บท
ตั้งค่า

ขยับวงโคจร (1)

สองแม่ลูกพากันเข้ามาในตัวจังหวัดอีกครั้ง แม้เวลานัดจะเป็นเวลาสิบโมงแต่ทั้งสองกลับมาถึงที่หมายตั้งแต่เก้าโมง วาดดาวเคลื่อนรถมาจอดบริเวณโรงจอดรถของพนักงาน ด้วยยังไม่ใช่ปลายเดือน ยังไม่เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ แดดที่ส่องลงมานั้นนับว่าแรงพอสมควร ระหว่างรอมลุลีก็ลงไปนั่งๆ ยืนๆ อยู่ข้างรถ ลอบมองรอบๆ อย่างใคร่รู้ เพราะมีโอกาสสูงนักที่เธอจะได้เข้ามาทำงานที่นี่

มลุลีลากสายตาเลยไปยังตึกรามบ้านช่องรอบข้าง “แถวนี้เหมือนจะไม่มีหอเลยแฮะ”

“ทำที่อื่นไหม เดี๋ยวแม่ช่วยหา”

บุตรสาวหัวเราะน้อยๆ ให้กับความขี้หวงของมารดา “ที่นี่แหละแม่ แค่อาจจะต้องพักไกลหน่อย”

วาดดาวมิวายบ่นไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนหวงลูก จนกระทั่งจวนจะถึงเวลานัด สายตาสองคู่ก็สบเข้ากับซีดานหรูสัญชาติยุโรปแล่นเข้ามาจอดเทียบอยู่ข้างกัน

เครื่องยนต์ดับลง ประตูรถถูกเปิดออก ขายาวภายใต้กางเกงสแล็กวาดออกมาเพื่อจรดปลายเท้าลงพื้น ร่างสมส่วนยันกายยืนขึ้นพร้อมมือหนาเอื้อมไปดันประตูให้ปิดลง ชายหนุ่มในชุดเรียบร้อยท่าทีสุขุมสาวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง

เสียงทุ้มที่มลุลีพอจะจำได้ดังขึ้น “สวัสดีครับ”

คนที่เธอเพิ่งคุยผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวานนั่นเอง

หญิงสาวรีบยกมือไหว้อย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ มิ้มนะคะ มาตามนัดของคุณ” เธอพยายามฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร แล้วจึงกล่าวเสริม “เมื่อวานมิ้มเป็นคนโทร. มาที่คุณค่ะ”

“ครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มธุรกิจให้คู่สนทนา ไม่ลืมเผื่อแผ่ไปถึงหญิงวัยกลางคนด้านหลังด้วย “เชิญด้านในเลยครับ”

ร่างสูงหมุนตัวหวังจะเดินเข้าไปภายในร้าน ทว่าเสียงของใครบางคนกลับรั้งไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวค่ะ”

ชายหนุ่มเหลียวหลังไปมอง “ครับ?”

“น้าขอเข้าไปด้วยได้ไหมคะ”

“อ้อ เชิญเลยครับ”

ทั้งสามจึงเดินเข้าไปข้างใน โดยที่คนอายุน้อยกว่าใครเพื่อนก็สอดส่องสายตามองสิ่งรอบข้างอยู่ตลอด พบว่าร่ำเมรัยถือเป็นร้านขนาดใหญ่เลยทีเดียว มีเวทีสำหรับแสดงดนตรีสด มีโต๊ะละลานตา โดยรวมก็เป็นร้านเหล้าร้านหนึ่ง

เธอก้าวเดินตามเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ในห้องทำงานของเจ้าตัว เขาผายมือไปที่เก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับโต๊ะทำงาน เธอนั่งลงตามคำเชิญชวน โดยที่ผู้เป็นแม่ก็เลือกจะนั่งลงที่โซฟา เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการคุยธุระของเธอและเขา

รอยยิ้มธุรกิจยังคงถูกส่งมาให้หญิงสาว “ผมดินนะครับ เป็นผู้จัดการของร้านนี้”

ริมฝีปากบางถูกเบนออก ก่อนครางรับในลำคอ “อ้อ” แม้จะรู้สึกผิดคาดจากที่เดาไว้ เห็นรถที่ขับ ซ้ำยังแต่งตัวภูมิฐาน ท่าทีของเขาแลสุขุมนุ่มลึก กลิ่นกายหอมเหมือนแมกไม้จนติดอยู่ที่ปลายจมูก ทั้งหมดนี้ทำให้เธอเผลอคิดไปว่าเขาเป็นเจ้าของร่ำเมรัย

ผู้จัดการยังรวยขนาดนี้ เจ้าของคงยิ่งกว่า กระนั้นแล้วเธอหวังเหลือเกินว่าเงินเดือนจะดี ไม่กดขี่กันเกินไป

มลุลีดึงสติกลับมาที่เรื่องตรงหน้า แทนที่จะเป็นกลิ่นหอมที่ลอยปะทะจมูก “สวัสดีค่ะคุณดิน หนูมิ้มนะคะ”

ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงครั้งสองครั้ง “คุณเคยเป็นพนักงานเสิร์ฟมาก่อนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ค่ะ” เขานิ่ง เธอก็นิ่ง ใบหน้าหวานเจื่อนลงเล็กน้อย “เอ่อ รับแค่คนมีประสบการณ์เหรอคะ”

ผู้จัดการหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย “ฝึกกันได้ครับ”

เกือบครึ่งชั่วโมงที่เธอและเขาพูดคุยกันในเรื่องของการทำงาน รวมไปถึงการทำสัญญาต่างๆ แลกช่องทางติดต่อเพื่อสะดวกต่อการทำงานในร้านแห่งนี้

