไร ไม่ก็ยืดเวลาให้ได้ค้างในป่านานกว่านี้ ในใจนางกลัวชีวิตในวังหลัง แล้วก็กลัวสังคมเมือง...
เนตรนิลเลื่อนมาสบกับนาง จากนั้นร่างสูงจึงจับข้อมือของนางขึ้นมากำรอบ แล้วปล่อยออก มือเขาคล้ายจะเย็นกว่าที่ควรจะเป็นนิดหน่อยแต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดี วิลาสินีมองอย่างหลากใจก่อนจะตาโตเมื่อเกิดรอยเส้นสีขาวบางเบารอบข้อมือตรงที่เขาสัมผัส มันเรืองแสงนวล ๆ บนผิวแปลกตา ดั่งว่าแสงหิ่งห้อยที่ถูกบังด้วยฉากม่าน
“ขอโทษที่เราไปด้วยไม่ได้ ดูเหมือนพระอาจารย์มารอสนทนาด้วย”
“...นี่มันรอยอะไรเพคะ!” วิลาสินีพยายามถูข้อมือทว่าเส้นนั้นไม่เลือนไปแม้แต่น้อย กฤตพรตขยับตัวลุกขึ้น เลือกเอาผ้าทรงจากชั้นวางของมาสะบัดออกพาดไหล่
“บางอย่างที่จะทำให้เจ้ากลับมาภายในหนึ่งชั่วยาม” เสียงเรียบตอบง่าย ๆ แต่วิลาสินีขนลุกซู่ เจ้าชายผู้นี้อ่านใจได้หรืออย่างไรกัน
“ง่า... หมายความว่ายังไงเพคะ ฝ่าบาท ถ้าเกิดหม่อมฉันกลับมาไม่ทันจะเป็นยังไง”
กฤตพรตไม่ตอบคำ เริ่มแต่งตัวเพื่อออกไปพบพระฤๅษีอย่างเงียบ ๆ และวิลาสินีก็เริ่มเหงื่อตกขณะจ้องดูข้อมือตัวเอง... ชักจะไม่กล้าคิดลองท้าทายอยู่เกินหนึ่งชั่วยามเสียแล้ว
***
เหล่ากวางทยอยกันมาดื่มน้ำที่สระ วิลาสินีลูบใบหูและจมูกของพวกมัน อยากจะร้องไห้ขึ้นมาแปลก ๆ ด้วยความรักอาลัย พวกมันดูจะรู้ว่านางกำลังจะจากไปไกลและเข้ามานั่งนอนใกล้ ๆ ตลอดหนึ่งชั่วยาม วิลาสินีสยายมวยผมออกแล้วค่อย ๆ ถักเป็นเปียยาว สอดดอกประยงค์ขาวร้อยเข้าไปติดในทุกข้อเปีย อย่างน้อยนางจะได้กลิ่นประยงค์ไปอีกวันสองวัน เสมือนว่านำเอาส่วนหนึ่งของป่านี้ไปกับนางด้วย
แม่กวางท้องแก่เข้ามาถูไถลำตัวของนางเพื่อล่ำลา วิลาสินีสวมกอดรอบคอของมัน จากนั้นก็สะดุ้งเมื่อแม่กวางดุนดมกลีบผ้าตรงช่วงเอวผ้านุ่ง
“เอ๊ะ! ทำอะไรน่ะ จั๊กจี้!”
หญิงสาวบิดกายหลบ แล้วลูกทับทิมก็กลิ้งออกมาที่พื้น เปลือกสีน้ำตาลแดงยังดูสดสวย แม่กวางหันตามไปใช้จมูกดุน วิลาสินีเผยยิ้ม หยิบมันขึ้นแกะออกครึ่งแลเห็นเนื้อเมล็ดแดงฉ่ำ
“อ๋อ นี่ข้าได้มาจากพิธีสยุมพร ข้าแต่งงานแล้วล่ะเมื่อวาน” นางเล่า วางทับทิมครึ่งลูกไว้บนพื้นให้พวกกวางเข้ามาเล็มชิม อีกครึ่งหนึ่งนางแกะออกมากินเอง ทับทิมคเนศเปลือกบาง เมล็ดอ่อนเคี้ยวกลืนได้สบาย มันหวานหอมชื่นใจจนวิลาสินีรู้สึกดีขึ้น นางตัดสินใจได้ว่าจะไม่ร้องไห้ นางจะเข้าเมืองอย่างมั่นใจสมกับเป็นบุตรีฤๅษีสิทธิสวามิน ไม่ใช่อย่างเด็กน้อยงอแงโดนลากถูลู่ถูกัง อย่างน้อยนางจะไม่ทำให้ตัวเองและกฤตพรตได้อาย “จริงสิ ข้าน่าจะปลูกไว้แถวนี้เนอะ ทับทิมงอกง่ายจะตายไป แล้วพวกเจ้าจะได้มากินทุกวันเลยดีไหม...จะได้ไม่ลืมข้า”
พวกกวางดูจะเข้าใจและสนับสนุน หญิงสาวจึงเลือกพื้นดินอ่อนนุ่มที่ได้ละอองน้ำจากน้ำตก ขุดฝังทับทิมส่วนที่กินไม่หมดลงไป มือเรียวกลบหน้าดินและตบ ๆ ให้เข้าที่ หัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างประหลาดใจเมื่อพ่อกวางอายุมากที่ตัวใหญ่ที่สุดเข้ามาหา เขาของมันยาวงามสมบูรณ์อย่างที่พรานทั้งหลายตีค่าไว้เทียบทองคำ พ่อกวางย่อตัวลงทำเสียงฟืดฟาดคะยั้นคะยอให้นางขึ้นนั่งบนหลัง ดวงตาดำโตมองสบกับนัยน์ตาสีเขียวอมเทาของนาง นี่ไม่ใช่เรื่องที่กวางเพศผู้จะยอมบ่อยนัก แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ และหนึ่งชั่วยามของหญิงสาวก็ใกล้หมดลงแล้ว
“เอาจริงน่ะ? จะไปส่งหรือ” วิลาสินีกระซิบขณะขึ้นนั่ง เกาะอิงกับหลังคอของพ่อกวางและมันค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง รอให้หญิงสาวจัดท่าทางจนแน่ใจว่าเขาของมันจะไม่ทิ่มหน้า นางลูบโคนเขาอุ่น ๆ ของมันเล่น “ขอบคุณนะ… เอ้า! ไปโลด!”
ถึงจะกระตุ้นขาอย่างนั้น พ่อกวางก็ไม่ได้กระโจนโลดแล่นไป ทว่าเดินช้า ๆ ผ่านแนวต้นประดู่ที่ก้องเสียงนกและแมลงยามเช้า วิลาสินีมองเหลียวหลังและรอบตัว พยายามซึมซับสีเขียวขจีอันคุ้นตาไว้ในความทรงจำ นางยกผ้าคลุมผมผืนบางขึ้นปิดผมเปียเห็นเพียงราง ๆ ไม่นานพ่อกวางก็พานางมาจนถึงบริเวณอาศรม
“พระนางวิลาสินี!”
