บทที่ 6 ค้างแรมกลางอารัญ
ฝ่ายคนที่ว่าคงไม่รู้ตัวนั้น ชักม้าทรงดำมาถึงหน้าอาศรมพระฤๅษีป่าประดู่เรียบร้อยช่วงบ่าย
แสงอาทิตย์ตรงหัวส่องผ่านเมฆที่เริ่มเบาบาง ฝนหยุดตกสักพักแล้ว แม้จะยังลมแรงอยู่ มรสุมจะทำให้ตก ๆ หยุด ๆ ไปทั้งเดือน อากาศฉ่ำเย็นกำลังสบาย แต่ผิวเนื้อชายหนุ่มกลับหนาวทั้งที่ในคอร้อนเป็นไฟ เขาพูดอะไรไม่ออกแล้ว แม้แต่กลืนน้ำลายแต่ละครั้งก็ยังเจ็บ
สิทธิสวามินดูเหมือนจะไม่อยู่ ยามมีข้าศึกมาประชิดน่านน้ำตั้งท่าจะตีเมือง เหล่านักสิทธิ์วิทยาทั้งหลายจะถูกราชสำนักเชิญไปที่วิหารหลวงเพื่อป้องกันพระนครทางอาคม
กฤตพรตไม่ได้ถึงกับเรียกพระอาจารย์และฤๅษีโยคีที่ปลีกวิเวกตามป่าเขา เพราะยังไม่เห็นว่ามีภัยทางอาคมที่สาหัสขนาดนั้น แต่ท่านคงจะไปเอง ไม่แน่ว่าอาจมีภัยบางอย่างที่เขายังมองไม่เห็นแต่พระอาจารย์สัมผัสได้แล้ว ร่างสูงจึงไม่เข้าไป นบนิ้ววันทาอาศรมที่ว่างเปล่าเป็นมงคลเท่านั้น
กิ่งประดู่ไหวเอนตามแรงลมพาใบไม้ร่วงกราวลงมา หยาดฝนที่ติดคาอยู่ตามก้านใบตกต้องธรณี พฤกษาใหญ่อายุยืนกระซิบกระซาบแก่กัน แว่วอยู่ในหูเสมือนเสียงฟองคลื่นแตกซ่าบนผิวสมุทรน้ำเงิน ปนกับเสียงหัวเราะร่าของปักษาที่เกาะอยู่แต่ละกิ่งก้าน
ไม่มีข่าวของวิลาสินี มีแต่ความเป็นไปของสัตว์ในพนาวัน เสือเฒ่าเขี้ยวหักเมื่อสัปดาห์ก่อน ลูกกวางดาวตัวหนึ่งเพิ่งคลอด ลูกนกแซงแซวผู้ดุร้ายสองตัวตกจากรังเพราะพายุเมื่อคืน
ดูเหมือนเขาจะมาถึงก่อนวิลาสินีจริง ๆ
กฤตพรตจูงม้าผ่านร่มป่าโปร่งไปที่ลำธารช้า ๆ เจ้าอาชาดำกระสับกระส่าย เดินตามไปใช้จมูกดุนมือเขาไป มันอยากให้นายเหนือขึ้นนั่งบนหลังเพราะรู้ว่าเขาอ่อนเพลียมากแล้ว แต่กฤตพรตปฏิเสธ เขาขี่ม้าจนช่วงขาระบมเพิ่งจะเยียวยาให้หาย ม้าเองก็เพิ่งจะหายเจ็บเหมือนกัน ถึงมีเวทรักษาได้ก็ไม่สมควรจะทำให้เจ็บตัวซ้ำ ๆ เขาไม่นิยมใช้เวทเกินจำเป็น
เจ้าม้าดำหยุดยืนดื่มน้ำที่ลำธาร มันคะยั้นคะยอให้เขาดื่มด้วยและเดินวนเวียนกังวล ทว่ากฤตพรตปฏิเสธอีกครั้ง เขาไม่สามารถดื่มกินอะไรตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผลของอาคมที่ปฏิญาณด้วยวจีแผดเผาลำคอภายในแบบนี้ เกรงว่ากลืนอะไรลงไปจะได้แผลคายเลือดออกมา
วิลาสินีออกนอกอาณาบริเวณที่เขาขีดเส้นลงอาคมไว้ คือพระราชวัง ยิ่งไกลเท่าไรก็ยิ่งทำร้ายเขามากเท่านั้น มือใหญ่เสยผมขึ้นไปและเช็ดเหงื่อเย็น ๆ ตรงไรผม เหล่าบุหรงสกุณารอบวังที่เป็นสายของเขาช่วยส่งข่าวมาว่า นางผ่านไปในตลาดแล้วก็หายไปในพายุ หากว่าเกิดอะไรร้าย ๆ ขึ้นกับนาง ถึงขั้นเสียโลหิตไปหนึ่งในสิบ ชีวิตกฤตพรตผู้นี้เองที่ผูกสัญญาไว้ก็จะได้ดับดิ้นไปก่อนนางในพริบตา
เจ้าชายหนุ่มระบายลมใจหนัก ๆ อย่างออกจะขุ่นใจ ลำพังตัวเขาตายก็ไม่น่ากลัวหรอก มนุษย์เกิดมาก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น แต่ตายด้วยเหตุผลเช่นนี้ โดยไม่เจตนา โดยความไม่รู้ของวิลาสินี ดูอย่างไรก็ไม่สมศักดิ์ อีกทั้งบ้านเมืองยังต้องการเขาอยู่ เรื่องวุ่นวายไม่เป็นสาระดั่งนี้จึงน่าโกรธนัก
ความจริงเขาน่าจะรู้ลางตั้งแต่สัมผัสได้ว่านางหนีออกจากกระโจมขาว รัชตะเอามาเล่าให้เจ้าชายองค์อื่น ๆ ฟังอย่างเข้าข้างนาง ทำให้แลดูเป็นเรื่องเล็กอย่างเด็กซุกซนไป
!
ม้าดำร้องกระทืบเท้าขึ้นมา แล้วกฤตพรตก็รู้สึกว่ามีโลหิตไหลจากจมูก แผลเดิมนั้นอีกแล้วถูกศัตรูทิ่มแทง แต่ครานี้แรงจนนัยน์ตาเขามืดไปแวบหนึ่ง สัมผัสของมันเหมือนแท่งโลหะเจาะทะลุเข้ามาตรงหว่างคิ้ว เกิดเป็นแผลภายในร้อนฉ่า กฤตพรตถึงกับต้องนั่งลงยันตัวกับพื้น คาวเลือดหยะหยดลงไปบนกรวดริมลำธารตรงหน้า
ไม่เคยเลยที่เขาจะเจ็บขนาดนี้มาก่อน... มันคงจะรับรู้ได้ว่าเขากำลังอ่อนแอ
แท่งโลหะที่มองไม่เห็นนั้นแทงซ้ำเข้ามาอีกครั้ง แล้วนัยน์ตาซ้ายของเขาก็มีเลือดไหลออกมา
***
“อยู่รอทานมื้อเย็นด้วยกันสิ แม่งาม แกงเนื้อของเรานี่นะ อื้อหือ..เผ็ดสะเดิด! ได้ลองแล้วจะติดใจ!”
หมู่บ้านกุมภการต้อนรับขับสู้แขกต่างถิ่นอย่างดี ยิ่งเมื่อได้ยินว่าวิลาสินีช่วยร้องเร่ขายหม้อกุณฑีให้ได้ตั้งหลายใบ ก็ยิ่งถูกใจสาวน้อยแสนสวยคนนี้หนักหนา อยากจะให้นอนค้างอ้างแรมด้วยสักคืนในหมู่บ้าน
พอดีชาวบ้านกำลังฉลองฤดูมรสุมขอบคุณพระพิรุณอยู่ด้วย พวกเขาล้มโค เผาเครื่องในกระทำบูชา ส่วนเนื้อนำมาแกงใส่ในหม้อใหญ่ยักษ์กลางลาน เป็นหม้อดินใหญ่ที่ช่างปั้นหม้อช่วยกันรังสรรค์ ใช้แรงหญิงชาวบ้านถึงสี่คนปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้สูงเพื่อช่วยกันใช้ไม้พายใหญ่เคี่ยว กลิ่นเครื่องเทศหอมฉุยทำให้คนชอบของรสจัดอย่างวิลาสินีถึงกับน้ำลายสอ
ใจหนึ่งนางก็อยากลิ้มรสอยู่ แต่อีกใจก็คิดถึงฝูงกวางผู้เป็นเสมือนครอบครัวจะแย่แล้ว ป่าประดู่ก็เห็นอยู่ไม่ไกล ยอดไม้พลิ้วตามลมเหมือนกวักมือเรียก
ถ้าหากไปตอนนี้ก็ยังทันพบฝูงกวางในทุ่ง แต่ถ้าตกเย็นพวกมันจะพากันเข้าถ้ำหรือหลบตามพุ่มไม้หลับนอน สายตามองอะไรไม่ค่อยเห็นจึงจะดุและเครียด ดังนั้นวิลาสินีอยากรีบไปหาพวกมันในยามที่มีแสงอาทิตย์สดใสมากกว่า
“ข้าจะรีบไปป่าประดู่ดีกว่าจ้ะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”
“ค้างที่นี่ก็ได้ รีบไปทำไมในป่าดง”
“ข้าคิดถึงบ้านจริง ๆ พ่อของข้าก็อยู่ที่นั่น”
เสียงแหลมบอกขอบคุณ ไม่วายได้ของฝากเป็นคนโทน้อยดินเผากระจุ๋มกระจิ๋ม ขนาดเล็กพอวางอยู่บนฝ่ามือได้ เป็นของน่ารักสำหรับสาว ๆ หมู่บ้านกุมภการใช้เก็บเครื่องหอมกัน วิลาสินีเปิดฝาดูเห็นดอกเขี้ยวกระแตบรรจุไว้จนเต็ม จึงถักผมเป็นเปียแล้วแซมดอกไม้ขาวเหล่านั้นตามข้อเปียก่อนจะคลุมผมเรียบร้อย ทำให้คนมอบของขวัญชื่นใจ ก่อนจะไหว้ลา
เด็กหนุ่มสามคนพานางมาส่งที่ท้ายหมู่บ้าน วิลาสินีเดินสลับขา กระโดดเหยาะ ๆ ไปหน่อยเดียวก็ถึงหมู่บ้านชายป่า พวกพรานที่รู้จักมักจี่กันมาร้องทักทาย ถามว่าในวังเป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนต่างพากันตาโตกับธำมรงค์มรกตเม็ดเป้งบนนิ้วของนาง พรานคนหนึ่งหัวเราะว่า
“ราศีจับเชียวนางหนู เอ้ย พระวรชายาพระเจ้าข้า” พูดราชาศัพท์กะพล่องกะแพล่ง แล้วกระพุ่มมือไหว้ปะหลก ๆ “มิน่าเล่า ท้าวเธอรีบทรงม้ามารอ กลัวเอ็งหายหรือว่ากลัวแหวนนี้หายก็ไม่รู้สิ...พระเจ้าข้า”
“ฮะ? ท้าวเธอไหน!”
