บทที่ 7 ผู้บุกรุก
พิมพิสุทธิ์เดินก้าวสั้น ๆ ระยะประดุจนกเดินอย่างเรียบร้อย พับเข่าขึ้นนั่งบนแท่นแล้วใช้มือซ้ายคีบชายส่าหรีลูกไม้เสนด้านหลังสะบัดออกไปไม่ให้ถูกทับเวลานั่ง ส่วนมือขวาถือถาดเครื่องขนมโมทกะ (ขนมต้มรสหวาน ไส้ทำด้วยมะพร้าวขูดผัดกับเครื่องเทศและน้ำตาล ปั้นเป็นลูกกลมยอดแหลมทรงกระเทียม ห่อแป้งแล้วนึ่งให้สุก) มาวางถวายบนโต๊ะเสวยกลม
นางกำนัลคุกเข่านำเนยใสและผงกระวานมาวางเคียงให้ด้วย ขณะที่วิลาสินีเทพระสุธารสชา
วิลาสินีวางกาลงอย่างเบามือที่สุด แล้วก็เหลือบมองเงียบ ๆ ขณะที่กฤตพรตกล่าวขอบใจที่พิมพิสุทธิ์ทำขนมมาให้โดยเฉพาะ พระสนมเอกผู้นี้ดูจะรู้ว่า เจ้าชายหนุ่มโปรดปรานอะไรบ้าง วิลาสินีนั่งอยู่บนแท่นเบื้องขวาของกฤตพรต ขณะที่พิมพิสุทธิ์นั่งที่เยื้องไปทางซ้าย แท่นของนางต่ำกว่าแท่นพระวรชายาเล็กน้อย
ริมฝีปากแต้มชาดแดงสดใสของพระสนมเอกแย้มยิ้มให้ “เจ้าพี่ ทรงทำตกใจกันทั้งวังเทียวนะเพคะ ประพาสป่ากับพระวรชายาไม่ตรัสแก่ผู้ใดเช่นนี้ ราชองครักษ์วิ่งวุ่นกลัวเงาหัวจะหายกันหมด”
ห้องกลางของตำหนักเจ้ากฤตพรตเปิดกว้างออกไปเห็นอุทยานและหมู่อาคารรอบนอก ตำหนักนี้มีองครักษ์ยืนยาม และมีนางกำนัลหมอบกรานเฝ้าอยู่ทุกช่วงเสา ใช่จะมีคนแปลกหน้าแอบเข้านอกออกในได้ง่าย ๆ แต่ละนางนิ่งเงียบไม่ใคร่จะหัวร่อต่อกระซิกกันเท่าไร ดูเผิน ๆ บางครั้งไม่สังเกตเห็น และเมื่อเจ้าชายลำดับหนึ่งหยุดประทับนั่งหรือนอนที่ใด นางกำนัลก็จะเข้ามาอยู่งานพัดวีอัตโนมัติ เฉพาะตำหนักส่วนในเท่านั้นที่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป
กฤตพรตพาวิลาสินีกลับมาตำหนัก โดยบอกที่วังว่าออกไปเที่ยวป่ากันเล่น จึงไม่ต้องลงโทษราชองครักษ์หรือทำให้เป็นเรื่องใหญ่
วิลาสินีโดนนางกำนัลลากไปช่วยกันอาบน้ำแต่งตัวเกล้าผม ห่มส่าหรีชมพูปักทองเสียสวยสดงดงาม ออกมาก็เจอเจ้าฐิรังกาประทับอยู่กลางมวลนางกำนัลที่คอยพัดและถือแส้จามรีปัดไล่แมลง มีนางในหมอบเฝ้าลดหลั่นกันเป็นแถวที่พื้นด้านหน้า พวกนางดีดพิณเล็กไพเราะอ่อนหวาน หญิงสาวยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่นาน เขาจึงตบแท่นเบื้องขวาเบา ๆ เป็นเชิงเรียกไปนั่ง กันไม่ให้นางปล่อยไก่นั่งผิดที่
ไม่นานพิมพิสุทธิ์จึงมาเข้าเฝ้า วิลาสินีคิดว่าตัวเองควรจะทักทาย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรกับนาง จึงไหว้แล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเดียว ฝ่ายพระนางพิมพ์ก็ดูจะสนใจแต่กฤตพรต
“คราวหลังทรงพระกรุณาโปรดให้หม่อมฉันและคนอื่น ๆ ตามเสด็จด้วยสิเพคะ เสด็จไปเพียงสองพระองค์ในไพร คงจะทรงลำบาก” เนตรสีเทาเข้มชายมาทางวิลาสินี “พระนางก็คงจะทรงเหนื่อยล้าที่ต้องรับใช้เจ้าพี่แต่ผู้เดียวในที่กันดารเช่นนั้น”
“อย่าลำบากเลยพิมพ์ เจ้าไม่ชอบป่าดงรกชัฏหรอก”
ร่างสูงหยิบก้อนขนมโมทกะส่งให้วิลาสินี พิมพิสุทธิ์หน้ากระตุกเล็กน้อยที่สวามีประทานขนมของนางให้แก่วิลาสินีทั้งที่เขาเองยังไม่ได้ชิมสักคำ
นัยน์ตาคมเลื่อนขึ้นมองพระสนมเอกช้า ๆ เขาและพิมพิสุทธิ์สมรสกันมาตั้งแต่เขาเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม แม้ว่านางไม่เคยเป็นที่โปรดปรานพิเศษในหัวใจ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องบกพร่องให้เขาขัดเคือง ทุกอย่างนางพยายามจะรับใช้อย่างดีที่สุด ฝึกฝนทำทุกสิ่งที่เขาชอบ ด้วยว่ารสนิยมของกฤตพรตค่อนข้างประณีต เจ้าชายหนุ่มจึงให้เกียรตินางกว่าคนอื่น ๆ แพรพรรณ เงินทอง ของหายากที่นางถูกใจ ก็สั่งข้าไทอลงกรณ์ให้ตามปรารถนา
แต่บัดนี้ เขาเลือกหยิบเครื่องเสวยให้วิลาสินีก่อน โหนกแก้มของนางถึงกับขึ้นสีด้วยความโกรธ
กฤตพรตพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้น แม้ว่าในทางตรงข้าม เขาสามารถพูดได้เต็มปากว่าตนไม่รู้สึกรักพิมพิสุทธิ์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่อย่าง ‘คนรัก’ เมื่ออายุสิบหกเขาดื่มด่ำกับรสสวาทจากกายนาง แต่ไม่ปรารถนาจะกกกอดไว้ให้อีกฝ่ายหนุนแขนต่างหมอนจนรุ่งสาง นางเองก็กลัวเกินกว่าบังอาจชิดใกล้เกินหน้าที่
กฤตพรตยกย่องพิมพิสุทธิ์และปรารถนาดี แต่ตอนนี้เขาไม่พอใจและเห็นควรจะทำให้กระจ่างว่า ผู้มาใหม่เป็นพระวรชายา จะถูกรุมรังควานไม่ได้
“พิมพ์...” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยเรียบเรื่อย “น้องหญิงวิลาสินีบอกพี่ว่า วังหลังอยู่ไม่ใคร่สบาย เจ้าผู้ดูแลฝ่ายในของพี่มานานปีเห็นว่าเป็นด้วยเหตุใด”
ได้ยินเช่นนั้นพิมพิสุทธิ์ก็หน้าซีดลง ไม่รู้ว่าคู่กรณีฟ้องอะไรไปบ้าง แต่นางระวังตัวไม่เคยด่าว่าทำร้ายวิลาสินีตรง ๆ ให้เกิดพยานหลักฐานอยู่แล้ว จึงตีหน้าเป็นห่วงและตอบว่า
“พระนางทรงมีห้องบรรทมต่างหากใหญ่โต ทั้งยังทรงพระบารมีล้นพ้นในวังหลัง นางกำนัลล้วนแต่รับใช้ตามพระประสงค์... หม่อมฉันเห็นว่า หากจะยังไม่ทรงเกษมอยู่ เห็นทีจะเป็นเพราะพระนางดำริรำลึกถึงที่ประทับเก่าในไพร ทรงไม่คุ้นกับธรรมเนียมวังมากกว่าเพคะ”
กฤตพรตพยักหน้า หันไปหาวิลาสินีที่นั่งเป็นใบ้ไม่ยอมกัดขนมสักคำ “จริง พี่ก็คิดว่าฝ่ายในไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง” เขาหันกลับมา “แต่ในเมื่อน้องหญิงไม่ชอบ เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไรดี พิมพ์”
พิมพิสุทธิ์เงียบไปเล็กน้อยขณะเหลือบมองสวามี นางกำลังเหยียบบนสะพานแขวนไม้เก่า ๆ อยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าแผ่นไม้ผุพังก้าวต่อไปที่เหยียบ มันจะหักผลัวะตกลงไปหรือไม่ หรือเป็นกับดักอื่นที่อยู่เบื้องหลังคำถามเป็นมิตร เพื่อความปลอดภัยนางจึงเลือกจับเชือกสะพานไว้มั่นเสียแทนการลงน้ำหนัก
“อืม... หม่อมฉันยังคิดไม่ค่อยออกเพคะ... แล้วเจ้าพี่ดำริว่าทำเช่นไรจึงจะสมควรเล่าเพคะ”
กฤตพรตหันไปทางวิลาสินีและทอดสายตาอ่อนโยน “น้องหญิงไม่ชินกับธรรมเนียมวัง อยู่ในวังหลังคงจะอึดอัดมาก... ถ้าพี่สร้างตำหนักใหม่ให้เจ้าโดยเฉพาะจะดีหรือไม่ แล้วมีนางกำนัลชุดใหม่ของตัวเองไปเลย ทำอะไรก็ได้ อยากมีอุทยานของตัวเองด้วยไหม เจ้าชอบป่านี่นา”
“ฮะ!! ด..เดี๋ยวก่อน...” วิลาสินีรีบโบกไม้โบกมือห้าม พิมพิสุทธิ์ก็แทบกรี๊ดเหมือนกัน ตำหนักส่วนพระองค์ที่สร้างเพื่อเจ้านายสตรีโดยเฉพาะไม่ใช่จะได้มีกันง่าย ๆ ยิ่งถ้าไม่ใช่มเหสีของพระเจ้าแผ่นดินก็อย่าได้หวัง
มันเป็นทั้งสัญลักษณ์ของอำนาจ ความโปรดปราน และความหรูหราฟุ่มเฟือยเอาการทีเดียว ข้อเสนอนี้ผิดวิสัยของกฤตพรตอย่างแรง เหล่านางในที่เล่นดนตรีอยู่ก็ดูเหมือนจะตกใจด้วย ซุบซิบกันว่าดูทรงแล้ววิลาสินีเป็นที่พอพระทัยจริงจังแน่ ๆ
พิมพิสุทธิ์กัดฟัน รีบเอ่ยค้านเบา ๆ “เจ้าพี่เพคะ... หม่อมฉันเกรงว่าในยามศึกเช่นนี้ สร้างตำหนักและอุทยานใหม่คงจะไม่เหมาะนัก ให้พระนางประทับตามปกติจะดีกว่า ขอทรงทบทวนพระราชวินิจฉัยด้วยเถอะเพคะ”
“จ...จริงเพคะ หม่อมฉันก็ไม่อยากได้อะไรแบบนั้นหรอก!” วิลาสินีช่วยยืนยันแข็งขัน
“งั้นหรือ... วังหลังก็ไม่ชอบ วังใหม่จะสร้างก็สิ้นเปลือง” กฤตพรตยิ้มจาง “ถ้างั้นเชิญน้องหญิงย้ายมาอยู่ที่ตำหนักนี้กับพี่ดีไหม ปกติพระวรชายาก็อยู่ตำหนักของภัสดาทั้งนั้น”
พระสนมเอกแทบกลืนน้ำลายตัวเอง อ้าปากอยากจะค้านอีก แต่ก็ไม่รู้จะค้านอย่างไรได้ วิลาสินีก็อ้าปากหวอเหมือนกันแต่ด้วยคนละสาเหตุ นางมองหน้าชายหนุ่ม “แต่...ฝ่าบาทเคยตรัสว่า...”