เจ้าชายหลายองค์ยังคงอยู่ที่นั่น พวกเขาเข้ามาทักทาย และบ้างที่ฐานันดรต่ำก็มากราบบังคม ด้วยว่าขณะนี้นางเป็นพระวรชายาแห่งฐิรังกา รัชตะผู้เป็นอนุวงศ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำเอาวิลาสินีเกร็ง ๆ เพราะไม่ชินที่เห็นเจ้าชายหนุ่มไหว้ตนเอง นางชะเง้อมองไปทางกระโจมขาวแต่ก็พบว่ามันไม่อยู่แล้ว มีม้าฐิรังกาสีดำอยู่ตัวหนึ่งรอท่า พร้อมด้วยองครักษ์สี่นายล้อมหน้าหลัง
รัชตะยิ้มให้นาง “อรุณสวัสดิ์ พระเทวีผู้ทรงมฤคมาศ เราไม่เคยพบเห็นภาพที่สง่างามเช่นนี้ กวางทองจะให้ใครขึ้นทรงได้หากมิใช่เทพธิดา”
ได้ยินแล้ววิลาสินีทำท่าจะลงทันที แต่พ่อกวางทำเสียงฟืดฟาดและสะบัดหูอย่างขัดใจ กีบเท้าหน้าข้างหนึ่งเตะพื้นเป็นสัญญาณไม่ให้ใครเข้าใกล้นาง และไม่ให้นางเข้าใกล้ใครด้วย อาจเป็นเพราะมันไม่คุ้นหน้าเหล่ากษัตริย์ และรู้สึกถึงอันตรายจากบุรุษทุกคนที่พกอาวุธติดตัว วิลาสินีจึงได้แต่นั่งลูบหลังคอและหูของมันให้เย็นลง “ขอบพระทัยเพคะ ว่าแต่ฝ่าบาทกฤต...เอ่อ...” นางกลืนชื่อกฤตพรตลงไป ภรรยาที่ดีย่อมไม่เรียกชื่อสามีแต่ควรจะเรียกว่า “เจ้าพี่ของหม่อมฉันประทับอยู่ที่ใดเพคะ” อูย...พูดแล้วขนลุกเกรียว
เจ้าชายองค์อื่นช่วยตอบแทน “เจ้าฐิรังกาทั้งสามเสด็จล่วงหน้าไปในนครแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานเย็นมีข่าวอริราชศัตรูยกทัพมาถึงชายฝั่งแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง คะเนว่าสามอักเษาหิณี แต่ยังไม่ได้ออกเรือ เจ้าสิงห์ศัตรุตตรัสว่าจะทรงนำกองราชนาวีออกไปป้องกันก่อนที่ริมเขตน่านน้ำฐิรังกา บรรดาเจ้าชายที่ครองเกาะต่าง ๆ แถวนี้ก็เสด็จไปด้วย พวกเราก็กำลังจะไปในไม่ช้าเหมือนกัน”
(อักเษาหิณีเป็นหน่วยนับจำนวนกองทัพ อักเษาหิณีหนึ่งประกอบด้วย กองรบช้าง ๒๑,๘๗๐ เชือก รถรบ ๒๑,๘๗๐ คัน กองรบม้า ๖๕,๖๑๐ ตัว และทหารราบ ๑๐๙,๓๕๐ คน)
วิลาสินีกำมือเล็กน้อย นางรู้ว่าเจ้าฐิรังกาเพิ่งกลับจากศึกกลางสมุทรไทโดยมีชัยเหนือทัพญานปุตต์เมื่อไม่นานมานี้ แต่ตอนนี้ศัตรูดูจะหมายมาดน่านน้ำแถบนี้ไว้มั่น และก็กลับมาด้วยทัพใหญ่กว่าครั้งก่อน นางไม่ชอบแบบนี้... นางเกลียดสงคราม “ไฉนศึกจะมาเยือนฐิรังกา... กลุ่มกษัตริย์ในชมพูทวีปกำลังร่วมมือกันจะทำลายเราหรือ ราวกับไม่รู้ฤทธิ์ของชาวทะเลเราแต่โบราณมา”
“เมื่อมหาวายุพัดโบก พฤกษาก็จำนนโอนอ่อนตาม ญานปุตต์เป็นเจ้าจักรวรรดิทางเหนือจากตีนเขาหิมาลัย กษัตริย์องค์อื่น ๆ เบี้ยบ้ายรายทางที่เจ้าญานปุตต์เดินทัพผ่านจะเห็นชอบด้วยหรือไม่ ก็ล้วนจำต้องแบ่งกำลังทหารมาช่วยด้วยความกลัว” รัชตะเป็นผู้ตอบนางขณะถอนหายใจ “อีกประการหนึ่ง ในศึกคราก่อนที่เพิ่งฉลองชัยกันไปนั้น เจ้าสิงห์ศัตรุตผู้กล้าทรงตัดเศียรเจ้าชายญานปุตต์ไปองค์หนึ่ง บัดนี้วงศ์วานญานปุตต์จึงส่งสารว่าจะมาเพื่อตัดเศียรของพระองค์คืน แต่ทั้งนี้ เจ้าสิงห์ศัตรุตก็ทรงทำไปเพราะแก้แค้นที่แม่ทัพคู่ใจของพระองค์ถูกบั่นคอมาก่อนเช่นเดียวกัน”
ร่างของวิลาสินีไหวสะท้าน ไฟสงครามทำให้ผู้คนชำระแค้นกันไปมา หากใช้ระบบ ‘ตาต่อตา’ ไม่สิ้นสุดเช่นนี้ สุดท้ายทั้งพสุนธราก็คงเหลือแต่คนตาบอดเป็นแน่
“อ้อ ไม่ต้องกังวลไปหรอก พระนาง” เจ้าชายองค์อื่น ๆ พากันยืนยันมั่นใจ “แม้จะเรียกว่าวงศ์วานญานปุตต์ แต่ข่าวว่าเจ้าญานปุตต์ก็เสด็จนำทัพมาเพียงสององค์เท่านั้น ที่สำคัญ ชาวเหนือไม่สันทัดภูมิศาสตร์แถบนี้ รบทางทะเลยิ่งไม่เป็นการ ไม่มีสิ่งใดต้องวิตกเลย”
ฟังแล้วหญิงสาวค่อยเบาใจ นางเองก็เชื่อมือเจ้าชายฐิรังกาทั้งสามมากเหมือนกัน ใบหน้าหมดจดยิ้มน้อย ๆ ตัดสินใจตอบอย่างสุภาพให้สมกับเป็นชายาของกฤตพรต “ไม่วิตกหรอกเพคะ หม่อมฉันทราบว่าเจ้าฐิรังกาทรงเดชเกรียงไกรในการทหาร และเกาะของพระสมุทรแห่งนี้ก็ไม่รู้จักคำว่ากลัว”
“ถูกต้องอย่างยิ่งแล้ว เมื่อพระนางตรัสเช่นนี้ จะเป็นสิ่งใดไปได้นอกจากนิมิตว่าเทพธิดาสถิตอยู่ข้างฐิรังกา” ทุกคนพยักหน้าเห็นดีงาม ความจริงพวกเขาก็คงต้องการกำลังใจอยู่เหมือนกัน พันธมิตรของฐิรังกาส่วนใหญ่ก็เป็นเสมือนนกเล็กเข้ามาพึ่งพิงกระแสลมใต้ปีกอินทรีใหญ่ ฝนลูกเห็บสงครามที่ตกมากะทันหันโดยกระทั่งอินทรียังไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ย่อมทำให้ไม่สบายใจอยู่บ้าง
“เพคะ ว่าแต่ตอนนี้ หม่อมฉันต้องตามไปที่วังเองหรือ...”
วิลาสินีหยุดกลางคำ สะดุ้งโหยงขึ้นมาทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ กฤตพรตไม่อยู่รอนางแล้วนี่นา! นางยกข้อมือที่มีเส้นอาคมสีนวลวาดรอบสะบัดไปมาราวกับร้อน
“ตายแล้ว! งั้นใครจะคลายมนตร์ลบเส้นบ้า ๆ นี่ให้หม่อมฉันล่ะ!?”
หญิงสาวร้องขณะนึกต่อว่ากฤตพรตอยู่ในใจ ไม่รู้เจ้าเส้นนี้จะลงโทษนางอย่างไรบ้าง อีกไม่กี่นาทีก็จะหนึ่งชั่วยามแล้ว นางไม่ได้มาไม่ทันสักหน่อย แต่ต้องโดนอาคมเพราะกฤตพรตลืมนางทิ้งไว้ที่นี่เนี่ยนะ!
รัชตะดูตกใจ “เส้นอะไร เทวี”
“นี่ไงเพคะ!” นางรีบยื่นข้อมือให้ดูเร่า ๆ รัชตะเพ่งพินิจมันจากระยะห่างที่เป็นไปได้ เพราะว่าพ่อกวางไม่ยอมให้เขาขยับมาใกล้เกินไปนัก
“เจ้ากฤตพรตทรงวาดไว้หรือ เราว่ามันดูไม่มีพิษมีภัยกระไรนะ... เจ็บไหม ร้อนไหม”
“ตอนนี้ไม่เพคะ แต่อีกเดี๋ยวไม่รู้” วิลาสินีทำหน้าจวนเจียนจะร้องไห้ สายเลือดฤๅษีทำให้นางสัมผัสได้ว่าจะเส้นสีนวลนี้มีฤทธิ์จะก่อให้เกิดอะไรขึ้นสักอย่างในอีกไม่กี่วินาทีแน่ ๆ
“ใจเย็นก่อนเถิด เราไม่คิดว่า...”
“อ๊ะ!”