วิลาสินีตาถลน ซักไซ้ไล่เลียงแล้วได้ความว่าเจ้าฐิรังกาเสด็จผ่านมาเมื่อบ่าย เข้าป่าไปก่อนแล้ว นางถึงกับขนลุกขนพอง
บ้าบอไปใหญ่! เจ้ากฤตพรตจะมาที่นี่ได้อย่างไรเร็วขนาดนี้ จะไปรู้เรื่องนางหนีจากวังมาจากไหน และรู้ได้อย่างไรว่าจะไปป่าประดู่ วิลาสินีโอดครวญเบา ๆ ในใจ
แต่คิดดูแล้ว กฤตพรตก็รู้จักนางดีพอที่จะเดาออกว่านางไม่มีทางไปอื่นนอกจากกลับป่า สวามีในนามของนางคงนั่งรอท่าอยู่ที่อาศรมบิดานางเป็นแน่ ความรู้สึกเหมือนตอนนางค้นพบว่าพวกเจ้าจอมอาคมใช้เวทกำกับอุณหภูมิในกระโจมสยุมพรเข้มงวดกลับมาอีกครั้ง คือทั้งทึ่งทั้งขำกับเจ้าชายลำดับหนึ่งผู้นี้
โอย แต่จะกริ้วขนาดไหนล่ะเนี่ย... อ้อมไปทางอื่นที่ไม่ผ่านอาศรมก็แล้วกัน
หญิงสาวก้าวเข้าสู่ใต้ร่มป่าโดยมุ่งหน้าไปทางทุ่งหญ้า แต่ละก้าวที่เหยียบลงบนพื้นดินอ่อนนุ่มปูด้วยกิ่งก้านใบไม้ เรียกดวงตาน้อย ๆ ตามพุ่มพงเขียวขจีออกมาดูว่าฝีเท้าที่คุ้นเคยนี้ของใคร กระต่ายอินเดียคอดำตัวหนึ่งเยี่ยมหน้าออกมาทักทาย ท้าวิ่งแข่งกับหญิงสาวออกไปยังทุ่งหญ้า
วิลาสินีฉีกยิ้มวิ่งไล่ตามไปทันที เห็นแต่ก้นกระต่ายและก้อนหางสีน้ำตาลฟู ๆ นำทาง เจ้าศศกยังหันมามองเป็นระยะและตบเท้ากับพื้นดังปับ ๆ เหมือนคร้านจะรอ วิลาสินีหัวร่อคิกคัก เช็ดเหงื่อที่คอด้วยผ้าคลุมผม
“ข้ายอมแพ้แล้ว ก็ขี้โกงนี่นา เจ้ามีตั้งสี่ตีน”
นางโน้มตัวก้มลงยันแขนกับหน้าขา อยู่วังไม่ได้วิ่งเสียนาน เมื่อยน่องเลยแฮะ กระต่ายน้อยกระโดดเหยง ๆ มาวนรอบข้อเท้านาง ภาคภูมิกับชัยชนะหรืออยากให้เล่นไล่จับก็ไม่ทราบได้ แต่วิลาสินีย่อตัวลงจับหลังหูมันแล้วช้อนก้นนุ่มนิ่มขึ้นมาอุ้ม
“อึ๊บ! อยู่กับข้านี่แหละ ถ้าเหยี่ยวมาข้าจะซ่อนเจ้าเองนะ”
ร่างเพรียวลัดเลาะแนวต้นประยงค์หอมมาจนถึงทุ่งหญ้า มรสุมทำให้เส้นตฤณเย็นชื้น แมลงปีกใสบินว่อนอยู่ทั่วไปเรียกให้นกบินลงมาจับกินเป็นกลุ่ม ๆ ร้องรำแก่กันเบิกบาน เจ้าศศกขนปุยถูกวิลาสินีปล่อยลงแตะพื้น ก็โผออกไปแทะยอดหญ้าอ่อนเขียวสดอย่างดีใจ
วิลาสินีระบายยิ้ม อดไม่ได้ลงไปกลิ้งเล่นลูบไล้เส้นหญ้าอย่างคิดถึง นี่สบายกว่าแท่นบรรทมพระวรชายาเสียอีก ท้องฟ้าสีเทามีฝูงนกเหินร่อนก็น่ามองกว่าเพดานวาดจิตรกรรมอย่างเทียบกันไม่ติด
แต่นางไม่เห็นกวางเลยแม้แต่ตัวเดียว มวลมฤคชาติหายไปไหนกันในวันที่ทุ่งหญ้าชอุ่มอุดมเช่นนี้ หญิงสาวยันตัวขึ้นนั่ง พลันก็อุทานออกมาเมื่อรู้สึกว่ามีจมูกใหญ่ ๆ มาดุนหลัง หันไปเจอะกับพ่อกวางทองเขางาม
“อ้าว! อยู่นี่เอง เป็นยังไงบ้าง”
มือเรียวเอื้อมไปกอดลูบคอและใบหูของพ่อกวางโดยอัตโนมัติ สบตาเรียวดำลึกล้ำแล้วน้ำตาคลอ แนบหน้าผากกับสันจมูกของมัน อย่างไรก็ตาม พ่อกวางกลับดูกระสับกระส่ายและสะบัดหัวหนีไปข้าง ๆ วิลาสินีจึงมองดูรอบ ๆ
“มีอะไรหรือ... ทำไมอยู่นี่แต่ผู้เดียว แล้วฝูงเล่า”
พ่อกวางสะบัดหัวอีกไปข้าง ๆ เดินนำไปแล้วร้องเรียกให้วิลาสินีเดินตาม กระต่ายน้อยกระโดดเข้ามาเกยคางกับตักเป็นเชิงขอให้นางนั่งอยู่ต่อ ด้วยเหตุว่าทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งนี้งดงามกว้างขวาง วิ่งเล่นได้เสรีราวกับวัยเยาว์ของสวนสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการจากไป นางเองก็ตั้งใจกลับมาเพื่อที่นี่ไม่ใช่หรือ...
วิลาสินีลูบหูยาว ๆ ของเจ้าศศก ตั้งใจจะปฏิเสธพ่อกวางและถักหญ้าเป็นมงกุฎเล่นที่นี่ ทว่าพ่อกวางพ่นลมหายใจฟืดฟาดกังวล กระทืบขาหน้ากับพื้นเร่งนาง มันถึงกับเดินย้อนกลับมาใช้หัวดันให้นางยืน เหมือนเวลาลูกกวางดื้อดึงไม่ยอมหัดวิ่ง แล้วกวางตัวอื่น ๆ พากันมาช่วย
'ลุกเถิด ไม่ว่าหญ้าสวยสดเพียงใด... เจ้าเป็นที่ต้องการนอกทุ่งหญ้านี้'
แม้ไม่อาจได้ยินเสียงเจรจาเป็นถ้อยคำอย่างเจ้าจอมอาคมได้ยิน แต่ที่สุดวิลาสินีก็กังวลตามว่าอาจจะมีเรื่องอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับฝูงมฤคี นางจึงบอกลากระต่ายและนกที่นั่น เดินตามพ่อกวางไป ทั้งสองไปจนถึงริมลำธารแล้วพ่อกวางก็ย้อนเลียบขึ้นไปทางต้นน้ำ วิลาสินีเริ่มจะเดาได้จึงถามว่า
“อยู่กันที่น้ำตกหรือ” นางลูบโคนเขาอุ่นของพ่อกวางอย่างครุ่นคิด มันดูร้อนรนเหลือเกิน มีกวางตกน้ำที่นั่นหรือเปล่านะ หรือว่ากวางถูกเสือกัดบาดเจ็บ “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวข้ารีบปีนต้นประยงค์ขึ้นทางข้างหลังผาน้ำตกล่วงหน้าไปก่อน จะได้ไปช่วยใครที่นั่นไว้ แล้วพ่อตามไปเจอกันนะ”
พูดจบก็ถอดรองเท้า ถลกผ้านุ่งขึ้นปีนต้นประยงค์ใหญ่ที่โตแทรกอยู่ในร่องศิลา เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นทางลาดคดเคี้ยวอ้อมขึ้นภูเขา ทว่าลัดไปในถ้ำน้ำตกเสียแทน คาคบต้นประยงค์มีกิ่งหนายื่นไปที่ช่องผาแคบ ๆ ด้านบน วิลาสินีจึงคลานไต่ไปอย่างระมัดระวัง นางจับที่มั่นได้ก็เอาขาเข้าไปในช่อง แกว่งหาที่ยืน จากนั้นสอดตัวเข้าไป
“โอ๊ะ!” ข้างในถ้ำผาเฉอะแฉะพอสมควร มีธารใสสะอาดไหลผ่านพื้นระดับน้ำค่อนข้างสูง ในหน้าแล้งถ้ำจะแห้งสนิทต่างกับตอนนี้ วิลาสินีเลยจำต้องยกผ้านุ่งมาผูกไว้แถวเข่า ย่ำน้ำอยู่ในความมืดสลัว นางยกมือแขนแตะ ๆ ผนังถ้ำออกไปก่อนป้องกันหัวโขกอะไรเข้า “เฮ้อ ข้าโตขึ้นเยอะจริง ๆ ด้วยสิ ตอนเด็กตัวเตี้ยไม่เคยชนอะไรเล้ย”
โชคดีที่หญิงสาวยังจำทางในถ้ำและป่าได้แม่น นางหาจุดที่ปีนขึ้นไปสู่ชั้นน้ำตกที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เห็นแสงสว่างและได้ยินเสียงน้ำตกกระทบหินครืนคราง
นางย่อตัวเดินมาที่ช่องน้ำตก วารีเทลงเหมือนม่านสีขาวทรงพลังอยู่เหนือช่องนั้น นางมุดออกไปด้านข้างไม่ให้ถูกน้ำ และค่อย ๆ ปีนแนบตัวกับหิน แรงน้ำมากอันตรายยิ่ง หากว่าพลัดตกลงไปคงจะได้จมตายเป็นผีเฝ้าสระข้างล่างแน่นอน
เท้าเปียก ๆ เหยียบร่องหินตะปุ่มตะป่ำจิกแน่น กลัวตกเหลือแสนขณะเกาะผาหินตัวเกร็ง นางไม่ได้ใช้ทางลัดนี้นานพอควร ตอนเด็ก ๆ ที่ใช้บ่อยเพราะชอบเล่นในถ้ำก็ยังตัวเล็กอยู่ ตอนนี้เท้านางใหญ่เกินที่ที่เคยเหยียบตอนเด็กได้ไปเสียแล้ว ร่างเพรียวจึงค่อย ๆ หาที่ไต่ไปอย่างทุลักทุเล นางสูดหายใจลึก ลองหันมองรอบ ๆ ดูในสระก็ไม่เห็นมีกวางตัวไหนพลาดตกลงไป สายตาสีเขียวส่องจึงค่อย ๆ เลื่อนไปสำรวจดูฝั่งน้ำและต้นมะม่วงมหาชนก...