“หรือว่าเจ้าอยากได้ตำหนักใหม่มากกว่า หืม โฉมงาม” นัยน์ตาสีนิลของร่างสูงดูเหมือนจะเข้มขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าน้ำเสียงยังคงสบาย ๆ เขามองพิมพิสุทธิ์ที่ก้มหน้ารินชา “มีหลายเรื่องที่พี่ตั้งใจไว้เกี่ยวกับวังของพี่... พิมพ์อยู่กับพี่มานาน เขาก็รู้ดี คนในวังพี่เป็นความรับผิดชอบของพี่ ไม่ว่าต้องการอะไร ถ้าสิ่งนั้นเป็นไปได้พี่ก็จะหาให้ พี่ตั้งใจให้ทุกคนอยู่อย่างผาสุก”
เขาสัมผัสมือของวิลาสินี แหวนหัวมรกตน้ำงามส่องแสงเรือง
“เจ้าเนื้ออ่อนมาอยู่ถึงสองเดือนเต็ม ยังขัดข้องไม่สบาย น่าละอายสำหรับวังพี่นัก น่าหาตัวการความทุกข์ใจนั้นมาสำเร็จโทษ”
กฤตพรตยกถ้วยชาขึ้นเป่า จากนั้นส่งให้วิลาสินี สาวน้อยไม่รู้จะพูดอะไร มองหน้าพิมพิสุทธิ์ที่หน้าซีดสีเลือดและหลุบตาต่ำ ก็รู้สึกอึดอัดเต็มกลืน
บางทีบุตรีฤๅษีไม่รู้ว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน ระหว่างกฤตพรตเวลาดุขึ้นเสียงตรง ๆ แบบเปิดเผยไปเลย หรือเวลาเขากล่าวอ้อม ๆ แบบชาววัง นางคิดว่าชอบอย่างแรกมากกว่า
“ฝ่า...เอ้ย...เจ้าพี่เพคะ หม่อมฉันแค่คิดถึงบ้าน ไม่มีใครให้ต้องลงโทษหรอกเพคะ” วิลาสินีก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าในวังเขามีมาตรการลงโทษกันยังไงบ้าง เคยได้ยินแต่ชาวบ้านเล่าว่ามีการเฆี่ยนด้วยหวายแช่เยี่ยว ตัดตีนสินมือ คิดแล้วก็ขนลุก ถึงนางโดนรังแกแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดต้องเอาโทษกันขั้นนั้น นางเข้าใจด้วยว่าพิมพิสุทธิ์เพียงแต่หึงหวง “ตัวการความทุกข์ใจน่ะ เจ้าพี่ทรงขจัดไปแล้วเมื่อทรงพาหม่อมฉันกลับไปเที่ยวป่าไงเพคะ”
พระนางพิมพ์จ้องศัตรูหัวใจที่พยายามช่วยไม่ให้ตนถูกลงโทษแล้วก็สะบัดหน้าน้อย ๆ นางไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากหญิงชาวป่า ที่ยิ่งไปกว่านั้น แม่นี่ก็คงแสร้งทำตัวเป็นคนดีเพื่อชนะใจกฤตพรต นางได้แต่เม้มปากก้มหน้ารับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
“เช่นนั้นก็เชิญมาอยู่ที่นี่กับพี่เถิด” มือใหญ่กุมมือประดับธำมรงค์วรชายา “พี่จะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทุกข์ใจอีก พี่จะจัดห้องให้เจ้าติดกับอุทยาน” เขาลดเสียงลง “เจ้าอยากจะกระโดด จะวิ่ง จะกลิ้งบนหญ้าก็ทำได้”
ข้อเสนอนี้น่าสนใจจริง ๆ วิลาสินีหูผึ่งทันที นางอยากจะเกรงใจพวกสนมกรมในของกฤตพรตในฐานะน้องใหม่ อยากให้คนเกลียดน้อย ๆ แต่สบสายตาอาฆาตของพิมพิสุทธิ์แล้วคิดถึงสองเดือนที่ผ่านมาก็ละทิ้งความคิดนั้นไป ต่างคนต่างอยู่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตนาง
“ก็ได้เพคะ... ขอบพระทัยเพคะเจ้าพี่”
***
มือเล็กบอบบางราวกับก้านดอกไม้โบกให้นางกำนัลออกไปจากห้องนอนด้วยหน้าตายิ้มแย้ม กล่าวราตรีสวัสดิ์จากนั้นก็หับบานประตูลงดาล
ร่างผอมบางยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นอึดใจหนึ่งก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดผ้าคลุมผมออก แล้วดึงหวีเสียบฝังแก้วทุรมาลี (พลอยหลากสี หมายถึงทัวร์มาลีนศรีลังกา เป็นอัญมณีที่เกิดได้ทุกสี และอาจมีหลายสีปนกันในเม็ดเดียว) เขวี้ยงลงไปที่พื้นดังเคล้ง
ทุกสิ่ง... ไม่ว่าแพงเท่าไร หายากเท่าไร แค่ทูลขอเท่านั้น แม้นว่าเป็นไปได้ มิใช่ขอเดือนดาว ก็จะได้สมประสงค์ทุกสิ่งอย่าง
แต่ความรักจากเจ้าพี่ คือหนึ่งในสิ่งที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ ใช่หรือไม่...
มวยผมที่ไร้หวีเสียบค่อย ๆ คลายตัวสยายลงมาปรกไหล่สั่นเทา ภาพในกระจกฉาบสำริดเห็นเป็นน้ำตกสองสาย สายหนึ่งคือเรือนผมดั่งลำธารยามรัตติกาล อีกสายหนึ่งไหลคลอคลองจักษุสีเทาเข้ม พิมพิสุทธิ์รีบเอาผ้าเช็ดน้ำตา ขอบเขียนสีถ่านดำถ้าเลอะเข้าตาจะแสบ นางเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าออกทีละส่วนแล้วก็มองดูหญิงสาวในกระจก
แม้ว่าจะรอกี่ปี แม้ว่าจะฝึกฝนทุกอย่างเดือนแล้วเดือนเล่า เล่นดนตรี ขับเพลง ร่ายรำ ทำอาหาร เย็บปักถักร้อย... วันเดือนปีที่ล่วงไปเพื่อให้เป็นอิสตรีที่ไร้ที่ติดุจผ่านพ้นร้อยพันศตวรรษแล้ว นางปีนป่าย ทุ่มเทต่อสู้เพื่อให้ได้มา เพราะหัวใจคนมีหรือจะได้เปล่า ๆ ง่าย ๆ
แต่ทำไมนางจึงพบว่าตัวเองจมเหงื่อและน้ำตา อ้างว้างอยู่บนทางสู่ยอดเขาสูงชัน
เพราะนางไม่งดงามอย่างนั้นหรือ เพราะนางไม่ได้เกิดมาสวยอย่างวิลาสินีเท่านั้นใช่ไหม! หากว่าไม่มีวิลาสินี ตำแหน่งพระวรชายาจะเป็นของใครไปได้ถ้าไม่ใช่นาง แต่นางกลับต้องนั่งอยู่ตรงนี้ ขณะที่วิลาสินีคงจะกำลังอยู่ในห้องบรรทมของเจ้ากฤตพรต
ฟุ่บ!
เงาแวบในกระจกฉาบสำริดทำให้พิมพิสุทธิ์สะดุ้งตกใจ “ใครน่ะ!”
ห้องส่วนตัวกว้างประดับพรมและห้อยสายมุกของนางเงียบสงัด หญิงสาวนั่งอยู่ที่ห้องแต่งตัว มองผ่านม่านบางไปทางขวาเป็นห้องนอนติดเฉลียงหินอ่อน ทางซ้ายเชื่อมไปห้องอาบน้ำ และด้านหน้าเป็นประตูทางออกจากห้องที่เปิดสู่ลานกลางของวังหลัง พิมพิสุทธิ์ไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า นางเห็นรูปเงาคนอยู่หลังม่านแถว ๆ เตียงนอน เสียงหวานร้องขึ้งโกรธ
“ข้าสั่งให้ออกไปทุกคนแล้วไง.. บังอาจนัก! อีจิตรหรือว่าใคร” คำตอบรับคือความเงียบฉี่เช่นเดิม พระนางพิมพ์ถอดกำไลปาใส่ผ้าม่าน นางไม่ชอบให้ใครเห็นยามที่ไม่ได้แต่งหน้า และไม่อยู่ในอารมณ์จะเจอใครทั้งนั้น “ออกมาเดี๋ยวนี้ แล้วไสหัวไป!”