เส้นรอบข้อมือเรียวเต้นตุบก่อนจะก่อรูปเป็นอะไรบางอย่าง วิลาสินีหลับตาปี๋ เบือนหน้าหลบจากข้อมือตัวเองตรงหน้าขณะใช้อีกมือกุมข้อศอกไว้เผื่อเกิดอะไรขึ้น อะไรบางอย่างที่นิ่มและเย็นรัดรอบข้อมือของนางแทนที่เส้นนั้น หญิงสาวกัดปากก่อนจะลองเปิดตาดูข้างหนึ่งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“อ้าว!...” มาลัยดอกไม้สีขาวบอบบางสวมรอบข้อมือของนาง ทิ้งหางอุบะกุหลาบสองข้างลงด้านล่าง วิลาสินีพ่นลมหายใจพรูก่อนจะหัวเราะ “โอ๊ย! หัวใจจะวาย! นึกว่าจะเป็นงูเสียแล้ว ทรงเล่นอะไรอุตริ...” บ่นงุบงิบแล้วก็พลิกข้อมือดูมาลัยนั้นซ้ายขวา มันดูสวยและเปราะบางเหลือเกิน หญิงสาวยิ้มออกง่าย ๆ บรรดาเจ้าชายในที่นั้นก็สรวลด้วยภาพนั้นดูน่ารักน่าเอ็นดู ความเครียดเรื่องสงครามมลายไป
“รีบกราบลาพระฤๅษีแล้วเสด็จเถิด มิฉะนั้นเจ้าของมาลัยคงจะร้อนใจ หากว่าเจ้าสาวใหม่ไม่ถึงวังสักที”
“สงสัยว่าเขาจะไม่ให้หม่อมฉันลงเนี่ยสิเพคะ” วิลาสินีหมายถึงพ่อกวางที่กระทืบเท้าก้าวร้าวเป็นระยะ เวลานางตั้งท่าจะลงก็ไม่ยอมให้ลง พวกองครักษ์เข้ามากราบบังคมนางเชิญให้ขึ้นม้าที่กฤตพรตเตรียมไว้ วิลาสินีพยายามกระซิบล่ำลากับพ่อกวางอยู่นานสองนานให้คลายใจและปล่อยนางได้ แต่พ่อกวางดูจะไม่ไว้ใจใครให้พาหญิงสาวไปทั้งสิ้น ในสายตามันคนเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากพรานป่าหรือเสือ วิลาสินีจะไปอยู่ด้วยได้อย่างไร รัชตะเสนอว่าจะเป่ามนตร์ใส่พ่อกวางจนนิ่งจังงังปล่อยนางลง ทว่าวิลาสินีส่ายหน้า มันคงจะยิ่งวิ่งวนเป็นห่วงนางแน่ถ้าฝืนบังคับพานางหายไปอย่างนั้น มือเรียวลูบหัวหูพ่อกวางไปมา
องครักษ์คนหนึ่งยักไหล่ “ทูลพระวรชายา ถ้าเช่นนั้นไม่ต้องเสด็จลงก็ได้พะย่ะค่ะ”
***
เกลียวคลื่นซัดสาดอยู่ไกล ๆ ช่วงเวลาน้ำลงพาให้สีครามถอยร่นเผยให้เห็นพื้นทรายใต้น้ำตื้น ๆ เป็นรอยคลื่นเว้าแหว่งตามแรงลม น้ำลดจนเกาะเล็กบางเกาะใกล้ ๆ เห็นเนินทรายที่โผล่ขึ้นมา สามารถเดินไปมาสู่กันได้
ม้าทรงสีดำของกฤตพรตวิ่งย่ำน้ำตื้นเลียบชายหาด ฝีเท้าของมันว่องไวแม้จะไม่เหมาะกับการลุยน้ำเหยียบพื้นทรายหยุ่นที่เป็นรอยคลื่นไม่เสมอกัน กฤตพรตสวมเกือกม้าและลงอาคมที่เท้าทั้งสี่ให้มันแล้ว เขากระตุ้นให้มันวิ่งเลียบชายฝั่งทะเลทางเหนือขณะที่กำทวนยาวแทงลงในพื้นทราย ลากเป็นทางยาวประหนึ่งว่าขีดเส้นกั้น เลือดของเจ้าชายหนุ่มไหลจากข้อมือรินหยดลงไปตามทวน กำแพงที่มองไม่เห็นก่อร่างขึ้นเป็นแนวมั่นคง ในหูของกฤตพรตสดับเสียงสวดภาวนาของเหล่านักสิทธิ์ (ผู้สำเร็จด้านจิตวิญญาณ เชื่อว่ามีฤทธิ์เพราะศรัทธาแรงกล้าและคุณธรรมสูง) ที่ลอยมาตามลม รอยดิลกน้ำมันบนหน้าผากที่พระฤๅษีป่าประดู่เจิมให้อุ่นร้อนซ่าน มันบังคับให้เขาตื่นและมีกำลัง
สามอักเษาหิณี... มีโอกาสสูงที่เจ้าญานปุตต์อาจบุกเข้ามาจนได้เหยียบหาดทรายแห่งนี้ กฤตพรตกัดฟันขณะที่เหงื่อไหลลงจากขมับ แต่ต่อให้ได้เหยียบ เขาก็จะพยายามถึงที่สุดให้ศัตรูเข้ามาไม่เกินจากหาดทรายไปได้ เขาไม่ชอบความเสี่ยง สิงห์ศัตรุตนำทัพเรือออกไปแล้วกับเจ้าชายปุณยทัตจากโภคะ ส่วนรามราเมศเข้าวังเพื่อเรียกประชุมเหล่าเสนาบดี
กฤตพรตขับม้ากลับมายังท่าเรือเมื่อเริ่มบ่ายคล้อย เนตรสีรัตติกาลมองไปทางทะเลขณะเลื่อนตัวลงจากหลังม้า ร่างสูงปิดแผลที่ข้อมือและลูบรอยเลือดแห้งกรังให้หายไป ราชองครักษ์ที่รออยู่ตรงท่าเรือกรูกันเข้ามาถวายบังคม
“มีข่าวอะไรไหม” เสียงเรียบถามขณะส่งทวนยาวให้องครักษ์คนหนึ่งรับไว้ องครักษ์สองสามคนเข้ามายื่นถวายผ้าเย็นและน้ำมันให้ชำระคาวเกลือ แต่ความจริงชายสนับเพลาและผ้าทรงของกฤตพรตก็เปียกน้ำทะเลไปแล้ว เขาจึงคร้านจะวุ่นวายนอกจากซับหน้าพอให้หายเหนื่อย “หาน้ำให้ม้าของเราหน่อย”
“ทูลฝ่าบาท ฝ่ายกลาโหมให้เกณฑ์ไพร่พลเพื่อประเมินจำนวนแล้วพะย่ะค่ะ แต่ศึกคงไม่มาประชิดนครในเร็ววัน กองราชนาวีส่งสารมาว่าฝ่ายญานปุตต์ยังไม่ทันตั้งทัพเรือดี ฝ่าบาทสิงห์ศัตรุตจึงดำริว่าจะชิงเข้าโจมตีก่อนเสียที่อ่าว”
กฤตพรตพยักหน้ารับรู้ “ดี เช่นนั้นให้ราชนาวีรายงานแผนศึกของน้องเราและประเมินไพร่พลศัตรูมา เราจะกลับวัง” องครักษ์กลับดูอึกอักเล็กน้อย แทนที่จะกราบบังคมลาไปเตรียมเส้นทางเสด็จ
“เอ่อ ประตูวังทิศใต้มีชาวบ้านออกันอยู่มากมายในเวลานี้พะย่ะค่ะ บางทีพระองค์อาจจะมีพระราชประสงค์ประทับรอท่าอยู่ก่อน พวกกระหม่อมจะสั่งให้ชาวบ้านหลีกทางให้ได้โดยเร็วที่สุด”
กฤตพรตหรี่ตาเล็กน้อย “...เราไม่ประสงค์จะรอ”
“ทูลฝ่าบาท แต่ว่าบางที...”