“เหวอ!!”
วิลาสินีร้องสบถออกมาเต็มคำ ฝูงกวางพักผ่อนอิริยาบถอยู่ตรงนั้นตามปกติ แต่ที่ยืนหัวโด่อยู่กับพวกกวางคือเจ้ากฤตพรตตัวเป็น ๆ !
“ฝ..ฝ่าบาท!...ม..มาอยู่นี่เองหรือเพคะ”
พูดไปก็อายไปเสียวตกไปด้วย นึกว่าเขาจะอยู่ที่อาศรมกับบิดานางเสียอีก พ่อกวางทรยศ!
เจ้าชายหนุ่มกอดอก นัยน์ตาสีนิลคมจ้องมองร่างเพรียวกางแขนขาปีนแนบกับผาหินอย่างกับแมงมุม สีหน้าเฉยไม่รู้ว่าขบขันหรือโกรธอยู่ วิลาสินีเลือกเชื่อว่าเป็นประการหลังมากกว่า
ทั้งคู่นิ่งอยู่อย่างงั้นอึดใจหนึ่ง แล้วกฤตพรตก็คว่ำมือลงเบื้องหน้าเงียบ ๆ เสกตาข่ายแก้วอย่างง่ายที่ปกติใช้สำหรับจับนกขึงไว้บนอากาศเหนือปากสระ ตาข่ายเอียงลาดมาที่ริมฝั่งตรงที่ตนยืนอยู่ เสมือนสร้างตาข่ายนิรภัยรองรับ วิลาสินีเห็นเช่นนั้นก็ทิ้งตัวลงไปบนตาข่าย เลื่อนไถลตัวมาถึงหน้าชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาพอดิบพอดี แล้วตาข่ายแก้วจึงปลาสนาการ
หญิงสาวได้แต่นั่งจุ้มปุ๊กมองชายสนับเพลาของเจ้าฐิรังกาอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะพูดอะไร ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นยืนมองหน้าสบตากันได้ก็เสียวสันหลังแว้บ กฤตพรตกริ้วหนักอยู่จริง ๆ ด้วย เนตรนิลดุดันเยือกเย็นประหนึ่งว่าวาดภาพทรมานนางอยู่ในใจหลายรอบแล้วก็ปาน กำลังจะได้สำเร็จโทษกันจริง ๆ
นาทีนี้ ลองพิจารณาดู เขาต้องตามนางมาไกลถึงป่าประดู่ ราชสำนักกำหนดโทษฐานหนีออกจากวังไว้อย่างไรนางก็ไม่รู้ แต่คงไม่ใช่สถานเบา
วิลาสินีกัดปาก รวบรวมความกล้า จากนั้นก็...เผ่นทันที!
“โอ๊ย!”
วิ่งหนีได้ไม่ถึงห้าก้าวก็ต้องหยุดกึกเกือบหน้าคะมำ บ่วงบาศอาคมเหวี่ยงมารัดรอบแขนและตัวนางไว้ วิลาสินีหันหลังมาดูปลายบ่วงที่คล้องอยู่กับมือเจ้าชายหนุ่มอย่างแตกตื่นและเหลือเชื่อ
“นี่...ฝ่าบาททรงใช้บ่วงล่าสัตว์จับหม่อมฉันหรือเพคะ!!” นางขึ้นเสียงสูง จากที่อายก็ชักจะโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าอีกฝ่ายเอาของใช้จับสัตว์มาจับคน กฤตพรตก็ไม่ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว เดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเกือบจะรำคาญที่นางมุ่งแต่จะหนีอยู่นั่น
พลันเชือกบ่วงบาศที่รัดรอบกายหญิงสาวก็ลุกพรึ่บเป็นไฟ มอดไหม้ขาดตกไปกับพื้น ไฟนั้นลุกลามถึงมือของกฤตพรตอย่างรวดเร็วจนเขาต้องปล่อย ปลายนิ้วแสบบวมทันทีเพราะกระทั่งอาคมป้องกันตัวของเจ้าชายหนุ่มก็ไม่อาจสู้กับจุฑาธาตุเช่นเตโช กฤตพรตมองมือตัวเองเหมือนไม่เชื่อสายตา จากนั้นก็เงยหน้ามองวิลาสินีที่ยกยิ้มมีชัย
น้อยคนจะรู้เวทจุฑาธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเสกได้โดยไม่ต้องใช้วจี พระฤๅษีสิทธิสวามินเองก็ถ่ายทอดให้แต่กับบุตรีเท่านั้น ลูกศิษย์คนใดไม่เคยได้ร่ำเรียนเวทชนิดนี้กระทั่งกฤตพรต
“ฝ่าบาทดำริว่าอาคมฤทธิ์มากนักหรือเพคะ ทรงลองดูเป็นไร หม่อมฉันจะเผาให้เหี้ยน”
เจ้าชายหนุ่มเอื้อมมือมาหาคนทะนงปากเก่ง ทำท่าเหมือนจะร่ายเวท แต่แล้วกลับอ้อมไปเปิดผ้าคลุมผมของนางออกด้านล่าง ดึงหางเปียยาวของนางมาพันคล้องข้อมือไว้เสียแทน ปลายนิ้วขีดกากบาทลงอาคมบ่วงบาศไว้กับเส้นผมนั้นอย่างรวดเร็วราวกับงูฉก วิลาสินีร้องลั่น รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่เห็นปมเปียบนข้อมือแกร่งเรียบร้อย จะดึงแก้ก็แก้ไม่ออกด้วยเหตุว่ามีแต่ผู้ผูกปมเท่านั้นจะสามารถแก้ได้
กฤตพรตเลิกคิ้วให้น้อย ๆ ราวกับจะถามว่า นางถึงขั้นยอมเผาเรือนผมตัวเองทิ้งเพื่อหนีหรือไม่เล่า
วิลาสินีกรีดเสียงดึงผมอย่างขัดใจ ยื้อยุดกันไปมาจนเจ็บหนังศีรษะ ไฉนเกศาส่วนที่สูงที่สุดของนางต้องมาผูกกับหัตถ์ซ้ายอันเป็นมือไว้ชำระล้างของต่ำของสกปรกด้วยเล่า! ไม่ได้พบกันนาน แต่พบกันคราวนี้กฤตพรตไม่ให้เกียรตินางแม้แต่นิดเดียว
“แก้ปมปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะเพคะฝ่าบาท! ทรงทำแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย! ฝ่าบาทจะ...ว้าย!!”
เสียงแหลมหยุดโวยวายทันควันเมื่อร่างสูงเหลืออดช้อนตัวนางขึ้นมาอุ้ม เดินกลับไปยังใต้ร่มมะม่วงมหาชนก วรกายที่แนบชิดนั้นเย็นจัดแทบจะเป็นน้ำแข็ง วิลาสินีสะดุ้งตกใจเกินกว่าจะพูดอะไรต่อ แตะมือเปล่า ๆ ผิวต่อผิวกับแผ่นอกกว้างสีเข้มแล้วยิ่งกลัว สัมผัสของมันราวกับหิมะ ท่อนแขนที่อุ้มนางอยู่ก็เช่นกัน
“ท...ทำไมถึงเย็นอย่างนี้เพคะ!?” นางสอดแขนไปโอบรอบคอของชายหนุ่มกลัวจะร่วง ต้องตกใจรอบสองเมื่อรู้สึกว่าส่วนคอกลับร้อนเหมือนเหล็กไฟจนต้องชักแขนหนี “พ...พระศอ...!”