ทุกอย่างในบรรยากาศยังคงนิ่งสนิท พิมพิสุทธิ์ผุดลุกขึ้น เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านางตาฝาดไปเองหรือไม่ นางเดินเข้าไปแหวกม่านห้องนอนดู ในแสงสลัวไม่เห็นใครทั้งสิ้น นางกำลังจะก้าวเข้าไปยังเตียงสี่เสาที่ปิดม่านตรงกลางห้อง แล้วก็หวีดเสียงเมื่อมีมือใหญ่เอื้อมมาปิดปากไว้จากด้านหลังและรวบตัวนางไปชิด อุดเสียงร้องนั้นอยู่ในคอ
หญิงสาวตกใจไม่ทันจะดิ้นหนี เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นว่า
“...ไม่ใช่จริง ๆ ด้วยสิ”
มือใหญ่ปล่อยนาง แล้วพิมพิสุทธิ์ก็รีบถลาไปทรุดตัวหลบอยู่หลังโคมไฟ มือสั่นเทาพยายามจุดตะเกียง
“เจ้าเป็นใคร!! เข้ามาถึงในนี้ได้ยังไง ออกไปนะ!”
นางขู่ฟอดขณะคำนวณสถานการณ์อยู่ในหัว อีกฝ่ายเป็นชายฉกรรจ์อันตราย สามารถผ่านทหารยามและอาคมของสวามีนางเข้ามาได้ แม้นว่านางร้องให้คนช่วย ถ้าเขาไม่ถลันเข้ามาทำร้าย นางก็มีแต่เสียกับเสีย เพราะหากคนรู้ว่ามีบุรุษลอบเข้าในห้องนอนของนางและแตะต้องตัว ตำแหน่งพระสนมเอกก็ต้องถูกถอด และนางจะถูกไล่ออกจากวังหลังเป็นแน่แท้ นางจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเป็นอันขาด!
คิดแล้วร่างบางจึงกลืนน้ำลายเอ่ยเสียงสั่น “ไปที่ห้องแต่งตัวโน่น เครื่องประดับแก้วแหวนเงินทองอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง อยากได้อะไรก็หยิบไปเลย แล้วรีบออกไปทางที่เจ้าเข้ามา”
“แม่นาง เราไม่ได้ต้องการเงินทอง” อีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ก้าวหนึ่ง “บอกเราว่าวิลาสินีอยู่ที่ใด นี่ไม่ใช่ห้องของนางหรือ”
พิมพิสุทธิ์ชะงักมือเล็กน้อยขณะที่หัวใจเต้นรัว นี่อาจเป็นโจรกระหายราคะที่ปรารถนาเชยชมความงามของวิลาสินี แต่ว่ามาผิดห้อง ห้องของพระสนมเอกกับพระวรชายาอยู่คนละปีกกัน แต่เป็นห้องขนาดใหญ่มีระเบียงของตนเองทั้งคู่ ชายหนุ่มคงจะเข้าใจสับสน
“ห...ห้องที่นางเคยอยู่คือฝั่งโน้น แต่ตอนนี้นางย้ายเข้าตำหนักเจ้าพี่ไปแล้ว” พูดแล้วนางก็ขมขื่น น้ำตาร่ำ ๆ จะไหลอีกหนหนึ่ง ได้ยินเสียงทุ้มถอนใจฉิว ๆ และสบถสองสามคำ
ไฟตะเกียงสว่างขึ้นจนได้ เผยให้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้โพกผ้าคาดศีรษะอย่างชาวต่างชาติ ดวงตาของเขาหวานซื่อตรงข้ามกับสิ่งที่กำลังทำ พิมพิสุทธิ์ก้าวถอยหลัง หลีกทางให้อีกฝ่ายเลือกไปห้องแต่งตัวหรือจะออกไปทางระเบียงก็ได้ตามต้องการ ชายหนุ่มดูไม่เหมือนโจรแม้แต่นิด เครื่องแต่งกายและสังวาลดูเหมือนเป็นขุนนางหรือเจ้าชั้นล่าง ๆ มากกว่า
“เจ้า...เป็นชู้รักของวิลาสินีงั้นหรือ”
นางถามขณะที่รู้สึกอยากจะหัวเราะเต็มประดา วิลาสินีงามถึงเพียงนั้น มีหรือจะรอดมือหนุ่มชาวดงดอย ก่อนแต่งงานก็ไม่รู้ว่าได้ผ่านมือชายกี่คนต่อกี่คน นี่ยังจะมีบุรุษรูปงามมาหาถึงห้อง ทั้งที่ได้หัวใจกฤตพรตไปแล้ว มันช่างน่ารังเกียจจนพิมพิสุทธิ์อยากจะอาเจียน แม่นั่นเป็นคณิกาหรือว่าไร บางทีชาวป่าคงจะสมสู่ไม่ซ้ำหน้าอย่างสัตว์... นางอยากจะบีบคอให้เด็กสาวโสโครกผู้นี้ตาย ๆ จากชีวิตนางกับกฤตพรตไปเสียจริง
“เฮอะ ดูนึกว่าหงส์ ที่แท้นางนั่นก็แค่อีกาสกปรกตัวหนึ่งเท่านั้น”
ชายหนุ่มผู้โพกผ้ากลับหัวเราะ จุ๊ปากขณะมองตามการเคลื่อนไหวของนาง “ความหึงหวงเผ็ดร้อนนัก ห้องโอ่โถงเช่นนี้ เจ้าเป็นสนมเอกของเจ้ากฤตพรตหรือ”
“ข้าเป็นใครก็ไม่สำคัญ รู้ว่าข้าไม่ใช่วิลาสินีก็ออกไปได้แล้ว ทางที่ดีก็หาทางพานางออกไปกับเจ้าด้วย” นางกระชากเสียง จดจำรายละเอียดรูปร่างของอีกฝ่ายไว้เผื่อจะเป็นเบาะแสในวันข้างหน้า
“เจ้าชิงชังนาง” เสียงทุ้มเอ่ย กึ่งเป็นคำถามและกึ่งเป็นคำบอกเล่าข้อเท็จจริง
พิมพิสุทธิ์เพียงแค่ทำเสียงในคอ
ชายหนุ่มก้าวอ้อมเตียงสี่เสาตามมา ขณะที่หญิงสาวก็อ้อมวนหนีห่างไปช้า ๆ เขาหัวเราะน้อย ๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นตรงหน้า กระซิบอะไรบางอย่างแล้วกำมือ พิมพิสุทธิ์อุทานออกมาทันที ตะลึงพรึงเพริดเมื่อรู้สึกว่าสองเท้าถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยอำนาจแปลกประหลาด นางรีบเกาะเสาเตียงไว้ขณะที่ขาคล้ายจะก้าวไปข้างหน้า ขัดกับความต้องการของนางเอง บุรุษผู้นี้มีวิชาอาคมเก่งกล้า!