“ดูก่อน เราเหนื่อยและเสียโลหิตเกินควรในวันนี้ ดังนั้นเราไม่มีความอดทนมากนัก หากมีใครเฉไฉต่อเราอีกหนึ่งคำ เราจะตัดลิ้นเสีย” น้ำเสียงสงบเนิบนาบ ทว่าเย็นชาจนชวนหนาวสันหลัง ราชองครักษ์กลืนน้ำลายนบนิ้วไหว้
“พระอาญามิพ้นเกล้า บัดนี้พระวรชายายังประทับอยู่ที่ตลาดหลังวัง ชาวประชามาห้อมล้อมเฝ้ามิอาจประมาณจำนวนได้ และพระนางก็ไม่อาจเสด็จลงจากหลังกวาง เหล่าองครักษ์พยายามต้อนจับอยู่พะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ แต่เราบอกให้...” กฤตพรตกลืนคำพิโรธกลับลงไป ป่วยการจะด่าว่าตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นกวางแทนที่จะเป็นม้า แต่นี่ก็บ่ายแล้ว นางติดอยู่ตรงนั้นนานกี่ชั่วยามกัน... เขาลูบแผงคอม้าให้มันหยุดดื่มน้ำและขึ้นนั่ง “เราจะพิจารณาโทษองครักษ์ภายหลัง รีบนำเราไปหานาง”
***
“อย่า!! อย่าดึง! ท่านกำลังทำให้เขาเจ็บ”
พ่อกวางพ่นลมจากจมูกฟืดฟาดขณะที่กระชากดึงเชือก ขาหน้าข้างหนึ่งของมันถูกบ่วงของทหารคล้องไว้ได้และขาหลังก็ชนกับกำแพงหิน มันถูกต้อนจนมุมแล้วทั้งที่วิลาสินียังอยู่บนหลัง ร้องเสียงดังและกระทืบเท้าก้าวร้าว วิลาสินีอยากจะร้องไห้ นั่งแนบตัวลงไปกับคอของมันและลูบปลอบแต่พ่อกวางดูจะไม่ใส่ใจ มันไม่ให้นางลงจากหลัง และทหารเหล่านี้ก็ต้องการจะบังคับมัน
ชาวบ้านเข้ามามุงดูและโจษจันไปต่าง ๆ นานา พวกเขาตกตะลึงในรูปโฉมของวิลาสินีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อนางนั่งบนหลังกวางที่เขางามถึงเพียงนี้ ภาพฝันตรงหน้าจะเป็นกระไรไปได้นอกจากองค์อวตารของพระชลธิชา (ผู้เกิดจากน้ำ หมายถึงพระลักษมี ชายาของพระนารายณ์ ซึ่งมีกำเนิดจากฟองน้ำตอนกวนเกษียรสมุทร เป็นเทวีแห่งความงาม ความรัก และโชคลาภ) มารดาโลก พวกเขาเอากลีบดอกไม้มาโปรยให้จนเต็มพื้นราวกับพรม
อย่างไรก็ตาม ยิ่งคนเยอะเสียงดังพ่อกวางก็ยิ่งตื่นตกใจ มันทั้งร้องและทำท่าจะขวิดทุกคนที่เข้าใกล้ หัวหน้าองครักษ์โดนเตะเข้าจัง ๆ ที่ท้อง
“ขอร้อง...พอเถอะ อย่าดึง อย่ายิงเขา เขาไม่ได้เป็นอันตราย เขาแค่เป็นห่วงข้า” วิลาสินีพยายามบอก นางกลัวองครักษ์ที่หยิบธนูพาดสายมากที่สุด
“ทูลพระวรชายา กวางนี้ดุร้ายเกินไป หากฝ่าบาทกฤตพรตทรงทราบว่าพระนางเสด็จลงไปประทับในพระราชฐานไม่ได้และชาวบ้านมารุมจ้องชี้ชวนเช่นนี้ กระหม่อมเกรงว่าทุกคนจะต้องโทษหนัก”
วิลาสินีส่ายหน้าไหว ๆ “ข้าจะทูลฝ่าบาทเอง ท่านยิงเขาไม่ได้นะคะ!” แขนเรียวโอบรอบคอของพ่อกวาง กระซิบกับมันอย่างอ้อนวอน “หยุดเถอะ พ่อเอ๋ย ย่อตัวให้ข้าลง ไม่เห็นหรือว่าเขาจะยิงเอานะ... ปล่อยข้าเถอะ”
พ่อกวางพ่นลมหายใจ ดวงตาดำขลับจับที่ปลายศรมัจจุราชเขม็งแต่มันไม่มีทีท่าจะย่อกายลง กีบเท้าทั้งสี่ยืนหยัดแข็งขืนต่อเชือกที่กระตุกดึง มันเป็นกวางที่แข็งแรงและอายุมาก เคยประสบกับเสือ พราน และกวางตัวผู้อื่น ๆ มากมาย หากว่านี่คือจุดจบ มันก็พร้อมจะจบโดยที่หญิงสาวยังอยู่บนหลัง นางเป็นส่วนหนึ่งของฝูงกวางมานานช้า เยาว์วัยและไม่มีกำลังว่องไวเท่ากวาง หูและจมูกไม่พร้อมระวังภัย กวางทุกตัวจึงคอยเฝ้าดูแลนางเสมอ
“พ่อเอ๋ย ข้าไม่เป็นไรหรอก คนพวกนี้ไม่ทำอะไรข้า”
นางว่าอย่างนั้น แต่ไม่มีใครที่มันควรจะฝากฝังวิลาสินีไว้ด้วยเลยในเมืองนี้ มีแต่บุรุษที่ถืออาวุธและโหดร้าย มีแต่คนบ้าใบ้ที่ลืมภาษาซึ่งสรรพสัตว์ไม่เคยลืม
“ขอประทานอภัย พระวรชายา”
“ไม่ค่ะ! ข้าจะไม่ให้อภัย บอกว่าไม่ให้ยิงไง!!” น้ำตานางไหลลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ถอยออกไปได้ไหม ข้าไหว้ล่ะค่ะ...”
“แล้วผู้ใดกันจะให้ชายาของเราต้องนบไหว้”
วิลาสินีเสียงขาดไปทันที ขณะที่ราชองครักษ์ในที่นั้นก็ดูจะตัวแข็ง รีบก้มลงกราบบังคม กฤตพรตชักม้าตัดผ่านฝูงชนเข้ามา ทุกคนเงียบลงก้มกราบเหลือแต่เสียงซุบซิบ เจ้าชายลำดับหนึ่งผู้เงียบขรึมและทรงเวทองค์นี้นับว่าเป็นเจ้าฟ้าที่ประชาชนออกจะรู้สึกไปทางกลัวมากกว่ารัก ผิดกับเจ้ารามราเมศที่สรวลง่าย เสด็จเยี่ยมเรือกสวนไร่นาเป็นประจำทำให้มีชาวบ้านนิยมชมชอบ และเจ้าสิงห์ศัตรุตที่รบเก่งกล้าเป็นเสมือนวีรบุรุษผู้พิชิต แต่กฤตพรตนั้นแม้จะงามสง่าทว่าก็น่าเกรงขามและห่างเหิน แทบไม่ออกมาให้คนเห็นหน้า บางคนลือว่าเจ้าชายองค์นี้อาจจะซ่องสุมนักสิทธิ์วิทยาเพื่อชิงราชบัลลังก์จากเชษฐา
“เป็นชายาของเจ้ากฤตพรตหรอกหรือ งามบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ น่าที่จะคู่ควรกับเจ้ารามราเมศ”
“เขาว่าเป็นลูกสาวพระฤๅษี จะไปตกแก่ใครได้”
“คงไม่ได้ออกจากวังอีกเลยละมัง ในเมื่อสามีก็ไม่ออกไปไหน ไม่เห็นทำงานทำการ”
วิลาสินีรีบเช็ดหน้า ออกจะตกใจกับคำที่ลอยมากระทบหู นางมองกฤตพรตหวั่น ๆ ทว่าร่างสูงดูไม่ยินดียินร้าย เขาลงจากม้าและเดินเข้ามาหานาง พ่อกวางถอยหลังไปชนกับกำแพงวังและส่งเสียงร้อง กฤตพรตชะงักขา ก่อนจะเป็นฝ่ายถอยไปก้าวหนึ่ง เขายกมีดสั้นขึ้น ดึงมันออกจากปลอกโลหะอย่างช้ามาก ๆ และค่อย ๆ ก้มลงไปตัดบ่วงเชือกที่ขากวาง
วิลาสินีเกร็งตัวเม้มปาก “ร...ระวังโดนเตะเข้านะเพคะ ฝ่าบาท เมื่อกี้นี้...”
ร่างสูงดูจะไม่ได้ฟัง เขาค่อย ๆ ตัดเชือกอย่างระมัดระวังและแตะรอบข้อเท้ากวางที่เป็นรอยบวมเป่ง
“เจ้าอุตส่าห์พาวิลาสินีมาไกลเพียงนี้ แต่คนของเรากลับทำหยาบช้า เราต้องขอโทษเจ้า”
กฤตพรตค้อมศีรษะเล็กน้อย มือใหญ่ลูบอีกครั้งและแผลนั้นก็หายไป น่าแปลก พ่อกวางไม่ได้ทำท่าดุร้ายใส่เขา และเจ้าชายหนุ่มก็สบตานิ่งฟังความเงียบของมันปานว่าฟังเสียงสนทนา วิลาสินีมองไปรอบ ๆ ขณะที่ชาวบ้านซุบซิบกัน
“โอ๊ะ!”