กฤตพรตวางนางลงที่พื้นดินตรงจุดที่นางมักจะชอบมานั่งแทะมะม่วง เสกน้ำมันเจิมหน้าผากให้นางด้วยนิ้วนางขวา กวางหลายตัวเดินเข้ามาใกล้ ๆ และทักทาย แต่วิลาสินีไม่อยู่ในอารมณ์จะสนทนาปราศรัย นางแตะเนื้อตัววัดไข้เจ้าชายตรงหน้าอย่างเป็นห่วง
ร่างสูงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มองหากิ่งไม้ยาวใกล้ ๆ ตัวได้ก็หลับตาลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขีดเส้นเป็นวงกลมบนพื้นล้อมรอบที่ที่เขากับหญิงสาวนั่งอยู่ สร้างม่านอาคมแบบพื้นฐานที่สุดแล้วจับมือวิลาสินีไว้ใกล้ ๆ ตัว แต่มาถึงตอนนี้หญิงสาวก็ไม่คิดจะหนีอีกแล้ว เข้ามาแตะหลังมือกับส่วนต่าง ๆ ของเขาอย่างกังวล
“ทำไมถึงเย็นไปหมด ยกเว้นพระศอกับพระโอษฐ์ ทรงกรีดพระโลหิตลงอาคมในสงครามเยอะเกินไปหรือเปล่าเพคะ” มือเรียวประคองใบหน้าให้สบกับเนตรเขียวส่อง ถามอ่อย ๆ “ทำไมฝ่าบาทไม่ตรัสอะไรเลย... ตรัสตอบหม่อมฉันสิเพคะ ทรงเป็นอะไร”
กฤตพรตได้แต่ถอนใจหงุดหงิด แต่ก็รู้สึกว่าความเจ็บไหม้ในลำคอและปากทุเลาลงทันทีที่เห็นนางอยู่ในคลองจักษุ วิลาสินีทำท่าจะลุกไปที่สระน้ำ แต่กฤตพรตกำข้อมือไว้ อย่างไรผมนางก็มัดกับข้อมือเขาไปไหนไม่ได้ด้วย มือใหญ่ชี้ลงที่เส้นอาณาเขตอาคมบนพื้นดิน นางร้อนใจนักจึงขมวดคิ้วใส่
“ฝ่าบาทนี่ก็...! หม่อมฉันไม่หนีแล้ว พระองค์ประชวรแบบนี้จะหนีได้ยังไง หม่อมฉันแค่จะตักน้ำมาแล้วเช็ดพระวรกายให้”
มือเรียวล้วงในผ้าคลุมที่ตลบพาดไหล่ ชูคนโทดินเผาอันจิ๋วให้ดูว่าจะตักน้ำจริง ๆ แต่ท่าทางกฤตพรตจะไม่เชื่อ นางส่ายหัว ยื่นหน้ามามองเขาอย่างพิจารณา กฤตพรตมองตอบดวงหน้านั้น เขาเองก็ไม่ได้พบนางสองเดือน รู้สึกใจหายนิดหนึ่งเมื่อสังเกตเห็นคล้ายกับว่านางผอมไปเล็กน้อย ใต้ตามีรอยคล้ำไม่ผาสุก แต่อย่างไรความงามของนางยังคงเป็นหนึ่งในแผ่นดิน
“พระพักตร์ซีดจัง พระโอษฐ์ก็แตกหมดแล้ว เสวยน้ำเถอะนะเพคะ...นะ”
ไม่ว่าหว่านล้อมอย่างไรร่างสูงก็ส่ายหน้าเหนื่อย ๆ ไม่นานก็ทำท่าจะเอนลงนอนกับรากไม้ วิลาสินีรีบห้าม ตบ ๆ หน้าตักให้เจ้าชายหนุ่มใช้หนุนแทน
“มีอย่างที่ไหนเจ้าฟ้าจะทรงยอมให้ศิระต้องธุลีกันเพคะ แผ่นดินท่าจะลุกเป็นไฟ” นางบ่นเบา ๆ คราวนี้กฤตพรตไม่อิดออด อาจจะเพราะเหนื่อยล้าอย่างหนัก เขานอนลงหนุนตักหญิงสาวและใช้มือซ้ายที่ผูกเปียของนางจับมือเรียวไว้อีกชั้นหนึ่งก็ค่อยวางใจ ลืมตามองนางอยู่ครู่เดียวก็หลับใหล
วิลาสินีแตะมือกับหน้าผากและข้างแก้มเย็นเฉียบ เลื่อนลงไปที่ริมฝีปากกลับร้อนจัด ผิวกายชายหนุ่มชื้นเหงื่อไปหมดจนไรผมจับเป็นก้อน นางค่อย ๆ ดึงมือออกจากมือใหญ่อย่างนุ่มนวล แล้วเสกจุฑาธาตุหมู่น้ำเป็นอาโปลงในคนโท ริมฝีปากอิ่มยิ้มขำ ไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะได้ใช้ประโยชน์เวทยอดของธาตุทั้งสี่ในเวลาแบบนี้
มือเรียวเทน้ำล้างมือให้สะอาด แล้วก็ดึงเอาผ้าคลุมผมที่ชายหนุ่มเปิดออกเมื่อครู่มาพับเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ชุบน้ำเช็ดที่คอของเขา
นัยน์ตาสีนิลเบิกขึ้นมา คล้ายจะผวาน้อย ๆ เมื่อรู้สึกว่าไม่ได้จับมือนางไว้แล้ว วิลาสินีแตะไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้นอนอยู่ที่เดิม “หม่อมฉันไม่ได้ไปไหนเพคะ! หม่อมฉันแค่เช็ดพระวรกายให้อยู่ นี่ไง หม่อมฉันเสกน้ำเองเพคะ”
นางชูผ้าและคนโทให้ดู แล้วก็เช็ดต่อให้ แต่นัยน์ตาสีนิลยังคงตะลึงอยู่ เจ้าชายหนุ่มได้ยลเรือนผมดำงามราวกับเมฆฝนในคืนพายุเป็นครั้งแรกเต็ม ๆ ทั้งศีรษะ ไร้ผ้าปิดบังอย่างสิ้นเชิง...
นี่เป็นภาพของสตรีในแบบที่ธรรมดาแล้วสามีและบุรุษในครอบครัวใกล้ชิดเท่านั้นจะได้รับอนุญาตให้เห็น ผมเปียของนางมีดอกเขี้ยวกระแตขาวสอดแซมไว้เหมือนดวงดาวหลังกลีบเมฆ เหมือนไข่มุกที่ปักบนแพรไหม
ชั่ววินาทีนั้น กฤตพรตเกิดความรู้สึกปรารถนาจะเอื้อมไปสัมผัสเส้นเกศาสีราตรีขึ้นมาจับใจ แต่ก็แค่ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น เพียงแต่มันรุนแรงเสียจนเขารู้สึกราวกับหัวใจที่นิ่งสงบมานานถูกมือที่กำลังถือผ้าชุบน้ำอันน้อยของนางเข้ามาเขย่าคลอน นี่คงเป็นด้วยเขากำลังอ่อนแอ การควบคุมตบะและจิตก็พลอยลดถอยลงไปด้วย
เจ้าชายหนุ่มหลับตาลง ปิดประสาทการรับรู้ทางจักขุภาพ ไม่วายกระสากลิ่นดอกเขี้ยวกระแตหอมจรุง มันอบติดอยู่กับผ้าคลุมผมที่นางกำลังบรรจงเช็ดตรงซอกคอเขา
***
ตกค่ำเข้าปฐมยาม (ช่วงเวลา ๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ นาฬิกา) ลมมรสุมสำแดงเดชอีกครั้ง พวกกวางวิ่งหนีฝนกันกลับไปหมด กฤตพรตอาการดีขึ้นพอพูดจาได้แล้วจึงเนรมิตกระโจมขาวเล็ก ๆ ใต้ร่มมะม่วงและบริกรรมมนตร์ป้องกันสัตว์มีเขี้ยวมีพิษ
วิลาสินีนั่งดูคนตรงหน้าค่อย ๆ ดื่มน้ำ ตามด้วยกินมะม่วงสุก ตัวนางจัดการไปเรียบร้อยแล้วแต่ดูเหมือนกฤตพรตจะบริโภคอย่างช้ามาก ๆ เขาเงียบจนน่าอึดอัด หญิงสาวใช้ผ้าเช็ดแขนเช็ดไหล่ของเขาไปพลาง เนตรนิลแทบไม่ชายมาทางนางเลย อาจเป็นด้วยไม่ต้องการละเมิดชมเรือนผมดำขลับเปลือยเปล่า
วิลาสินีบ่นอุบขณะแตะหลังมือที่คอเขา พยายามจะทำให้บรรยากาศคลายลงบ้าง
“ยังรุม ๆ อยู่เลย ฝ่าบาทน่ะ ต้องทรงดูแลพระวรกายมากกว่านี้นะเพคะ ถ้าทรงเป็นกระไรไป ประชาราษฎร์จะพึ่งผู้ใดได้ กระทบไปทั้งบ้านเมือง คนเก่งเวทวิทยาอย่างฝ่าบาทมีน้อยเสียด้วยสิ ดำริจะทำสังเวยอะไรต้องทบทวนก่อนนะเพคะ”
กฤตพรตมุ่นขนง เหลือที่จะระงับความขุ่นเคือง เพราะธรรมดาก็แทบไม่มีใครกล้าตำหนิฉอด ๆ แบบนี้อยู่แล้ว ซ้ำในกรณีนี้เขาไม่ผิดเสียอีก เมื่ออาการดีขึ้นสติคืนมาสมบูรณ์ โทสะก็กรุ่นกลับมาด้วย เจ้าฐิรังกาจึงเค้นเสียงบริภาษ
“ก็แล้วมันความผิดของใคร ได้ยินเราสัญญาเมื่อวันสยุมพรแล้ว ยังจะหนีออกนอกม่านอาคมของเราอีก” ร่างสูงขึ้นเสียงเย็นชา เบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่อยากมอง “ประพฤติตนไม่รู้จักรับผิดชอบเช่นนี้ จะเป็นถึงธิดาพระฤๅษีหรือเอกกัลยาแห่งยุคมาแต่ไหน ก็ไม่น่าชมสำหรับกฤตพรตผู้นี้ ไม่มีสิทธิ์มาบังอาจพูดกับเราโดยที่เราไม่ได้ถาม”
วิลาสินีสะดุ้งใจ นางไม่เคยถูกกฤตพรตกล่าวพิโรธล่วงเกินมาก่อน แน่นอนไม่เคยถูกอีกฝ่ายถือยศเจ้าชายใช้อำนาจด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นนี้ไม่ใช่ที่กฤตพรตเคยใช้กับนางแม้สักครั้ง แต่ประโยคแรกยาว ๆ ที่เขาพูดออกมากลับเป็นเช่นนี้
สาวน้อยเม้มปาก น่าแปลก นางก้มหน้าลงพบว่าตัวเองน้ำตารื้นขึ้นมาทั้งที่ไม่มีอะไรเจ็บปวดมากมาย นางไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรผิดหนักหนาสาหัส และไม่เคยถูกกฤตพรตสั่งให้หุบปากมาก่อนแม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำหยาบคายใด ๆ เป็นการบริภาษแบบเจ้าฟ้าแท้จริง แต่ทำไมถึงได้ทำให้นางเสียใจนัก...