“ดูก่อนแม่นาง” น้ำเสียงของชายหนุ่มนุ่มและโน้มน้าว ก้องตรงมาในใจ ดั่งว่ากวีและบทเพลงที่สะกดให้ผู้คนนิ่งฟัง “เราไม่ใช่ชู้รักของวิลาสินี และไม่ปรารถนาจะเป็นแค่ชู้ เราเป็นใครคนหนึ่งที่ปรารถนาจะพาวิลาสินีไปจากวังนี้ตลอดกาล ให้นางสมรสกับเราและมีบุตรชายแก่ให้เรา... หากว่าเจ้าต้องการให้นางออกไปจากชีวิต ความต้องการของเราก็ตรงกัน”
นัยน์ตาสีเทาเข้มของหญิงสาวเบิกกว้าง น้ำตาของนางถูกเสียงนั้นซับจนแห้ง แลเห็นแสงสว่างจากตะเกียงประดุจตะวันฉายหลังเมฆพายุ
***
ข้าวของของวิลาสินีขนตามมาที่ตำหนักกฤตพรตทั้งหมดอย่างรวดเร็ว วิลาสินีมีสมบัติไม่มากนักและก็ไม่ได้ขออะไรเพิ่ม เสื้อผ้ารวมกันแล้วใส่ลงในหีบเดียว นางกำนัลที่ตำหนักถึงกับตะลึง วิ่งแจ้นไปทูลกฤตพรตว่าเครื่องทรงพระวรชายาน้อยกว่าของนางในที่ไม่มียศเสียอีก
วันต่อมา วิลาสินีเลยได้แพรพรรณและเครื่องประดับมาอีกอย่างละหีบ นางกำนัลสี่คนที่ตำหนักกฤตพรตช่วยจับแต่งตัวให้งดงามทั้งวัน จะห้ามอย่างไรไม่ฟัง
เจ้าชายลำดับหนึ่งทำงานชดเชยช่วงที่ไปป่า หมกตัวอยู่ในตำหนักชั้นใน ไม่เยี่ยมหน้าออกมาเลย เขาสั่งจัดห้องให้วิลาสินีติดอุทยานจริงตามสัญญาที่อาคารด้านหลัง เรียกว่าเปิดหน้าต่างออกไปก็เห็นศาลาขาวกลางสวนทันที มีนกบินมาทักทายหญิงสาวที่กรอบหน้าต่างทุกเช้า นางกำนัลและองครักษ์ไม่กลั่นแกล้งซุบซิบวุ่นวาย
โดยรวมแล้ว วิลาสินีพอใจมาก สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเดิมอักโข
อย่างไรก็ตาม เป็นดังที่กฤตพรตบอกไว้ คือเมื่อเขากลับมาอยู่วังแล้ว นางก็จะต้องมีหน้าที่ออกไปกับเขาในฐานะพระวรชายา ดังนั้นสรุปวิลาสินีก็มีอันต้องฝึกฝนเป็นเจ้าหญิงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่บรรดานางกำนัลที่ฝึกนั้นปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นเทพธิดา ต่างกับป้ากุสาลิบลับ
“พระอาญามิพ้นเกล้า แต่พระปฤษฎางค์ (หลัง) โกงเช่นนั้นมิได้เพคะ พระนาง ขอทรงยืดพระวรกายอีกนิดหนึ่ง”
พวกนางกำนัลจำเรียงเสียงหวาน ช่วยแตะหลังแตะไหล่ยกคางของวิลาสินีวุ่นวาย ขณะที่หญิงสาวพับเพียบอยู่บนแท่นประทับตรงเฉลียงเล็กที่เปิดออกสู่อุทยาน ห่างไปไม่กี่ก้าว นกพิราบสองสามตัวเดินย่ำหญ้ายึกยักหากินอยู่อย่างสำราญใจ พวกมันเหลือบมองนางที่ถูกจัดท่าทางอย่างกับตุ๊กตาแล้วเห็นเป็นที่ขำขัน วิลาสินีหน้าบูด งานเลี้ยงก็พรุ่งนี้แล้ว นางรู้สึกไม่พร้อมเลย
นางกำนัลสองคนที่หน้าประตูก้มลงกราบบังคมอยู่หลังม่าน แต่ยังไม่ทันประกาศชื่อ เจ้าชายหนุ่มก็ยกมือให้เงียบแล้วถือวิสาสะแอบแหวกม่านเข้ามา อยากจะรู้ว่านางกำนัลยังแกล้งนางอยู่หรือไม่เวลาเขาไม่อยู่
วิลาสินีราวกับมีตาหลัง เหลียวมามองเขาทันที ฉีกยิ้มให้
นางกำนัลคนที่จับมือนางเอ่ยว่า “พระสมุทรทรงเมตตา พระนาง ขอทรงกรุณาอย่าหันพระเศียรจนบิดเช่นนั้นเพคะ หากจะทรงหันไปทอดพระเนตรอะไรแบบนั้น ควรจะทรงหันไปทั้งพระวรกายนะเพคะ”
วิลาสินีหันกลับมาหัวเราะแหะ ๆ “ขอโทษ ข้ารู้ว่าไม่ควรทำ”
พวกนางกำนัลหัวเราะยกมือทาบอก “พระนางอย่าได้ตรัสขอโทษพวกหม่อมฉันผู้ต่ำต้อยเลยเพคะ หาใช่ความผิดไม่... อ๊ะ!”
ทันทีที่รู้ตัวว่าเจ้าชายหนุ่มเข้ามาในห้อง ทุกนางก็สะกิดกันให้นั่งลงกราบบังคมอย่างรวดเร็ว แล้วหมอบนิ่งไม่เงยดูหน้า กฤตพรตดูเหนื่อย ๆ แต่ก็โล่งใจ คงจะเป็นด้วยเสร็จงานแล้ว เขามาหาวิลาสินีเพื่อมารับประทานอาหารเย็นด้วย คล้ายจะตรวจดูการซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนงานเลี้ยงจริง
“เป็นอย่างไรบ้าง เราหวังว่าจะพอต้อนรับเจ้าชายต่างเมืองได้แล้ว?”