นางอุทานเมื่อจู่ ๆ กฤตพรตก็เดินเข้ามาสัมผัสใบหูของพ่อกวาง จากนั้นก็ช้อนตัวนางอุ้มลงมาอย่างง่ายดาย มือเรียวเกาะไหล่เขา ขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสเหนือแผ่นอกกว้าง
“ขอบพระทัยเพคะ แต่ทำไม...พระวรกายเย็นจัง”
นางมองหัวจรดเท้า เมื่อพินิจดูดี ๆ เครื่องทรงของเจ้าชายหนุ่มบางส่วนเปียกชื้น คาวเลือดที่มองไม่เห็นลอยอยู่ในอากาศ วิลาสินีงุนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วก็สะดุ้งเมื่อกระสากลิ่นเลือดในสายลมที่พัดมาจากทะเล นางเป็นบุตรีฤๅษีป่าประดู่ สามารถสัมผัสถึงอาคมประเภทนี้ได้ มือเรียวเกาะแขนของเขาไว้ขณะที่เขาละมือออกจากนางแล้วก็พบว่ามันเย็นจริง ๆ กฤตพรตทำท่าจะชักมือหนีแต่แล้วก็กุมมือนาง เขารักษากิริยาอยู่พอสมควรในเมื่อมีสายตาจับจ้อง
“นี่ฝ่า...เอ่อ...” วิลาสินีบังคับตัวเองให้เปลี่ยนคำขณะหลบตา “เจ้าพี่เสด็จไปไหนมา รู้สึกจะประชวรรึเปล่าเพคะ ทรงหนาวไหม”
พูดเสร็จชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับมาทันที เหมือนแปลกใจกับสรรพนามที่นางเรียก นั่นปะไร... แบ่ง ๆ กันขนลุกไปบ้าง วิลาสินีคิดขณะลอบขำ
แต่แล้วนางก็อึ้ง เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือมาแตะหน้าผากของนาง มือของเขาเย็นเหลือเกิน
“อนิจจา เจ้าเนื้ออ่อนของพี่ต่างหากที่ต้องแสงแดดเที่ยงจนร้อนไข้... ยังจะห่วงพี่อีกหรือ”
น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน และสายตาสีนิลก็อ่อนโยนยิ่งกว่า วิลาสินีถึงกับอ้าปากหวอ ขนลุกซู่จนตัวสั่นเลยทีเดียวกับทักษะเจรจาหวานเลี่ยนแบบชาววังแท้ ๆ ของกฤตพรต เสียงซุบซิบของชาวบ้านก็ดูจะเงียบกริบไปเหมือนกัน ด้วยว่าปกติเจ้ากฤตพรตตรัสไม่มากนัก และนอกจากคำสั่งแข็ง ๆ กับคำสวดมนต์ในพิธีก็ไม่มีอื่นใด ทว่าถ้อยคำนุ่มนวลและภาพของเจ้าชายหนุ่มกับวิลาสินีเคียงข้างกันในชั่วขณะนั้นงามเหมาะเจาะราวกับเทพลิขิต
“โถ กิ่งทองใบหยกแท้ ๆ เทียว ดูท่าจะรักกันมาก”
“เจ้ากฤตพรตก็เป็นองค์เดียวล่ะไม่เที่ยวเล่นเชิงชู้ เป็นขวัญบุญหนอสมที่ได้แม่นางฟ้า”
คราวนี้เป็นทีของกฤตพรตยิ้มขำที่มุมปาก และเมื่อวิลาสินีสบตาเขาก็รู้สึกว่า พี่ชายขี้แกล้งของนางยังซ่อนอยู่ที่นี่เองในตัวเขา
***
ตำหนักของกฤตพรตอยู่ใกล้กับสระหลวง ตัวตำหนักสร้างจากศิลาและไม้ประดู่ เพดานโค้งวาดลายดอกพุดตาน ภายในตัวอาคารแขวนผ้าทอสีฟ้าครามบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระสมุทร ผนังบางส่วนปล่อยให้เห็นเนื้อหินอ่อนธรรมชาติ มีสลักลายเล็กๆน้อยๆตามเสาและคาน สะอาดตาตามแบบฐิรังกานิยม ห้องหับส่วนใหญ่เต็มไปด้วยม้วนเอกสารวางเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบตามช่องชั้นไม้ขัดเงาเพียบไปตั้งแต่พื้นจรดเพดาน
วิลาสินีได้ชะโงกดูห้องต่าง ๆ แว้บ ๆ ตอนที่เดินตามเจ้าชายหนุ่มมายังตำหนัก เขาพานางเดินตัดผ่านตัวตึกออกไปที่อุทยานด้านหลัง กลางอุทยานมีศาลาขาวทรงกลมโปร่ง ม่านไหมปักดิ้นกรองแสงสว่างให้นุ่มนวลตา วิลาสินีนึกอยากจะเข้าไปนั่งข้างในเหลือเกิน แต่กฤตพรตก็เดินนำนางผ่านมันไปอย่างรวดเร็ว
“เรามาพักที่นี่ภายหลังก็ได้ วิลาสินี ตอนนี้ต้องไปเข้าเฝ้าพระบิดาก่อน”
ที่ท้ายอุทยานใต้ต้นอโศก วอสุวรรณมารอรับพวกเขาอยู่แล้ว วอประจำยศของกฤตพรตมีรูปหัวม้าตกแต่งฐานเสาสี่ด้าน หลังคาวอทรงโค้งมีผ้าพรมปูบังแดด การตกแต่งแบบนี้ทำให้เมื่อนั่งอิงหมอนข้างสั้นบนเบาะที่นั่งด้านในสีแดง จะเห็นพู่ห้อยชายพรมตามขอบโค้งไหวไปมาสวยงาม หากว่าต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถรูดม่านปิดด้านข้างได้ วิลาสินีตะลึงและเกร็งขึ้นมาอีกรอบ เพราะไม่เคยนั่งวอมาก่อนในชีวิต นางก็กลัวจะตกเป็นกำลัง
ดูจากสีหน้าและเหงื่อบนผิวดำแดงของพนักงานหาม ทั้งสองคงจะมาสายเกินเวลาที่คาดไว้มาก กฤตพรตคงจะร้อนใจอยู่จึงรีบเดินขึ้นไปนั่งบนวอก่อน จากนั้นก็หันมาขมวดคิ้วใส่เมื่อเห็นวิลาสินียืนตัวแข็ง
“เป็นอะไรไป” เจ้าชายลำดับหนึ่งงุนงง ขยับตัวมาริมวอแล้วยื่นมือมาให้จับ สาวน้อยกลัวถูกดุ จึงส่งมือให้เขาโดยอัตโนมัติ ทว่าจนแล้วจนรอดขาก็ไม่ยอมก้าวขึ้นมา “ทีนั่งบนหลังสัตว์หน้าขนล่ะก็กล้า บนวอคนหามกลับไม่กล้าขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
วิลาสินีไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่สบสายตากับชายหนุ่มแล้วก็รู้ว่าคงขอเดินเท้าไปไม่ได้แน่ นางกลั้นใจเข้าไปนั่งและก็ร้องว้ายลั่นเมื่อพนักงานหามยกวอขึ้นพาดบ่า แขนขากางออกจับตัวเสาราชยานนั้นไว้สุดชีวิตราวกับอยู่บนเรือที่โคลงเคลง มือข้างหนึ่งฉวยก้านคอคนข้างตัวไว้ด้วย กฤตพรตถึงกับเบิกตากว้าง จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะลั่นอย่างลืมรักษากิริยา วิลาสินีหน้าแดงฉ่าด้วยความอับอาย
“ฝ่าบาทเพคะ! หม่อมฉันจะตก...จะตกจริง ๆ !” ปากร้องอย่างนั้นไปแทบตลอดทาง ทั้งที่พนักงานหามทุกนายเป็นบุรุษล่ำสันที่คัดความสูงมาเสมอกัน ย่างก้าวไปพร้อมเพรียง ไม่มีวี่แววที่จะวอสุวรรณจะเอียงไปทางใดทางหนึ่งด้วยซ้ำไป เรื่องจะพลิกคว่ำให้คนตกลงมายิ่งเป็นไปไม่ได้ แต่นางยังคงรู้สึกว่าต้องหาที่ยึดเกาะเวลามันเคลื่อนไปอยู่ดี จะนั่งสบาย ๆ อย่างกฤตพรตไม่ได้
เจ้าชายลำดับหนึ่งแกะแขนของนางที่เพียรตวัดรอบคอเขา แล้วดึงเจ้าร่างน้อยมาใกล้ “เช่นนั้นก็นั่งให้อยู่ตรงกลางหน่อย จะได้ไม่พลัดตก และไม่โดนแสงแดดด้วย”
“มันจะกลางได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อเรานั่งกันสองคน ดูเถอะ น้ำหนักฝ่าบาทน่ะมากไป วอจึงได้กระเท่เร่ไปทางนั้น”
ผู้ที่ถูกหาว่าอ้วนกลาย ๆ เหล่ตามองแม่คนพูดจาเกินจริง จากนั้นวงแขนกว้างจึงโอบไปด้านหลัง คว้าใต้รักแร้ของนางยกขึ้นมาเหมือนอุ้มเด็กเล็ก ๆ วิลาสินีอุทานเมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกยกลอยขึ้นกะทันหัน ได้ยินเสียงติดรำคาญย้ายมาอยู่ข้างหู
“เช่นนี้กลางหรือยัง”
นางนั่งซ้อนอยู่บนตักของกฤตพรตที่ขยับกายมาอยู่กลางเบาะ กลางกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว! ความกลัวของวิลาสินีละลายไปสิ้นเหลือแต่ความอายที่ทำให้หูตาพร่า ภาพทิวทัศน์พระราชวังสองข้างทางคล้ายกลับกลายเป็นสายตาจับจ้องมาจากคนนับร้อยนับพัน ความชาแล่นมาจากท่อนขา สะโพก และลามขึ้นมายังลำตัวที่แนบชิดกัน จนร่างกายของนางเป็นอัมพาตไป กฤตพรตมีกายเย็นตัดกับความร้อนของแสงอาทิตย์ที่แผ่เข้ามา
“ปล่อยนะเพคะ ทรงทำประเจิดประเจ้อเช่นนี้ผู้คนจะว่าอย่างไร น...นี่เสียหายหนักหนาแล้ว ต่อไปใครจะยอมเป็นสามีของหม่อมฉันอีกล่ะเพคะ ใครจะ...”