ครั้นจะถามสาเหตุให้รู้เรื่องก็กลัว ได้แต่ปล่อยมือที่จับแขนอีกฝ่ายมาเช็ดตัวแล้วรีบลดตัวลงหมอบพับเพียบ มีเพียงเปียผมของนางเท่านั้นที่ยังผูกสัมผัสเชื่อมอยู่กับข้อมือของเขาที่เท้าไว้กับพื้นพรม
สัญญาอะไรกันตอนพิธีสยุมพร... นางเค้นสมองคิดอย่างหนัก กฤตพรตไม่เห็นพูดอะไรเท่าไรเลย นอกเสียจากว่า...
กฤตพรตถอนใจขณะดื่มน้ำ มองไปยังผ้าขาวของกระโจมที่สะบัดน้อย ๆ ต้องลมฝน เสียงเปาะแปะเริ่มหนักขึ้นทุกทีจนทั้งกระโจมมืดลง ปากคอเขาไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่รวม ๆ ก็ยังไม่ได้กำลังวังชากลับมาเต็มที่ การทำร้ายทางเวทกับทางกายภาพคล้ายกัน คือแทงให้บาดเจ็บนั้นง่ายดาย พริบตาเดียวก็อาจฆ่ากันอาสัญ ทว่าการรักษาเยียวยานั้นกินเวลานานกว่า
ตาซ้ายของเขากลายเป็นจุดอ่อนใหม่ที่ศัตรูหาทางทะลวงเข้ามาได้ เส้นเลือดในลูกตาเต้นตุบขณะที่แก้วตาพร่ามัวเวลาเพ่งมอง คล้ายกับเตือนว่าส่วนหนึ่งของมันเคยถูกทำให้พิการไปแล้ว แม้จะกู้กลับมาได้ด้วยพลังวิทยาอาคมก็ไม่สามารถเหมือนเดิมทั้งหมดในวันสองวัน
ไม่ใช่ความผิดที่จะโทษวิลาสินีหรอก นางไม่มีเจตนา เขารู้ แต่ในยามนี้ก็ยังโกรธอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นนางลอยหน้าลอยตา ไต่ผาลอดถ้ำ มือของนางกำชีวิตเขาไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายแสนบาง
มือใหญ่ของชายหนุ่มวางคนโทน้อยลง หงายมือขึ้นเป่ามนตร์ เสกเป็นดวงไฟเรืองอุ่น ๆ ลอยขึ้นไปแขวนในอากาศที่เพดานกระโจม เพื่อจะได้ไม่หนาวตอนดึกกว่านี้ ร่างสูงคร้านจะเปลืองแรงเสกหมอนที่นอนให้มากความจึงเอนกายลงนอนเลย
มือเรียวเล็กกลับแบมารองรับด้านหลังศีรษะเขาไว้ กฤตพรตยกหัวขึ้น หันมองดูหน้านางก็เห็นน้ำใสปริ่มเต็มตาสีเขียวสองข้าง
“...เป็นอะไร”
วิลาสินีกัดปาก “ข...ขอทรงหนุนตักหม่อมฉันเถอะเพคะ”
“เราไม่ต้องการ” เขาปฏิเสธอย่างราบเรียบ ร่างเพรียวเอ่ยเสียงสั่น
“ฝ่าบาทกริ้วเพราะว่าที่ประชวรนี่เป็นเพราะหม่อมฉันหรือเพคะ ที่ว่าตรัสสัญญาวันสยุมพรจะดูแลหม่อมฉัน...คือต้องให้หม่อมฉันอยู่ในม่านอาคมของฝ่าบาทหรือ” หญิงสาวกำมือ “ฝ่าบาทไม่ตรัสเตือนไว้ก่อน แล้วหม่อมฉันจะรู้ได้ยังไง... เช่นนี้หม่อมฉันผิดหรือเพคะ จะกริ้วไปตลอดเลยหรือ”
“หนีจากวังเท่านั้นก็มีโทษอยู่แล้ว เท่ากับหนีออกจากม่านอาคมด้วยพร้อมกัน เจ้าอายุเท่าไร เป็นเด็กอมมือหรือจึงได้ไม่รู้ว่าห้ามหนีจากวัง เรื่องเช่นนี้เราต้องเตือนด้วย?”
“แล้วฝ่าบาทไม่มีพระวินิจฉัยเลยหรือเพคะว่าหม่อมฉันอยากออกจากวังเพราะอะไร” วิลาสินีสะบัดหน้า “พระสนมของฝ่าบาทแกล้งหม่อมฉัน คนในวังเกลียดหม่อมฉัน หม่อมฉันอยู่ไม่ได้สบายแม้สักวัน หม่อมฉันไม่ใช่นักโทษนะเพคะ หม่อมฉันจะไม่ทนอยู่ในนรกแบบนั้นไปทั้งชาติ!”
พูดจบความเงียบก็ตัดฉับเข้ามา ความกลัวเกรงก็เริ่มคืบคลานกลับมาอีกหน กฤตพรตไม่ได้สวนอะไรกลับมาที่นางเสียงดัง ทว่าดวงตาคมคู่นั้นหันมาสบตรง ๆ แล้วดูดั่งว่ามีเพลิงอยู่ข้างใน วิลาสินีตัวสั่น เจ้าชายหนุ่มเริ่มเอ่ยช้า ๆ
“แล้วเราล่ะ เจ้าไม่คิดหรือว่าพันธะที่มนุษย์คนหนึ่งมี จะทำให้สิ่งที่เขากระทำนั้นกระทบต่อคนอื่น”
ริมฝีปากบางหยักขยับเป็นรอยยิ้มไม่น่ามอง
“เจ้าคงจะลำบากมากในวังของเรา ถึงขั้นที่คิดว่าชอบธรรมพอจะหนีออกมา... หากเราคิดแบบนั้นบ้าง ด้วยงานที่เราทำทุกวันนี้ เสนาบดีไม่ไว้ใจเรา ราษฎรล้วนแต่ว่าร้ายเราจะชิงบัลลังก์ ความลำบากทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้เราทิ้งหน้าที่เจ้าชายไปเสียก็ได้อย่างนั้นหรือ… เจ้าเพิ่งปั้นหน้ามาสั่งสอนเราอยู่เมื่อกี้ว่ามันจะกระทบคนอื่นอย่างไรบ้าง แต่พอเป็นเจ้าเองเล่า หนีออกมาจะทำให้ตาเราถูกกรีดไปข้างหนึ่ง หรือทำให้องครักษ์ต้องโทษสักกี่คน เจ้าจะไม่สนใจหรอกใช่ไหม ตราบที่ได้วิ่งเล่นสนุกในป่าอย่างกวางตัวหนึ่งก็พอ”
น้ำตาของนางไหลลงมา กระซิบแหบแห้ง “พระเนตรของฝ่าบาท...?”
กฤตพรตผ่อนลมหายใจและส่ายหน้า “ช่างเถอะ... เงียบเสียที เราจะนอนแล้ว ไม่ประสงค์จะสนทนากับคนเหลวไหลเช่นเจ้า”
ล้มตัวลงหลังแตะพรมนุ่มเท่านั้น ร่างเล็กกว่าก็ตามมาเอื้อมจับใบหน้าเขาให้หันไปหานางจนกฤตพรตตกใจ ลุกขึ้นมานั่งก็พบว่านางแทบจะมาทับตักเขาแล้ว มือสีน้ำผึ้งทั้งสองข้างแตะอยู่ตรงขมับและข้างแก้มบังคับให้เนตรสองสีสบกันในระยะใกล้ กฤตพรตกัดฟัน
“นี่เจ้า...!”