กฤตพรตถามเสร็จก็ขำเล็กน้อยที่วิลาสินีนั่งประนมมือเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยความที่ปกตินางไม่ได้ไหว้เขาทุกครั้งที่เจอหน้ากันแบบพวกข้าไทถวายพระพร นางเลยดูงง ๆ ว่าควรจะไหว้ หรือกราบตามนางกำนัล หรือยังไงดี
ร่างสูงส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้น ลุกขึ้นมา เดินมารับพี่ไปนั่งกับเจ้า”
“อ๋อ... ได้เพคะ”
วิลาสินีกลั้นหายใจค่อย ๆ หันตัวเพื่อลงจากแท่นอย่างระมัดระวังที่สุด มือซ้ายยกไปด้านหลัง นิ้วจีบชายผ้าส่าหรีที่ตลบข้ามไหล่ไปด้านหลังขึ้นไม่ให้ถูกทับ เท้าแตะพื้นได้ชิดกันก็เดินก้าวสั้น ๆ เข้ามาหา ไม่นับว่าสง่างามแต่ก็ถูกต้องเรียบร้อยดี ซึ่งกฤตพรตก็พอใจแล้ว นางทำท่าจะก้มลงไป แต่เจ้าชายหนุ่มแตะต้นแขนทั้งสองข้างของนางหยุดไว้ มือขวาของเขาเลื่อนมาแตะที่อก
“ตรงนี้พอ เจ้าเป็นพระวรชายาฐิรังกา ไม่คุกเข่าให้ใครอีกแล้วนอกจากเทวา บุพการี และพระเจ้าแผ่นดิน”
หญิงสาวกราบลงที่แผ่นอกสีเข้มซึ่งมีเพียงสายสังวาลไข่มุกและทับทรวงเงินประดับแบบลำลอง ไม่มีผ้าทรงคลุม นางยกยิ้มสดใส กฤตพรตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามขณะรับไหว้ สาวน้อยร่างเพรียวหัวเราะเฉลยมาในเสียงกระซิบ
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันแค่ดีใจที่พระอุระของฝ่าบาทอุ่น แตะพระวรกายทีไรเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนอยู่เรื่อยเลย ไม่ค่อยจะพอดี” พูดจบนางก็ทำหน้าตกใจ ตีปากตัวเองเบา ๆ “ฮึ่ย... เมื่อไรจะเลิกติดคำว่าฝ่าบาทนะเนี่ย เจ้าพี่ เจ้าพี่ เจ้าพี่...” นางทวนซ้ำ ๆ เหมือนสะกดจิตตัวเอง กฤตพรตยิ้มขำและจูงมือนางไปนั่งที่แท่นประทับด้วยกันโดยนางนั่งที่เบื้องขวา ดูนางกลั้นใจคีบส่าหรีและหันขึ้นแท่นช้า ๆ ก็ยิ่งตลกหนัก แต่ไม่ได้หยอกอะไร เขารอให้นางทรงตัวตรงสวยงามบนแท่นได้แล้วจึงว่า
“ที่จริง คู่สมรสในราชวงศ์ก็ละราชาศัพท์ต่อกันบ่อย ๆ ถ้าเจ้าคิดว่าจะทำให้ง่ายขึ้น คงไว้แต่คำว่าเจ้าพี่ก็ได้ ที่เหลือพูดปกติไป”
“เอ๋... หมายถึง หม่อม...เอ่อ...ข้าพูดแบบนี้กับเจ้าพี่หรือ...คะ” วิลาสินีอยากจะทึ้งหัวตัวเองกับความสนิทสนมของภาษา “อ๋อย อย่าเลยเพคะ! ให้หม่อมฉันพูดเต็มยศกับฝ่าบาทยังจะชินซะกว่า เอ้ย กับเจ้าพี่... ดูเถอะ ก็หม่อมฉันพูดแบบนี้กับเจ้าชายทุกพระองค์มาตั้งแต่ตอนเด็กแล้ว จะเปลี่ยนยังไงไหวล่ะเพคะ เจ้าพ่งเจ้าพี่อะไร หม่อมฉันไม่ใช่เจ้าหญิงแต่เกิด เรียกทีขนลุกรู้สึกลามปาม กลัวนรกจะกินหัว”
ร่างสูงหัวเราะแผ่วเบา ลูบหัวคนที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดอย่างเห็นใจผ่านผ้าคลุม นางกำนัลที่หมอบเฝ้าอยู่มองทั้งสองอย่างไม่เชื่อสายตาเท่าไร กฤตพรตไม่ใช่เจ้าฟ้าที่ใจดีหรือยิ้มบ่อย แต่กับหญิงสาวเขาคล้ายจะเอ็นดูได้กับเรื่องง่าย ๆ
“เจ้าผมหอมเอย เจ้าเอวอ่อน สายสวาท” เจ้าชายหนุ่มสัพยอกเล่น “พี่ก็ไม่ชินหรอกเวลาพูดแบบนี้ เจ้าสัญจิตูรุ (นางผู้มีช่วงขาอวบอัด เป็นคำชมหญิงงาม)”
“ฮือ...ขนลุกเพคะ!”
เมื่อได้เวลานางกำนัลก็จัดโต๊ะเสวยอย่างคล่องแคล่ว ปูผ้าลูกไม้แล้วลำเลียงสำรับกระยาหารเข้ามาถวาย กฤตพรตสั่งให้ทำแบบเดียวกับอาหารที่จะอยู่บนโต๊ะในงานพรุ่งนี้ วิลาสินีนั่งรอ กฤตพรตกล่าวคำอธิษฐาน เขากินคำแรกก่อน แล้วส่งคำที่สองให้นาง จากนั้นจึงกินกันต่อตามปกติร่วมถาดชุดเดียวกัน
วิลาสินีบรรจงห่อแป้งอย่างระมัดระวัง นัยน์ตาสีเขียวอมเทามองมือใหญ่ของชายหนุ่มที่พับห่อแกงและฉีกเนื้อเป็นคำเล็กได้ด้วยมือเดียว คล่องแคล่วราวกับเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สุด
“หม่อมฉันอัศจรรย์ใจทุกครั้งเลยเพคะที่เห็นเจ้าพี่เสวย” วิลาสินีถอนใจ “ทรงรอหม่อมฉันด้วยนะเพคะ กินแบบนี้ หม่อมฉันกินช้ามาก”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ช้าก็ดี เราคิดว่าปกติเจ้าเป็นคนกินเร็วเกินไปหน่อยสำหรับงานเลี้ยง” ดวงหน้าคมหยุดมองนาง สังเกตแกงที่เลือกจิ้มอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ไม่อร่อยหรือ... มันไม่เผ็ดใช่ไหม”
สาวน้อยยิ้มแห้ง ทำอย่างไรได้ อาหารป่าหนักเครื่องเทศกว่าอาหารที่นี่อยู่แล้ว “จืดมากเพคะ” ชายหนุ่มถอนใจ