เจ้าชายหนุ่มกะพริบตา นางพูดเพ้อกระไร ก็เขานี่ไงที่เป็นสามีของนาง หรือสาวน้อยวัยสิบสี่คิดวางแผนจะเป็นชายาของเขาไปสักระยะหนึ่งจนตัวเองอายุมากขึ้นก่อน แล้วค่อยหย่ากับเขาเพื่อไปแต่งงานกับชายที่รักภายหลัง... แต่แผนการเช่นนั้นจะสำเร็จได้ไฉน ผู้หญิงแก่ก็หาเจ้าบ่าวยากอยู่แล้ว ผู้หญิงหม้ายเพราะขอหย่าสามียิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้ว่าในหัวนางมีเมล็ดพันธุ์พิเรนทร์ชนิดใดงอกอยู่อีก เจ้าชายหนุ่มส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงม่านและตลบชายพรมบนหลังคาลงมา
“ถ้าไม่ชอบให้ใครสอดตาเข้ามาเห็นก็ปิดม่าน”
“ฝ่าบาท! โอย... มันยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่เลยเพคะ”
กว่าจะมาถึงหน้าท้องพระโรง วิลาสินีก็รู้สึกว่าอยากจะเป็นลมแล้วไม่ต้องรับรู้อะไรอีก นางปล่อยให้กฤตพรตเดินนำตนไปเยี่ยงคนไร้สติ ทั้งสถานที่อลังการแปลกใหม่และสัมผัสแนบชิดกับเพศตรงข้ามทำให้นางมึนงงไปหมด เหมือนกับว่าชีวิตได้ถูกพายุหมุนลูกยักษ์พัดผ่านและถอนรากถอนโคนของที่มีอยู่เดิมจนสิ้นภายในวันเดียว
ทันใดนั้นมือใหญ่ของกฤตพรตก็ดึงชายส่าหรีของนางให้คุกเข่าลงกับพื้นพรมข้าง ๆ เขา วิลาสินีเพิ่งรู้ตัวว่าทั้งสองเข้ามาถึงประตูห้องเล็กสำหรับเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว นางแอบเหลือบตาขึ้นมองเห็นเพียงเท้าอวบอิ่มที่สวมกำไล และชายผ้านุ่งจีบสีน้ำเงินกลีบบัวอินทีวร
“ดีเหลือเกินนะ ให้พระเจ้าแผ่นดินทรงคอยท่าอยู่นานสองนาน ไม่รู้ใครขอเข้าเฝ้าใครกันแน่”
สุรเสียงหวานดั่งนกการเวก (นกในตำนาน เชื่อว่าอยู่ในป่าหิมพานต์ หน้าตาเป็นครุฑประสมกับหงส์ บินสูงเหนือเมฆ กินลมเป็นอาหาร มีเสียงไพเราะจนสัตว์ทั้งหลายได้ยินจะต้องหยุดชะงักฟัง) ถึงกับกล้าประชดประชันเจ้าชายลำดับหนึ่ง วิลาสินีตกใจจนรู้สึกว่าแทบขยับตัวไม่ได้ สายตาสีเขียวลอบมองกฤตพรตที่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นประนมกรด้วยหางตา แล้ววิลาสินีก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่ทำแบบนี้ได้ในจักรวรรดิคงมีแค่นางเดียว
พระนางคชารีมหาเทวี พระมเหสีของท้าวฐิรังกา ถือศักดิ์เป็นมารดาเลี้ยงของกฤตพรต... เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ววิลาสินีก็รีบคลานเข้าไปกราบเท้าคนตรงหน้า แตะเอาบาทบงสุ์ (ฝุ่นละอองเท้า) แห่งผู้ที่เป็นเสมือนบุพการีที่สองของสามีมาใส่เกล้า เพื่อเป็นการฝากเนื้อฝากตัวในฐานะสะใภ้ หญิงสูงศักดิ์แตะไหล่ของสาวน้อยให้เงยหน้าขึ้น นางดูจะตะลึงไปเล็กน้อย แล้วก็ฉีกยิ้มออกมา
“อา น้อยครั้งที่คำร่ำลือจะเป็นความจริง! ธรรมดาผู้มีทรัพย์มักซุกซ่อนเพชรนิลจินดาอันงามไว้ก้นหีบหรือตู้ จนกว่าจะถึงเวลาได้นำออกมาใช้ บิดาของเจ้าก็คงขังเจ้าไว้ในที่ลับประเภทนั้นจนกว่าจะเจริญวัยเป็นแน่ จึงได้ไม่มีใครเคยค้นพบความงามของเจ้ามาก่อนจนกระทั่งบัดนี้” พระนางคชารีเลื่อนสายตาไปยังกฤตพรต สุ้มเสียงของนางหวานกว่าเดิม “แต่สิทธิสวามินจะนำทรัพย์นี้ออกมาใช้ทำการอันใด เจ้าพอนึกออกบ้างหรือไม่”
คราวนี้ วิลาสินีเหมือนหัวใจจะกระดอนออกมาจากอก นี่มันอะไรกัน... เหตุใดพระมเหสีฐิรังกาจึงเป็นปฏิปักษ์กับกฤตพรตอย่างออกนอกหน้า อาจเพราะในชีวิตของวิลาสินี บิดาก็ปฏิบัติดีกับนาง บรรดาเจ้าชายที่นางรู้จักตั้งแต่เด็กเสมือนพี่ชายก็ล้วนเอ็นดูนาง ฝูงกวางที่รับนางเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวยิ่งดูแลรักใคร่นาง ทั้งที่ตามระบบความสัมพันธ์แล้วไม่อาจนับเป็นญาติ หญิงสาวจึงออกจะชินกับนิยามครอบครัวอันอบอุ่น ครั้นมาเจอสมาชิกครอบครัวของกฤตพรตที่นับเป็นญาติได้จริง ๆ แต่กลับพูดจาใส่ร้าย วิลาสินีก็อึ้งเหมือนถูกตบหน้า นางเคยเดา ๆ เรื่องปัญหาครอบครัวกฤตพรตอยู่บ้างแต่ไม่นึกว่าร้ายแรงเท่านี้
แต่หากวาจาปราศรัยของคชารีมหาเทวีจงใจแต่งมาเพื่อตบหน้าจริง กฤตพรตก็คงชินชาจนผิวหน้าไม่ระคายอะไรแล้ว “ทูลพระมเหสี กระหม่อมมิบังอาจคาดเดาเรื่องของผู้อื่นโดยไม่มีมูล โดยเฉพาะผู้เป็นฤๅษีและอาจารย์ วิลาสินีก็เป็นเจ้าสาวสยุมพร เจ้าชายจากเมืองต่าง ๆ ทรงประลองศรกันตามธรรมเนียมบุราณ มิใช่ทรัพย์ที่ตกลงยกให้ผู้ใด”
“โกหก” อีกฝ่ายกระซิบ “สิทธิสวามินหนุนหลังเจ้า การแต่งงานครั้งนี้เป็นไปเพื่อให้ฐานอำนาจของเจ้ากับพวกฝ่ายเวทแน่นแฟ้น อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าเจ้าปรารถนาอะไรอยู่... เจ้าน่ะหรือประลองศรชนะรามราเมศได้”
“แม้นมิทรงเชื่อคำกระหม่อม ก็ตรัสถามเจ้ารามดูด้วยพระองค์เองเถิด” กฤตพรตจับมือวิลาสินีให้ลุก “เกินเวลาอันสมควรมามากแล้ว กระหม่อมต้องเข้าเฝ้าเสด็จพ่อและแนะนำให้ทรงรู้จักพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) องค์ใหม่”
***
การเข้าเฝ้าท้าวฐิรังการาบรื่นกว่าที่วิลาสินีคิด หรือถ้าหากจะพูดให้ถูก คือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยมากกว่า อาจเพราะกริ้วที่ต้องรอคอยนาน ด้วยเหตุว่าวิลาสินีก็ติดอยู่กับพ่อกวาง ส่วนกฤตพรตก็ไปร่ายอาคมด่วน องค์กษัตริยบดีจึงไม่ใส่พระทัยใด ๆ เพียงแค่ทรงงานอยู่ที่โต๊ะ และกฤตพรตก็กล่าวทูลรายงานแนะนำวิลาสินีไปตามเรื่อง คู่บ่าวสาวกราบกรานเสร็จก็ลาออกมาด้วยกันเท่านั้น ท้าวฐิรังกาผู้ชราหาได้มีพระราชปฏิสันถารด้วยสักคำเดียว
นางไม่ได้เห็นพระพักตร์แห่งพระจักรพรรดิถนัด กระนั้นก็ขนลุกซู่ไปตั้งแต่หัวจรดเท้า คร้ามเกรงพระราชอำนาจของกษัตริย์ดุจเป็นมดใต้รองพระบาท
กับเจ้าชายเมืองต่าง ๆ นางไม่เคยรู้สึกอย่างนี้... ไม่เคยรู้สึกว่าพวกเขาชี้เป็นชี้ตายคน บางทีนางอาจเพิ่งตระหนักได้ว่าวันหนึ่งเมื่อครองราชย์ พวกเขาก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน และนางนั่นแหละที่บังอาจเล่นหัวกับพวกเขามากไป
นอกจากนั้น วิลาสินีเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าครอบครัวของเจ้าชายหนุ่ม ‘แปลก’ มากเพียงใด นี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาชอบนิ่งเงียบและเป็นราชกุมารที่แปลกประหลาดเหมือนกันก็ได้ หรือจะว่าไป มันอาจไม่แปลกสำหรับวรรณะกษัตริย์ เพราะกระทั่งสงครามทุ่งกุรุเกษตร ที่ผู้คนเล่าขานขับลำนำกันบ่อย ๆ ก็เป็นเรื่องความบาดหมางซับซ้อนในราชวงศ์เหมือนกันมิใช่หรือ...