เขาข่มเสียงหยุดตัวเองไว้ วจีของเจ้าจอมอาคมทุกคนทรงอำนาจเกี่ยวพันกับสัจจะในโลกธรรมชาติ บางครั้งก็เหมือนเป็นดาบเล่มหนึ่ง ฉะนั้นไม่บังควรจะด่าว่าด้วยอารมณ์ เพราะง่ายดายเหลือเกินที่มันจะแปรเป็นคำสาปแช่ง มือใหญ่จึงเพียงปัดมือของนางออกไม่ให้ต้องตัวและดันนางลงไปจากหน้าตัก
วิลาสินีกลับตีแขนเขาเพียะหนึ่ง ยังผลให้กฤตพรตทำเสียงในคอ นี่ล้ำเส้นเกินไปจริง ๆ แล้ว แม้ว่าตีไม่ได้แรงอะไร ทว่าผู้กำเนิดใต้ร่มเศวตฉัตรย่อมถือศักดิ์เกินกว่าจะยอมถูกลงมืออย่างไพร่ทาสและเดรัจฉาน กษัตริย์ทั้งหลายทรงสั่งสอนโอรสธิดาในอุทรอย่างไรก็ไม่ตบตี เจ้าฐิรังกากำข้อมือนางข้างที่ใช้ตีเขาไปเมื่อกี้แน่นจนวิลาสินีร้องเจ็บ
“เจ้าควรจะมีเหตุผลอันประเสริฐที่กล้าตีเรา...วิลาสินี” กฤตพรตว่า เสียงที่เรียบเย็นอยู่แล้วยิ่งไร้ความรู้สึกหนักเข้าไปอีก เหมือนกำลังวางแผนว่าจะโค่นต้นไม้ตัดถนนตรงที่ใด มิใช่กล่าวคำต่ออิสตรี นางใช้มือข้างที่เป็นอิสระแกะมือเขาแต่ก็ไร้ผล “พูดมาว่าตีเราด้วยเหตุใด แล้วเราจะพิจารณาว่าควรหักข้อมือนี้ทิ้งหรือไม่”
“หม่อมฉันจะตีอีก! ก็ฝ่าบาททำมายาบังดวงตาไว้ทำไม!”เสียงแหลมร้องสู้ พยายามจะมองตาเขาอยู่ทั้งที่น้ำตาหลั่งไหลจนภาพชายหนุ่มพร่าเลือน “ถ้าหม่อมฉันมีโทษผิด ก็ขอทรงแสดงให้เห็นเลยว่าหม่อมฉันทำสิ่งใดลงไป ตรัสให้ช่างมัน จะช่างได้ไฉนเพคะ! ฮึก...ทรงเข้าพระทัยว่าหม่อมฉันไม่ห่วงฝ่าบาทหรือ ม..หม่อมฉันไม่เคยอยากให้พระองค์เจ็บ... ยิ่งพระเนตร...ถ้าฝ่าบาทพระเนตรบอดไปเพราะหม่อมฉัน..อึ๊ก..หม่อมฉันจะทนได้ยังไง!? ฝ่าบาทดำริว่าหม่อมฉันไม่สนใจหรือเพคะ!?”
วิลาสินีพูดไปก็กลายเป็นสะอึกสะอื้น ก้มหน้าลงร้องไห้ กฤตพรตปล่อยข้อมือเล็กขณะที่เห็นน้ำตาของนางร่วงไม่หยุดแล้วเสียดแปลบในทรวง ร่างเพรียวเคลื่อนมาใกล้อีกอย่างไม่รู้จักเข็ด ปลายนิ้วสั่นเทาของนางแตะลงตามขมับและรอบดวงตาของเขา เพียรจะหาร่องรอยที่อาจจะรู้ได้จากสัมผัสแม้ว่าจะถูกภาพมายาบังไว้ แต่ก็หาไม่เจอว่าบาดเจ็บที่ตรงไหน นางก็ยิ่งร้อง
พี่ชายคนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ในใจนางยังเห็นเงาของเขาอยู่ ที่รู้สึกแย่เพราะเขาทำเหมือนนางจงใจทำร้าย เพราะว่าเขาโกรธ... วิลาสินีไม่คิดว่าตนเองเคยถูกโกรธเกลียดโดยคนคนนี้ ไม่เคยอยากให้เขาเจ็บปวด
กฤตพรตหยุดมือของนางไว้อีกครั้ง เอ่ยอย่างออกจะอ่อนใจ “พอแล้ว ไม่ต้องจับ ดูเฉย ๆ ”
นัยน์ตาสีนิลปิดลงขณะที่วิลาสินีจ้องมอง เปลือกตาประดับขนตายาวตรงของชายหนุ่มขยับไหว จากนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ตาข้างซ้ายของเขาส่วนที่เป็นตาขาวกลายเป็นสีโลหิตขณะที่เนื้อเยื่อรอบ ๆ คล้ำแดง วิลาสินีหน้าซีดเผือด ไม่ทันได้พูดอะไรเจ้าชายหนุ่มก็หลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นใหม่ภาพมายาก็กลับมาอีกครั้ง กลายเป็นดวงตาที่ดูปกติสมบูรณ์ดังเดิม
“พอใจหรือยัง... นอนได้แล้ว พรุ่งนี้เราจะพาเจ้ากลับวัง”
หน้าตักกลับต้องรับมือที่พนมลงไปกราบ กฤตพรตเกินจะทำใจไม้ไส้ระกำกับเสียงสะอื้นของหญิงสาว จึงแบมือไปรองรับไหว้ น้ำตาดั่งไข่มุกของนางร่วงลงมาในฝ่ามือเขา
“ฝ่าบาทจะโปรดให้หม่อมฉันทำอะไรก็ได้..ฮึก..หม่อมฉัน..หม่อมฉันเสียใจ...”
“เสียใจหรือ...” เขาหยั่งเสียง “เสียใจแล้วเหตุใดตั้งแต่พบกัน เรายังไม่ได้ยินคำว่าขอโทษ”
ดวงหน้าแฉล้มที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นมอง สบกับเนตรนิลคมปลาบที่ข้างหนึ่งเป็นเพียงมายา... ที่แท้ความขุ่นเคืองของกฤตพรตอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ที่นางทำให้เขาบาดเจ็บ ป่วยไข้ หรือเสียเวลาตามมา แต่ตรงที่นางไม่สำนึกขออภัยให้ถูกต้อง ทำดั่งความผิดของตนเป็นเรื่องเล่น
“...ข..ขอประทานอภัยเพคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว “หม่อมฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
มือใหญ่ที่รับไหว้ขยับขึ้นกุมมือพนมของนางไว้และบีบเบา ๆ จากนั้นจึงแตะไหล่มนให้ลุกขึ้นนั่งจากท่าหมอบกราน “ดี เราให้อภัย” เสียงทุ้มอ่อนโยนลงเล็กน้อย สำหรับคนทั่วไปคงไม่พบความต่าง แต่วิลาสินีรู้สึกได้ด้วยเป็นน้ำเสียงที่นางรู้จัก “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ตาช้ำไปหมด... เราไม่โกรธเจ้าแล้ว เราจะไม่โกรธองครักษ์ด้วย”
แปลก น้ำตากลับไหลลงมาอีกขณะที่นางพยักหน้า สะอื้นไห้อยู่หลายอึกในคอ นางรู้สึกดั่งตนเองเป็นเด็กเหลวไหลนักอย่างกฤตพรตว่าจริง ๆ ได้รับการอภัยง่าย ๆ เช่นนี้ไม่สาสมสักเท่าไร บุรุษเช่นกฤตพรตถึงจะดูดุเย็นชา แต่เนื้อในก็ใจอ่อนใจดี ทำนางเสียนิสัย หากเจ้าชายหนุ่มให้นางทำอะไรไถ่โทษคงจะไม่รู้สึกอย่างนี้
“เจ็บมากไหมเพคะ” นางถามอ่อย ๆ ขณะปาดน้ำตา “แล้วฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ได้ยังไง หม่อมฉันนึกว่าจะประทับอยู่กับท่านพ่อ”
“นกกินปลีบินมาบอกเรา เรามาถึงพระอาจารย์ก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว คงจะไปที่วิหาร” อีกฝ่ายเลี่ยงคำถามแรกไปโดยสิ้นเชิง ยกข้อมือซ้ายขึ้นแล้วเริ่มคลายอาคม ดึงหางเปียแก้ปมที่พันไว้อย่างระมัดระวัง “มีนกแซงแซวตกรังอยู่ที่ต้นมะม่วงนี่ เราเลยมาช้อนไปส่งคืนรัง” หางเปียเลื่อนหลุดกลับไปทิ้งตัวลากพื้นอยู่ที่หลังของหญิงสาว กฤตพรตถูข้อมือเบา ๆ และมองนาง “รีบนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องกลับวัง มีเรื่องต้องทำอีกมาก”
“แล้วสงครามกับญานปุตต์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
วิลาสินีถามขณะขดตัวนอนตะแคงราวกับลูกแมว แต่ตาสีเขียวส่องที่แดงจากการร้องไห้ยังเปิดแป๋วไม่มีทีท่าจะหลับง่าย ๆ ตรงข้ามกับกฤตพรตที่ดูเหนื่อย ร่างสูงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางขวาวางอาคมสี่จุดริมผ้ากระโจม จากนั้นก็กางม่านสีขาวบาง ๆ ดุจกำเนิดจากอากาศ ทำเป็นฉากกั้นตรงกลางระหว่างเขากับหญิงสาว พร้อม ๆ กับที่เอนตัวลงนอนเหมือนอยากหลับเต็มที
“แทบจะยังไม่ได้ปะทะกัน” เขาตอบสั้น ๆ “ราตรีสวัสดิ์”
“ฝ่าบาท...จะไม่บรรทมบนตักหม่อมฉันจริง ๆ หรือเพคะ”