“วิลาสินี ทำไมถึง...” เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป ที่สุดก็พูดช้า ๆ ว่า “ต่อไปถ้าเจ้าต้องการอะไร หรือมีอะไรไม่พอ ควรจะบอกนางกำนัลรู้ไหม อาหารนี่...พี่ให้ปรุงตามที่เจ้ากินมาปกติในสองเดือนนี้ ถ้าหากเจ้าสั่ง ก็ได้อร่อยทุกวันไปเสียตั้งนานแล้ว”
“...เพคะ หม่อมฉันแค่รู้สึกว่ามันจะลำบาก ฝ่ายในต้องทำอาหารทีเดียวเยอะ ๆ เลี้ยงคนทั้งวัง คนจู้จี้เอาแต่ใจกันมากนักคงแย่”
“แล้วจะจืดไปอีกสี่ห้าสิบปีเลยหรือ” เสียงทุ้มย้อนถามเรียบ ๆ “วางใจเถิด ถ้าเรื่องใดนับว่าเอาแต่ใจมากเกินไป พี่ก็ไม่อนุญาตอยู่แล้ว” ร่างสูงทำสัญญาณให้นางกำนัลมาเก็บไปเปลี่ยน แต่วิลาสินีห้ามไว้
“อ๊า อย่าทิ้ง! ไม่เป็นไรหรอกเพคะ เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน วันนี้กินไปแล้วก็กินให้หมดดีกว่า” นางยืนยัน ยิ้มอ่อนให้กฤตพรตขณะหยิบแป้งจิ้มแกงกินต่อ “ขอบพระทัยนะเพคะ แล้วเจ้าพี่จะเสวยได้หรือเปล่า งานเลี้ยงต้องเสวยร่วมสำรับกับหม่อมฉันนี่นา” อีกฝ่ายพยักหน้า
“ของเผ็ดนาน ๆ ทีก็ไม่เลว จะได้นึกถึงตอนอยู่กับพระอาจารย์”
ทั้งสองกินอาหารไปคุยไปจนเสร็จ พอนางกำนัลเข้ามาเก็บสำรับกฤตพรตก็ลุกขึ้นยืน ทอดสายตาลงทำท่าค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างสง่างามแบบที่เจ้าชายทั้งหลายพึงกระทำต่อเจ้าหญิง
“คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ต้องขอบใจนางกำนัลที่ช่วยสอนเจ้า” เขาพยักหน้าให้นางกำนัลที่ยอกรพร้อมเพรียงกันอย่างพอใจ “พรุ่งนี้น่าประชุมเสร็จตอนพระอาทิตย์ตก โฉมงาม เจ้าไปรอพี่ที่ห้องรอเฝ้า สำรับจะตั้งที่ท้องพระโรงไม่ใช่ที่ห้องเสวย แท่นของพี่อยู่เบื้องขวาของเจ้ารามราเมศ”
“เจ้าพี่จะเสด็จแล้วหรือเพคะ” วิลาสินีถาม คีบชายส่าหรีขยับลุกตามแบบช้า ๆ ทีละขั้นตอนเหมือนเดิมจนเจ้าชายหนุ่มอมยิ้ม
“ใช่”
“อ่า...ต้องทรงงานหรือเปล่าเพคะ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พี่ถึงได้มา” เจ้าชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไมหรือ มีอะไรถึงไม่อยากให้พี่ไป”
วิลาสินียิ้ม “ฝ่า...เจ้าพี่ทรงว่างแล้วก็ดีเลย เจ้าพี่ตรัสสัญญาว่าจะสอนสันสกฤตโบราณให้หม่อมฉันไงเพคะ ถ้าทรงสอนไว้ หม่อมฉันจะได้ฝึกเองเวลาเจ้าพี่ต้องทรงงาน อยู่เฉย ๆ หม่อมฉันเบื่อจะแย่”
อีกอย่าง ถ้ารู้สันสกฤตบ้างนางจะได้พอรู้เรื่องภาพวาดกะโหลกมนุษย์ที่นางแอบขโมยมาแต่อ่านไม่ออก ทุกวันนี้มันยังม้วนซ่อนอยู่ในหีบเสื้อผ้าของนาง
บางครั้งวิลาสินีเอามากางออกจ้องดู ทั้งสงสัยระคนหวาดหวั่น บางอย่างเกี่ยวกับกระดาษแผ่นนั้นพิกลพิสดาร นางอยากจะเอาไปคืนที่ศาลาขาวของกฤตพรตหลายครั้ง แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับห้ามไว้ทุกที
กฤตพรตทำเสียงรับรู้ “เดี๋ยวนี้เลยหรือ พี่ยังไม่ได้เตรียมตำรา ไว้วันหลังเถิดนะ” เขาผัดผ่อน พยักพเยิดไปทางอุทยาน ขอนางแทนว่า “ลองสนทนากับสัตว์ให้เราดูหน่อยได้ไหม แบบที่เจ้าบอกว่าคุยปกตินั่นแหละ”
เจ้าชายหนุ่มโบกมือไล่ให้พวกนางกำนัลออกไป เหลือแต่เพียงเขาและวิลาสินีสองต่อสอง หญิงสาวถอนใจอย่างขอบคุณและเลิกยืดตัวตรง เดินทอดน่องนำเข้าไปในสวนอยากเบิกบานใจ เพราะไม่มีนางกำนัลเห็นแล้วนางจึงประสานนิ้วยืดแขนผ่อนคลาย
ยามค่ำจางแสงสุรีย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงพากันกลับรวงรังหมดแล้ว วิลาสินีพยายามจะเรียกนกพิราบตัวหนึ่งไว้ให้อยู่เล่นด้วย แต่มันก็ปฏิเสธและรีบบินจากไปด้วยกลัวภัยจากความมืด
“โธ่” ร่างเพรียวนั่งลงชันเข่าที่ตีนบันไดศาลาขาว กฤตพรตเดินดูต้นสมุนไพรที่เขาปลูกเรียงแถวในแปลงเล็ก ๆ ไว้ สักพักจึงตามมานั่งด้วย อยู่กันเพียงสองคนก็ไม่ต้องเปลี่ยนสรรพนามให้วุ่นวาย พูดดังใจคิด “ฝ่าบาทเพคะ ไม่มีตัวอะไรให้หม่อมฉันคุยด้วยเลย”
เจ้าชายหนุ่มคล้ายจะไม่ได้สนใจฟังเท่าไร เนตรนิลคมจับจ้องที่ยอดไม้ สักพักจึงขยับเข้ามาใกล้นางแล้วใช้มือขวาผายนำขึ้นไป มิได้ใช้ดรรชนี ด้วยเหตุว่านิ้วชี้ถือเป็นนิ้วแห่งความโกรธ จะทำให้สิ่งที่ถูกชี้ตื่นตระหนกได้
“เห็นนั่นไหม” เสียงเรียบเอ่ยแผ่วเบา “บนต้นหางนกยูง”
วิลาสินีเพ่งมอง ในทีแรกนางไม่เห็นกระไรเลยนอกจากกิ่งก้านพฤกษาสงบลู่ลงด้วยหมดแสงตะวัน สายตานางไล่ดูตามแต่ละคาคบไม้ สักพักจึงเห็นเงาร่างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านิ่งอยู่บนกิ่งหางนกยูง