(สงครามทุ่งกุรุเกษตร คือ มหาสงครามในเรื่องมหาภารตะ เกิดจากความขัดแย้งของพี่น้องสองตระกูล คือ ตระกูลเการพ และตระกูลปาณฑพ ซึ่งทั้งสองตระกูลต่างก็สืบเชื้อสายมาจากพระราชากรุงหัสตินาปุระเหมือนกัน ปัจจุบันเมืองนี้อยู่ที่รัฐอุตตรประเทศในอินเดีย)
สาวน้อยครุ่นคิดเรื่องนี้ขณะที่นั่งวอสุวรรณกลับมายังตำหนักของกฤตพรต คราวนี้นางไม่ยอมให้จับนั่งตักอีกต่อไป ทว่านั่งกลับหลังแล้วกอดส่วนบนของเบาะที่ตรึงติดตัววอไว้เสียแทน ทุลักทุเลแต่ก็สบายใจกว่าเก่า กฤตพรตเพียงแค่ยิ้มทว่าไม่ช่วยเหลือหรือวิจารณ์นางแต่อย่างใด
เจ้าชายหนุ่มพานางไปพักผ่อนที่ศาลาขาวกลางอุทยานตามที่เอ่ยปากไว้ เขาเองก็ชอบอยู่ในศาลาแห่งนี้อยู่แล้วยามที่อากาศดี กลุ่มเบาะต่วนสีงาช้างและหมอนอิงนิ่มแสนสบายมีม้วนอักษร หมึก และตะเกียงกองรวมกันอยู่ไม่ห่าง บ่งบอกว่าเจ้าชายหนุ่มใช้ที่นี่เขียนหนังสือ เขานั่งลงและผายมือเชิญให้นางนั่งด้วย
“รออยู่ที่นี่ก่อน เย็น ๆ พวกนางกำนัลน่าจะเตรียมห้องในวังหลังให้เจ้าเสร็จ”
กฤตพรตบอกเช่นนั้นแล้วก็เอนกายพิงหมอน หลับตานิ่งไป ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ วิลาสินีนั่งมองเจ้าชายหนุ่มอย่างออกจะเป็นห่วง เขาไม่ได้เล่าอะไร และท่าทางก็ปกติดีทุกอย่าง ทว่าสีเลือดบนโครงหน้าคมนั้นซีดลง ตั้งแต่ตอนที่เจอกันที่วังแล้ว นางมั่นใจว่ากฤตพรตกรีดเลือดสังเวยอาคมบางอย่างในทะเล แทนที่จะได้พักก็ยังต้องไปเข้าเฝ้าต่อ ดูจากท่าทีที่ไม่ยอมปลดเครื่องทรงแล้ว ก็คงยังมีงานรออยู่อีก
“พวกชาวบ้านไม่น่าพูดถึงฝ่าบาทอย่างนั้นเลย...” เสียงแหลมเล็กกระซิบขณะส่ายหน้า นางขยับเข้ามาใกล้เขาและแตะที่หลังมือใหญ่ มันอุ่นขึ้นแล้วแต่ก็ยังเย็นกว่าอุณหภูมิที่ควรเป็น อุบะกุหลาบหางมาลัยที่ข้อมือนางระปลายนิ้วของเขา บางทีพ่อกวางอาจจะตกตะลึงเหมือนกับนางเมื่อได้เห็นบุรุษผู้นี้ เปื้อนด้วยไอเกลือและคาวโลหิตของตัวเอง ฝ่าฝูงชนเข้ามาขอขมากวางตัวหนึ่ง ดูเอาเถอะ เขาไม่ประหลาดใครจะประหลาด... วิลาสินีร่ำลาพ่อกวางอยู่นานสองนานแต่ก็รู้สึกว่ามันวางใจกฤตพรตแล้วและพร้อมจะปล่อยนางไว้กับคนประหลาดแบบเขา “ให้ตายสิ ฝ่าบาทเนี่ยนะจะไม่ทำงานทำการ พระเทวียิ่งแล้วใหญ่ ตรัสเสียท่านพ่อกลายเป็นคนขายลูก ส่วนฝ่าบาทก็กลายเป็นกบฏ”
“...ก็ช่างลมปากเขา เรารู้ตัวเราเองดี”
หญิงสาวสะดุ้งหดมือกลับ “อ...อ้าว ตื่นอยู่หรือเพคะ” ใบหน้าคมยิ้ม หยอกว่า
“แค่นั่งไม่ทันไร เราก็โดนจับมือถือแขนแล้ว หากหลับไม่ถูกเจ้าปล้ำหรอกหรือ”
วิลาสินีค้อนขำ “ใครจะปล้ำฝ่าบาทเพคะ จู่ๆก็ตรัสอย่างกับสาวพรหมจรรย์แน่ะ” ทีอุ้มนางใส่ตักหน้าตาเฉยอย่างกับเป็นเด็กหรือลูกแมว เขายังทำมาแล้ว “หม่อมฉันแค่กลัวว่าฝ่าบาทจะตัวเย็นชืดเป็นปลา จะหาผ้าห่มให้”
“ไม่ต้องหรอก เราแค่อยากพักสักหน่อย... แล้วเจ้าเล่า ขี่กวางตากแดดเกือบครึ่งวัน เจอแม่เลี้ยงสามีต้อนรับด้วยความเดียดฉันท์ ซ้ำเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเป็นครั้งแรก ไม่เป็นลมนับว่าเป็นหญิงแกร่ง”
“แหม แน่นอนอยู่แล้วเพคะ หม่อมฉันชาวป่านะ เกิดมายังไม่เคยเป็นลม แค่นี้จิ๊บจ๊อย” นางตบอกภูมิใจ กฤตพรตกะพริบตา ก่อนจะขยับยิ้ม
“งั้นหรือ...” เขาอยากถามอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “ก็ดีแล้ว เอาน้ำเย็น ๆ ไหม”
นางส่ายหน้า นัยน์ตาสีเขียวส่องสบกับเนตรนิลคม เสียงใสอ่อนลง “ฝ่าบาทยังไม่ตรัสตอบหม่อมฉันเลย... ก่อนหน้านี้เสด็จไปไหนมาเพคะ แล้วพวกญานปุตต์เล่า”
“พระอาจารย์บอกเจ้าหรือ”
“เปล่าเพคะ เหล่าเจ้าฟ้าชายที่นั่นตรัสเล่า”
“เราไปลงอาคมที่ชายฝั่ง ทัพญานปุตต์ยังอยู่ในอ่าวฝั่งแผ่นดินใหญ่โน้น เจ้าศัตรุตจะโจมตีก่อนเพื่อลองฝีมือศัตรูดู...” ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อยและขมวดคิ้วหันไปทางหน้าตำหนัก
“ใครมาหรือเพคะ” หญิงสาวทำท่าจะจัดผ้าคลุมผมออกไปดู กฤตพรตสั่นหน้า
“นั่งอยู่ในนี้แหละ วิลาสินี”
ไม่ทันขาดคำราชองครักษ์ก็เข้ามาถวายบังคมที่ตีนศาลาขาว หมอบกรานไม่กล้าเงยหน้าแลดูกระทั่งเงาของพระวรชายาผ่านผ้าม่าน
“ทูลฝ่าบาท เจ้ารามราเมศมีดำรัสเชิญให้เข้าเฝ้าที่ป้อมปราการกลางในยามนี้พะย่ะค่ะ ธ โปรดให้นำวอฝ่ายกลาโหมมารอรับอยู่ที่หน้าตำหนัก”
กฤตพรตรับคำ ลุกขึ้นและหันมามองวิลาสินีอย่างออกจะขออภัย “ขอโทษนะ... เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด หากวังหลังเตรียมห้องให้เสร็จแล้วคงจะมาแจ้ง อยากให้เราสั่งนางกำนัลมาอยู่เป็นเพื่อนหรือไม่”