คำถามจากคนอยากชดใช้ความผิด แต่ฟังแล้วกลับเหมือนคนรักออดอ้อนกัน จนกฤตพรตต้องเลื่อนสายตาไปพินิจดูนางเนิ่นนานผ่านผ้าม่าน หญิงสาวไม่ได้มีท่าทียั่วยวนใคร่จะเกี้ยวหนุ่มกลางป่าแต่อย่างใด ถามอย่างออกจะรู้สึกผิดมากกว่า
เสียงทุ้มของชายหนุ่มย้อนไป “เช่นนั้นเจ้าจะหลับได้หรือไร”
วิลาสินีส่ายหน้าไหว ๆ อยู่อีกฟากของม่าน เห็นเช่นนั้นกฤตพรตก็ละสายตามานอนหงาย ยกแขนขึ้นข้างหนึ่งหนุนมือใต้ศีรษะต่างหมอน ระบายลมหายใจยาว กระนั้นได้ยินเสียงแหลมเอ่ยมาอีก
“งั้น...ถ้าทรงเป็นอะไรไปต้องตรัสเรียกหม่อมฉันนะเพคะ”
ริมฝีปากหยักผุดรอยยิ้มจาง “อืม นอนเถอะ”
***
นภายามอุษาสางยังคงโปรยปรายพรรโษทกบนผ้าใบกระโจมดังเปาะแปะ ร่างสูงลืมตา เพราะขยับตัวแล้วรู้สึกว่ามีอะไรมาเบียดแขน ไออุ่นซ่านผ่านม่านขาวบางมาพร้อมกับเข่าที่จิ้มจึ้ก ๆ อยู่กับขาเขา
แม่สาวน้อยจอมดิ้นกลิ้งมาซุกเสียจนม่านที่กั้นกลางยับตึงเปรี๊ยะ เตะเขาเข้าอีกด้วย หากว่าเป็นม่านลูกไม้แขวนของจริงที่ไม่ได้รังสรรค์จากเวทมันคงจะขาดหลุดลงมาแล้ว ไม่ก็ตัวนางนั่นแหละจะกลิ้งหลุน ๆ ลอดม่านทะลุมาทับเขาแบนเสียกระมัง
กฤตพรตรู้สึกคล้ายจะหัวเราะขึ้นมาในคอแต่ก็เงียบไว้ สอดมือเลื่อนกายหญิงสาวไปนอนดี ๆ ในพื้นที่ฝั่งตัวเองผ่านผ้าม่าน จะอ้าปากน้ำลายไหลหรือส่าหรีหลุดลุ่ยอย่างไรก็ตาม เมื่อคั่นปิดด้วยม่านแล้วก็ถือเสมือนว่าเขามองไม่เห็น จะไม่นำไปล้อเลียนให้ได้อาย
นัยน์ตาซ้ายหลับปิดไว้เป็นเวลานานเมื่อเปิดอีกครั้งก็แสบเป็นฝ้า กะพริบอยู่หลายทีค่อยมองเห็น มันคงจะอักเสบ แต่ร่างกายนอกนั้นกฤตพรตรู้สึกดีขึ้นแล้ว จะว่าไปกฤตพรตเคยผ่านที่สาหัสกว่านี้มาเยอะ แต่เป็นด้วยศัตรูต่าง ๆ เล่นงาน ไม่ใช่โดนฤทธิ์อำนาจวจีตัวเองเป็นผีซ้ำด้ำพลอยอย่างรอบนี้ เขาดับดวงไฟเหนือศีรษะ เอื้อมไปแหวกผ้าประตูของกระโจมแล้วมอง ๆ สำรวจอยู่สักพัก ไม่นานก็ปลดผ้าทรงจากอังสาและลุกออกไป
วิลาสินีรู้สึกตัวตื่นก็เห็นเพดานกระโจมสีขาวมีจุดขึงอยู่ตรงกลาง นัยน์ตาสีเขียวสะลึมสะลือกะพริบช้า ๆ เพดานรูปกังหันของกระโจมน้อยนี้ดูคุ้นตา
มันไม่สวยงามโอ่อ่าอย่างกระโจมสยุมพรเมื่อครั้งเหล่าเจ้าชายเมืองต่าง ๆ ร่วมกันนิรมิตมอบให้นาง พื้นที่ปูพรมกลมภายในของกระโจมนี้วัดได้น่าจะเท่าเตียงใหญ่หลังหนึ่งเท่านั้น เป็นที่พักแบบพื้นฐาน ที่นักสิทธิ์วิทยาธรเยาว์วัยก็สร้างได้ง่าย ๆ
ฝ่ามือเรียวลูบไปบนพื้นพรม หลับตาลงอีกครั้ง ตอนเด็กนางจำได้ว่าเจ้ารัชตะเคยเสกกระโจมแบบคล้าย ๆ อย่างนี้ในทุ่งหญ้า แล้วบรรดาเจ้าราชกุมารทั้งหลายก็เข้าไปนั่งเล่นหมากรุกกันสบายไม่ร้อนแดด นางเองก็มุดเข้าไปเล่นด้วย... เป็นเพราะมันเตือนให้นางระลึกถึงกระโจมของของรัชตะหรือเปล่านะ นางถึงได้คุ้นกับผิวพรมและเพดานกระโจมนี้ กับมวลอากาศที่นิ่งสงบราวกับเป็นอีกมิติหนึ่งซึ่งตัดขาดจากเสียงฝนภายนอก
ประตูกระโจมเปิดออก วิลาสินีลืมตา กฤตพรตโผล่เข้ามาโบกมือให้ม่านขาวสลายไป
“ตื่นแล้วหรือ... ตื่นแล้วก็ลุกเถิด”
หญิงสาวเบิกตากว้าง ห้วงเวลาจากมิติพิสดารที่ไม่ปรากฏอยู่แทรกซ้อนเข้ามาในโลกความเป็นจริง เหมือนคนบ้าเทสีสาดใส่รูปเขียนที่จิตรกรประจงแกล้งวาด หัวใจเต้นสั่นจนรู้สึกจะเป็นลมสิ้นสมประดี ภาพกระโจมหมุนเอียง มือของนางผวาไปจับมือของเจ้าชายหนุ่ม เพียรจะเกาะยึดอะไรที่มั่นคงอยู่ในความจริงต่อหน้า
“ฝ่าบาท...” วิลาสินีหลับตาลงตั้งสติ ทุกอย่างกลับเป็นปกติอีกครั้ง นางลืมตา กฤตพรตดูกังวลขณะขยับเข้ามาใกล้ ยังไม่ทันที่เขาเอ่ยกระไร นางก็ชิงถาม “หม่อมฉัน...เคยนอนในกระโจมของฝ่าบาทมาก่อนไหมเพคะ”
กฤตพรตเลิกคิ้ว มุมปากคล้ายจะยกยิ้มขำ “...ก็เมื่อคืน?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ” ร่างเพรียวถอนใจเฮือก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองอยากจะถามอะไร กฤตพรตดูจะเข้าใจว่านางไม่สร่างนิทรา จึงเปิดประตูกระโจมไล่ให้คนไม่ตื่นดีออกไปล้างหน้าล้างตา หญิงสาวกลับเข้ามาในกระโจมอีกครั้งเจ้าฐิรังกาก็ส่งส่าหรีปักลายดอกรังสีแดงกับผ้าคลุมผมเดินดิ้นทองมาให้
“โอ้โห! ฝ่าบาททรงเสกของได้ถึงขนาดนี้เชียว ทรงพระปรีชาสามารถกว่ากรมทอกรมปักแพรพรรณในวังหลังอีกเพคะ” วิลาสินีตาโต สะบัดส่าหรีพลิกดูซ้ายขวา กฤตพรตหัวเราะเบา ๆ ดูเหมือนลูกสาวพระฤๅษีจะเข้าใจผิดว่าทุกอย่างสามารถเสกกลั่นออกมาดิบ ๆ เหมือนจุฑาธาตุที่นางเสกเป็น
“เราจะไปเก่งกว่าพวกนางได้ฉันใด” เขาตอบ “เราแค่ ‘เรียก’ ของมาจากวัง”
ชายหนุ่มอธิบายอย่างไม่ผิดความจริงนัก เจ้าจอมอาคมในยุคนั้นแทบไม่มีใครประกอบสสารธาตุขึ้นมาเป็นวัตถุเองแล้ว เพียงแต่ใช้อำนาจยักย้ายวัตถุที่มีอยู่ในโลกให้มาปรากฏในที่สถานที่และเวลาที่ตนต้องการเท่านั้น สำหรับกฤตพรตมันไม่ต่างจากการเรียกนามสัตว์หรือมนุษย์ให้เข้ามาหา เขาจึงใช้คำว่าเรียกของ อย่างไรก็ตาม เจ้าจอมอาคมแต่ละคนใช้คำเปรียบเทียบวิธีนี้เป็นกิริยาอื่นแตกต่างกันไป วิลาสินีไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงเอียงคอ กะพริบตาปริบ ๆ แล้วยิ้มหวาน
“ทรงสอนหม่อมฉันบ้างสิเพคะ เรียกของได้เนี่ย ทำอะไรคงสะดวกขึ้นเยอะเลยนะ” เสียงแหลมเอ่ยอย่างกระตือรือร้น กฤตพรตนึกขึ้นได้จึงว่า
“เราว่าจะถามอยู่พอดี เจ้าไม่รู้สันสกฤตโบราณไม่ใช่หรือ” แม้วิลาสินีจะแอบมาดูเวลาเจ้าชายเล่าเรียนกับพระฤๅษีบ้าง แต่อย่างมากก็ครูพักลักจำเป็นคำง่าย ๆ ด้วยเกิดเป็นหญิง จึงไม่จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ลึกซึ้งอยู่แล้วหากไม่ปรารถนา วิลาสินีก็ไม่ได้ขยันรักเรียนนักอยู่แล้ว “เรียกสัตว์อย่างน้อยก็ต้องใช้นามที่แท้จริงของมันในยุคพระเวท ไฉนเจ้าจึงสนทนากับพวกมันได้”
นกกินปลีบอกกฤตพรตที่วังไม่พอ กวางก็บอกเช่นเดียวกันอีกว่าคุยกับวิลาสินี กฤตพรตจึงสงสัย แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวส่ายหน้าหวือ หัวเราะว่า
“โถ หม่อมฉันไม่เคยใช้นามอะไรหรอกเพคะ ก็พูดปกตินี่แหละ จะไปรู้ภาษาสัตว์ได้ยังไงกันเพคะ สันสกฤตหม่อมฉันก็ไม่ได้เรียน” นางยักไหล่ “กับพวกกวาง หม่อมฉันคงอยู่ด้วยเยอะจนเหมือนลูกฝูงแล้วมั้งเพคะ ฝ่าบาท... เหมือนพวกมันเข้าใจว่าหม่อมฉันรู้สึกยังไง ต้องการอะไร ถึงเป็นคนด้วยกัน อยู่ด้วยกันบ่อย ไม่ต้องพูดอะไรก็คงรู้เหมือนกัน”