“นกแสกหรือเพคะ...” นางกระซิบกระซาบอย่างตื่นเต้น
(นกแสกเป็นนกนักล่ากลางคืนขนาดใหญ่ ขนสีขาวและน้ำตาล ตีนสีชมพูมีเล็บยาว ใบหน้ากลมแบนคล้ายรูปหัวใจ เป็นนกที่พบได้ในทุกทวีปทั่วโลก)
นกแสกในชมพูทวีปถือเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของพระลักษมี ชายาแห่งพระนารายณ์ ในภาคที่ทรงอวตารลงมาเป็นพระแม่โพสพ ปักษาราตรีชนิดนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ นำพรอวยชัยมายังที่ที่ปีกของมันกางผ่าน ก่อให้เกิดธัญญาหารงอกงาม และล่ากำจัดมุสิกร้ายในนาข้าว
“เจ้าเรียกมันลงมาได้ไหม” กฤตพรตถาม วิลาสินีส่ายหน้าหวือ
ร่างสูงพยักหน้าเข้าใจ กำหนดจิตเชิญนกแสกลงมาจากยอดหางนกยูง นกนักล่าขนาดใหญ่ค่อนข้างอายุยาว ฉลาดและระมัดระวัง จึงชักชวนให้วางใจยากกว่านกเล็กที่มักจะเริงร่าเฮฮา
แต่โชคดีที่เจ้านกแสกมองจากด้านบนระยะไกล เห็นชัดเจนว่ากฤตพรตและวิลาสินีมิได้ซุ่มซ่อนตัวหรือเล็งอาวุธ ราว ๆ นาทีหนึ่งผ่านไป มันจึงโฉบลงมาที่ใต้ต้นสารภี ช่อสารภีขาวเกสรเหลืองดูในยามกลางคืนละม้ายกับขนนกขาวแซมน้ำตาลทองของนกแสก
“ฝ่าบาททำได้ยังไงกันเนี่ยเพคะ”
“เรียกนามของมันก่อนสิ นามที่แท้จริงของนกแสกคือ 'อุฬุก' ” เจ้านกหันหัวขวับตามเสียงทุ้มทันที ทำหน้าฉงนสนเท่ห์ “เมื่อมันเต็มใจก็มาเอง”
วิลาสินียิ้มให้มันและพูดทักทาย “อุฬุก... พี่นกเค้าแมวจ๋า บ้านอยู่แถวนี้หรือ” เจ้านกใหญ่หันลำตัวไปข้าง ๆ ในทิศที่พร้อมจะบินหนี หากแต่ใบหน้ารูปหัวใจของมันกลับหมุนหันมามองนางตาโต
มุมปากของกฤตพรตยกขึ้นเล็กน้อย อัศจรรย์ใจพอควรเพราะไม่นานนกแสกก็กางปีกก้าวเตาะแตะเข้ามาใกล้บุตรีฤๅษีจริง ๆ แม้ว่ามันจะสนทนากับหญิงสาวคนละภาษาอย่างเห็นได้ชัด ธาตุภูมิบางอย่างในสายเลือดของวิลาสินีทำให้สัตว์คลายความกลัว หรืออย่างน้อยก็รู้สึกว่านางแตกต่างจากผู้คนทั่วไป
วิลาสินีดีใจที่เห็นมันเข้ามาหา เสียงแหลมคุยเล่นกระจุ๋งกระจิ๋งว่านางย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สามวันเพิ่งสังเกตเห็นอีกฝ่าย และกรอบหน้ารูปหัวใจของนกแสกช่างน่ารัก ความบริสุทธิ์และจริงใจทำให้บางคำออกจากดวงจิตมากกว่าจากปาก และเจ้านกรับฟังอย่างยินดี
มันยืดคอแล้วยกปีกไซร้ต่อหน้าเป็นสัญญาณความไว้ใจ กล่าวว่าวิลาสินีมีคู่ครองที่น่าเกรงขามนัก และว่านางเป็นแขกที่ดีในสวนของมัน มันจะประหัตประหารกระรอกและหนูไม่ให้กวนใจนางในฐานะที่มันเป็นเจ้าบ้าน
นี่ไม่ใช่บทสนทนาที่สองฝ่ายรู้เรื่องกันทั้งหมดแต่ก็เต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรี กฤตพรตเป็นฝ่ายกำหนดจิตกล่าวขอบคุณแทนนาง
วิลาสินีหันมามองเขา “เห็นไหมเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันก็พูดปกติ” ร่างสูงยิ้มบาง
“เราเห็นแล้ว เจ้าสื่อสารได้มีพลัง แม้จะไม่รู้ตัว หากว่ารู้นามจะต้องเรียกได้ทุกสิ่งเป็นแน่”
“จริงหรือเพคะ” วิลาสินียกมือตบอกปุ ๆ อย่างพอใจ “ว่าแต่ว่า ฝ่าบาททรงจำนามของสัตว์ได้หมดเลยหรือเพคะ แล้วถ้าสมมติไม่รู้ว่าเป็นนกอะไร แบบนี้จะทำฉันใดเล่า”
“ก็เรียกเพียงแค่ 'สกุณ' ” เสียงเรียบตอบง่าย ๆ “เพียงแต่เจ้าต้องตั้งจิตมั่น ว่ากำลังเรียกนกตัวใดอยู่”
“อ๋อ... งั้นก็คล้าย ๆ มนตร์เรียกนกของพวกพรานที่ชายป่าเลย” นางพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็ถามว่า “พวกนกกระจอก นกพิราบ นี่เรียกอะไรเพคะ เห็นในอุทยานฝ่าบาทบ่อย เผื่อหม่อมฉันจะลองเรียกดูบ้าง”
“นามของนกกระจอกคือ 'กามี' นกพิราบคือ 'กุกุฏ' ” เขาบอก แตะแขนเตือนหญิงสาวที่ดูกระตือรือร้น “แต่อย่าได้เรียกอย่างสั่ง จำไว้ว่าเจ้ากำลังเชิญ มิใช่บังคับ มนตร์ของพรานล่อลวงให้นกทุกตัวที่ได้ยินตกลงในความมึนเมาและเจ็บปวดจึงบินมาหา แต่เจ้าจะไม่ทำอย่างนั้นกับนกที่อยากให้มาสนทนาด้วย... ในทางกลับกัน เจ้าจะไม่เรียกเชิญนกอย่างเป็นมิตรแล้วเอาธนูยิงหรือเอาตาข่ายจับมัน”
แค่เขาพูดเท่านั้น นกแสกก็ตีปีกราวกับร่วมประณามการกระทำอันน่ากลัว
“เพราะอะไรเพคะ”
“มันเป็นการทรยศต่อความไว้ใจและหมิ่นเกียรติ วันหน้าแม้ว่าเจ้าเรียกอย่างเป็นมิตรจริง ๆ ก็จะไม่มีนกตอบรับอีกต่อไป” นัยน์ตาสีนิลสบกับนาง วิลาสินีขนลุกน้อย ๆ “ในทางอาคม เราถึงได้เรียกว่ามนตร์เสื่อม... แม้เจ้ารู้วิชา ทว่ามันไม่สถิตอยู่กับเจ้าอีกต่อไปแล้ว”