“โอ๊ยไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาทรีบเสด็จเถอะ ท่าทางจะเป็นเรื่องด่วน” วิลาสินีโบกไม้โบกมือว่าไม่ต้องเป็นห่วง เข้าใจดีว่าวันแรกในวังของนางที่สมควรจะต้อนรับดีกว่านี้ออกจะผิดปกติ ด้วยมีเหตุข้าศึกมาทำให้ทุกคนยุ่งวุ่นวาย แต่อย่างไรนางก็ไม่ได้ถือตนว่าทุกคนต้องมาต้อนรับยิ่งใหญ่อะไรอยู่แล้ว เพียงแค่เห็นตำหนักของกฤตพรตมีอุทยานสวยงาม และวังหลังร่มรื่น นางก็ดีใจ
ร่างสูงค้อมศีรษะเล็กน้อย “เช่นนั้น หากเจ้าต้องการอะไรก็เรียกองครักษ์นะ”
วิลาสินีพยักหน้า และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางเห็นกฤตพรตจนกระทั่งอีกสองเดือนต่อมา แต่ตอนนั้นนางไม่รู้หรอกว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกนานถึงขนาดนั้น จึงเพียงแค่ยิ้มส่งเมื่อวอกลาโหมเคลื่อนพ้นตำหนัก ร่างเพรียวก็ผุดลุกขึ้นเดินดูรอบ ๆ อย่างสนใจ แอบหยิบม้วนอักษรขึ้นมาดู นางเป็นสตรี ทั้งยังเป็นชาวป่ามิใช่ราชนิกูล แน่นอนว่าอ่านออกเขียนได้ไม่มากนัก มีแต่ที่ครูพักลักจำจากเวลาสิทธิสวามินสอนเหล่าเจ้าชายทั้งหลายในอาศรมป่าประดู่
แต่ลายมือของกฤตพรตหวัดเหลือเกิน แม้จะเขียนเป็นบรรทัดตรงแต่ก็ตวัดหางยาวจนพันกันไปทั่ว วิลาสินีจึงถอดใจ เลิกพยายามจะอ่าน นางดูแผนที่และภาพร่างต่าง ๆ ที่กฤตพรตวาดแทรกคำบรรยายไว้แทน บ้างเป็นภาพชิ้นส่วนของเรือ บ้างก็เป็นบันทึกการโคจรของกลุ่มดาว นางเปิดแท่นฝนหมึกออกดูและลองฝนเล่น กลิ่นหมึกที่ไม่คุ้นจมูกมีเสน่ห์อย่างประหลาด
“อุ้ย!”
วิลาสินีตกใจหน่อย ๆ ที่เห็นมีภาพนกเอี้ยงกำลังกางปีกสองภาพบนม้วนกระดาษแผ่นหนึ่ง ตัวหนึ่งแลดูเหมือนจริงราวกับจะกระโดดบินออกมาได้ก็ปาน ส่วนอีกตัวหนึ่งในกิริยาเดียวกันเหมือนผ่าให้เห็นโครงสร้างกระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด และอวัยวะภายใน ดูแล้วน่ากลัวนักสำหรับนางผู้ไม่เคยเห็นนกในมิตินี้มาก่อน จะว่าไปแล้วชันสูตรสิ่งมีชีวิตใด ๆ นางก็ไม่เคยทั้งนั้นแหละ
“บรื๋อ! ฝ่าบาททรงวาดอะไรของพระองค์เนี่ย...” ว่าแล้วก็รีบวางกลับคืนที่เดิมอย่างกลัวจะเจออะไรมากกว่านี้ นางยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นนกจาบฝนตัวหนึ่งมุดผ่านรอยแยกผ้าม่านเข้ามา มันมองนางด้วยตากลมดำเหมือนลูกปัด แล้วก็กระโดดไปเจอะแท่นฝนหมึกเข้าพอดี “เฮ้ย! ไม่ได้ ๆ ตรงนั้นอย่านะ!”
เจ้านกประทับหมึกดำเป็นรอยตีนเล็ก ๆ ลงไปบนม้วนกระดาษเรียบร้อย เดินเตาะแตะสี่ห้าก้าวแล้วบินจากไป วิลาสินีแทบลมจับ ปรี่เข้ามาหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมาดูขณะสาปแช่งความสะเพร่าของตัวเองที่ลืมเก็บแท่นฝนหมึก เป็นเรื่องจนได้สิน่า
“ตาย ๆ ๆ ทำยังไงล่ะทีนี้... ดูไม่ได้วาดมาคืนให้ง่าย ๆ ซะด้วยสิ”
เสียงแหลมสูดปากขณะมองความเสียหาย รอยมุมแหลมที่ประกอบด้วยขีดสามเส้นเหยียบลงไปบนภาพร่างศีรษะมนุษย์ที่มีเส้นลูกศรชี้ตรงจุดนั้นจุดนี้มากมาย มีเส้นประแบ่งกะโหลกออกเป็นส่วน ๆ เนื้อกระดาษสีออกเหลืองกว่าแผ่นอื่นเล็กน้อย บ่งบอกว่าค่อนข้างเก่าแล้ว นางคลี่มันออกดูชัด ๆ แล้วก็ตกใจแทบผงะ
มีชื่อของนางเขียนไว้ในบรรทัดบนที่ติดกับภาพ... ต่อให้ลายมือจะหวัดแค่ไหนนางก็แน่ใจว่ามันคือคำว่า ‘วิลาสินี’ อย่างแน่นอน ชื่อเป็นหนึ่งในคำที่นางเขียนได้เป็นคำแรก ๆ หญิงสาวมองใกล้ ๆ ให้มั่นใจว่าตาไม่ฝาด แล้วก็ยิ่งตกใจเมื่อเห็นชื่อตัวเองมีเขียนซ้ำแทรกอยู่ในบรรทัดอื่น ๆ หลังจากนั้น
“อ...อะไรกันเนี่ย” มันไม่น่าจะมีคำว่าวิลาสินีอยู่ในเรื่องกายวิภาคมนุษย์สักหน่อย ยิ่งคิดนางก็ยิ่งงุนงง แกะลายมือกฤตพรตก็ยากเย็นเหลือใจ
เสียงนกในสวนร้องเตือนกันก่อนจะบินหนีจากพุ่มไม้เตี้ย ๆ ในสวนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ วิลาสินีหันมองขณะซ่อนม้วนกระดาษไว้ข้างหลังโดยอารามตกใจ นางกำนัลส่าหรีสีเหลืองจำปาสองคนเข้ามาพับเพียบกราบที่ตีนศาลา ห้องของนางในวังหลังตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว
“เชิญเสด็จพระวรชายาเพคะ”
วิลาสินีเม้มปาก ก่อนจะค่อย ๆ รับคำ หันมองรอบตัวแล้วก็ที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นฝ่ายชนะ นางตัดสินใจรีบม้วนแผ่นกระดาษนั้น ถือแอบไว้ใต้ผ้าคลุมผมและก้าวออกจากศาลา