กฤตพรตเงียบไปเล็กน้อย ไม่แน่นัก หญิงสาวอยู่กับพวกกวางตั้งแต่เด็ก เขาคะเนว่าส่วนหนึ่งของนางอาจจะสื่อสารกับพวกมันได้เหมือนเป็นภาษาธรรมชาติหรือภาษาแม่ โดยไม่รู้ตัวว่านั่นเองคือสันสกฤตแห่งยุคพระเวท ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงทางวาจา เลือดฤๅษีของนางมีอำนาจสถิตอยู่
“อืม เรียกของไม่ง่าย” ร่างสูงกล่าวนุ่มนวล “ถ้าเจ้ารู้สันสกฤตโบราณ เรียกสัตว์ทั้งปวงได้ถูกต้องก่อน ต่อไปจึงจะเรียกพืช เรียกของได้ ไว้เราจะเอาหนังสือฝึกหัดดี ๆ มาให้เจ้า”
“อ๋า... หม่อมฉันเข้าใจเพคะ ของไม่มีวิญญาณก็ต้องเรียกยากกว่า ไม่เป็นไรเพคะ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” วิลาสินีถอนใจ จัดผ้าคลุมผมให้เรียบร้อยและใช้นิ้วยัดปอยที่ชอบชี้ออกมาตรงหน้าผากเข้าไป “หม่อมฉันโง่จริง ๆ เล้ย... น่าจะขอเรียนสันสกฤตเก่าไปพร้อมกับพวกฝ่าบาทตั้งแต่เด็ก ๆ แหม่! ป่านนี้เป็นโยคินีชื่อดังแห่งภาคใต้ ตั้งศาลของตัวเองแล้วมั้ง สันหลังยาวก็ต้องมาลำบากอย่างนี้เอง” บุตรีฤๅษีตบเข่าหัวเราะคึ่ก ๆ กฤตพรตหัวเราะตาม
“แม่นางผู้เจริญเอย เป็นเช่นนี้แหละดีแล้ว เราเกรงว่าจะต้องให้คนมาปราบนะ หากว่ามีนางโยคินีพิลึกตั้งศาลลัทธินอกรีตประกาศแก่ผู้คน”
“เอ้า! หม่อมฉันเสียดายจริง ๆ นะเพคะ ใครจะรู้เล่าว่ามีเวทวิทยาแล้วหม่อมฉันจะทำอะไรได้บ้าง” ดวงหน้านวลใสมุ่ยลงนิดหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มมองนางแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ความจริงเจ้าเป็นหญิงงาม แม้นรู้ศิลปะระบำดนตรี และรักษากิริยามารยาทเท่านั้น อยากจะเหยียบจักรวรรดิไว้ใต้ฝ่าเท้าก็ไม่ยากเย็น”
พลอยเขียวส่องทั้งสองข้างตวัดมามองเขาทันที จากนั้นเรียวปากอิ่มก็ยิ้มเผล่
“หืม... ดูตรัสเข้าสิ ฝ่าบาทท่าทางจะโปรดผู้หญิงเรียบร้อย ๆ มาระบำรำฟ้อนให้ทอดพระเนตรจริง ๆ นะเพคะ หม่อมฉันอยู่วังได้ยินแต่ว่านางรำและนักดนตรีของตำหนักฝ่าบาทเลิศที่สุด ถ้าสมมติหญิงงามแบบหม่อมฉันรำบ้าง ฝ่าบาทจะโปรดมากพอประทานพระราชานุญาตให้หม่อมฉันมาอยู่ป่าบ่อย ๆ ไหมเพคะ”
นางทำหน้าทำตาอ้อนด้วยว่าเกลียดวังหลังเข้าไส้ กฤตพรตกลับแสร้งทำหน้าตาย ยกมือห้ามและพูดเรียบ ๆ
“บางทีหญิงงามที่กระโดกกระเดก เราว่าอยู่นิ่ง ๆ จะน่าชมกว่า”
“ฝ่าบาท!”
ทั้งสองเดินลงจากชั้นน้ำตกที่สูงกว่าลัดเลาะมาด้านล่าง ฝนยังตกอยู่เม็ดสองเม็ด พื้นดินมีน้ำขังเต็มไปด้วยแมลงและสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ กฤตพรตจึงเปลี่ยนมาเดินนำหน้าแทนที่จะคอยดูนางอยู่ในสายตาเบื้องหลัง วิลาสินีไปร่ำลาฝูงกวางและทอดถอนใจ แม่กวางคลอดลูกกวางตัวน้อยน่ารักเพศเมีย หากนางอยู่ในป่าคงจะได้เล่นด้วยทุกวันดั่งน้องสาว ต้นทับทิมของนางก็เพิ่งงอกสูงแค่ศอกหนึ่ง น่ากลัวจะมีตัวอะไรมากัดกินเสียก่อนจะโต หากนางอยู่ที่นี่ก็จะได้บำรุงเลี้ยง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อยากกลับ
ต่อเมื่อเดินมาถึงอาศรม วิลาสินีที่กำลังเศร้าซึมก็ตกใจที่เห็นรถม้าทรงกับทหารอีกราวสี่สิบนายมายืนยามแน่นขนัด ธงธวัชฐิรังกาเปียกลู่ บ่งบอกว่าพวกเขามาคอยท่าอยู่นานพอสมควรแล้ว เจ้าสินธพดำของกฤตพรตมีคนอารักขาให้น้ำให้หญ้าอย่างดี ทุกคนพอเห็นเจ้ากฤตพรตก็รีบคุกเข่าถวายบังคมพร้อมเพรียงกัน
“ถวายพระพรฝ่าบาท พระวรชายา”
เสียงกึกก้องนั้นทำให้วิลาสินีขนลุก นกที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ก็ตื่นเสียงดังบินหนีเหมือนกัน กฤตพรตยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณตอบรับ นายกองที่อยู่หน้าสุดเหลือบเห็นแล้วจึงเข้ามากราบทูล ลดสายตาไม่กล้าดูหน้าทั้งสอง
“ทูลฝ่าบาท ใต้ฝ่าละอองพระบาทรามราเมศมีพระราชโองการ ให้พวกเกล้ากระหม่อมมากราบทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จกลับโดยเร็ว เจ้าแผ่นดินประเทศราชต่าง ๆ จะเสด็จมาประชุมกันที่พระราชวังหน้าในสามวัน มีบางนครที่แปรพักตร์ไปสวามิภักดิ์กับญานปุตต์พะย่ะค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มหรี่ตา เขาพอเดาได้อยู่ว่าคงจะเป็นหมู่เกาะที่ชาติพันธุ์ต่างกับฐิรังกา รัฐกันชนเหล่านี้ย้ายข้างอยู่เสมอจนยากจะไว้ใจ เขาเคยเสนอให้ส่งคนจากฐิรังกาไปปกครองแทนเจ้าพื้นถิ่นและเปลี่ยนศาสนาชาวเมือง แต่กระนั้นรามราเมศไม่เห็นชอบ “ศัตรุตอยู่ที่ใด”
“ทูลฝ่าบาท ยังประทับอยู่ที่พระราชวังพะย่ะค่ะ”
กฤตพรตพยักหน้า หันมาหาวิลาสินีที่ยืนเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง จับมือนางสัมผัสแค่ที่ข้อนิ้วเป็นเชิงชวนขึ้นราชรถ “จอมขวัญ ขอเจ้ากลับวังไปกับพี่”
วิลาสินีจำต้องปล่อยอีกฝ่ายจูงนางขึ้นรถทรงอย่างสงบเสงี่ยมราวกับว่าเกิดมาไม่เคยจะก้าวขากางออกจากกัน เดินไปก็นึกขำตัวเองพอ ๆ กับที่แววตาสีนิลไหวระริกขำนางแม้ว่าจะทำหน้านิ่ง โชคดีที่รถทรงนี้ทำเป็นทรงบุษบกมีผนังไม้พับปิดได้ ไม่เปิดโล่งเป็นช่อง พอกฤตพรตขึ้นมานั่งข้างและปิดม่านอีกชั้น วิลาสินีเลยไม่ต้องวางท่าเกร็งไปจนถึงที่ สาวน้อยแนบมือข้างหนึ่งกับแผ่นไม้และรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร เมื่อเป็นยานพาหนะที่มีล้อแล้วมันก็เหมือนกับเกวียนนั่นแหละ กฤตพรตดูโล่งอกที่เหตุการณ์อย่างตอนนั่งวอสุวรรณไม่กลับมาซ้ำอีก
วิลาสินีหันมาอมยิ้ม เป็นห่วงแต่ก็แกล้งทำตลกว่า “เจ้าพี่สุดเสน่หาของหม่อมฉัน ยังประชวรอยู่หรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะดูแผลให้” นางชี้ที่ตา แตะหน้าผากเขาวัดไข้ ร่างสูงกระตุกยิ้ม
“ไกลหัวใจน่ะ” เขาหยุดมือหญิงสาวที่ทำท่าจะเป็นนางละครขึ้นทุกที “ทำเป็นเล่นไป ดูก่อน เดี๋ยวพอเจ้าชายจากเมืองต่าง ๆ มาเข้าเฝ้า เจ้าจะได้ทำหน้าที่ชายาของเราสมใจเป็นแน่”
วิลาสินีหุบยิ้มฉับ “หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“ยามออกท้องพระโรงต่อหน้าธารกำนัลต่างเมือง เจ้าจะปล่อยแท่นวรชายาของเราว่างเปล่าหรือ”
ฟังแล้วชายาสยุมพรแห่งเจ้าวงศ์อัศวินลำดับหนึ่งก็สังหรณ์ใจหนัก ปวดหัวขึ้นมาทันทีว่ากลับวังรอบนี้ มันเห็นท่าจะคับที่อยู่ยากยิ่งกว่ารอบแรกแน่แท้เทียว