ในที่สุด เธอก็มีงานทำ

ชายหนุ่มเดินมาส่งถึงรถ “ที่บอกว่าบ้านอยู่ปากพลีแล้วจะมาทำงานยังไงเหรอครับ จะไปกลับหรือว่าพักที่นี่”

เธอหันไปหาผู้จัดการ “เดี๋ยวมิ้มจะไปหาหอแถวๆ นี้ดูค่ะ ไม่ได้กลับไปนอนที่บ้าน”

“ยังไม่ได้หาเหรอครับ”

“...ค่ะ” สาวเจ้ากะพริบตามองผู้พูด เธอเพิ่งจะได้งาน จะหาหอก่อนมีงานทำได้อย่างไร พ่อคนนี้ก็ถามแปลก

“ที่จริงพนักงานส่วนมากของที่ร้านก็เป็นคนที่อื่น ผมรู้มาว่าพวกเขาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มๆ”

มลุลียิ้มแหย “มิ้มไม่ค่อยสะดวกแชร์ที่พักกับใครค่ะ”

“ครับ อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะบางส่วนก็น่าจะเป็นแบบคุณ พวกเขาเช่าห้องพักอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เดินทางประมาณหกถึงเจ็ดนาทีก็ถึงที่ร้านแล้ว ถ้าคุณสนใจเดี๋ยวผมจะบอกทางให้”

แน่นอนว่ามลุลีสนใจ หลังชายหนุ่มบอกทางเรียบร้อย เธอและมารดาก็พากันไปยังที่หมาย เป็นอาคารสี่ชั้น ห้องชั้นบนสุดว่างอยู่สองห้อง ไม่ต่างกับชั้นอื่นๆ ที่มีห้องว่าง เธออยากอยู่ชั้นแรกเพราะคิดว่านั่นค่อนข้างสะดวก แต่แม่ไม่ยอม เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ให้เธออยู่ชั้นสูงๆ เพราะคิดว่าชั้นล่างมักจะเกิดอันตรายได้หากมีใครปีนเข้ามา ตอนนี้แม่ก็ยังคงไม่ไว้วางใจ

แต่ให้ตายเถอะ มันไม่มีลิฟต์

“แม่ ถ้าอย่างนั้นชั้นสองได้ไหม มิ้มไม่อยากเดินขึ้นบันไดเยอะๆ”

“แต่ชั้นสี่มันปลอดภัยกว่านะลูก”

บุตรสาวแสร้งเบะปากใส่บุพการี “อยากอยู่ชั้นสอง” อันที่จริงอยากอยู่ชั้นแรกด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจว่าถอยคนละก้าวเป็นอย่างไร ในเมื่อชั้นหนึ่งทำให้แม่ไม่สบายใจ ชั้นสี่เธอก็สู้รบปรบมือกับขั้นบันไดไม่ไหว เหลือเพียงสองและสาม และอยู่สามมันจะต่างอะไรกับชั้นบนสุด “นะแม่ ชั้นสองก็ไม่แย่ แม่เห็นไหมล่ะ หน้าหอมีรปภ. จะเข้ามาในนี้ก็ต้องใช้คีย์การ์ด ความปลอดภัยสูงออก รอบๆ หอก็มีรั้ว”

แล้ววาดดาวจะเอาอะไรไปสู้

มลุลีได้เริ่มงานพรุ่งนี้ เข้างานตั้งแต่หกโมงครึ่ง จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อเปิดร้านในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เลิกงานไม่เกินตีสอง สำหรับเธอได้หยุดทุกวันอังคาร เงินเดือนทำเอาตาลุกวาว หกวันต่อสัปดาห์ก็สู้ไหว

ทว่าพรุ่งนี้เธอต้องเข้าไปก่อนเวลาเพื่อไปรับยูนิฟอร์มของทางร้าน วันนี้หัวแก้วหัวแหวนของบ้านวรสุวรรณจึงกลับไปนอนที่บ้าน นำข่าวดีไปอวดตายายเหมือนเด็กบ้าเห่อ

ลำพังตัวเองแล้วเธอไม่มีพันธะอะไรมากมายนัก ของที่อยากได้ก็ไม่ค่อยมี ทุกอย่างที่เธอต้องการมารดาสรรหาให้ครบ มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่ไม่กระเหี้ยนกระหือรือจะครอบครอง แม่ก็ซื้อให้ เครื่องมือสื่อสารของเธอค่อนข้างตามทันโลก ในขณะที่แม่ใช้เครื่องไม่กี่พัน บอกให้ซื้อใหม่ก็พูดแค่ว่ายังใช้ได้ ครั้นเธอจะยกเครื่องของตัวเองให้ก็ไม่เอา

ด้วยเหตุนั้น เธอจะยังคงใช้ชีวิตอันเรียบง่ายของตนต่อไป และเก็บเงินเพื่อช่วยจุนเจือครอบครัว แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ตายายจะได้สบายกว่าที่เป็นอยู่

หญิงสาวใช้เวลาจัดเตรียมข้าวของอยู่ครึ่งค่อนคืน เลือกที่จะใช้ของเดิมที่มีอยู่แทนที่จะต้องซื้อใหม่

พอรุ่งเช้ามาเยือน ทั้งสี่ชีวิตก็เดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อไปส่งมลุลีเข้าหอพัก เหมือนครั้งที่ยังเป็นเด็กอายุสิบเก้า ความรู้สึกที่ครอบครัวมาส่งเธอยังตราตรึงอยู่ในใจ ทุกคนไม่มีใครเปลี่ยนไปเลย

หลังขนของเข้าห้องพักเสร็จสรรพก็พากันไปทานอาหารที่ร้านตามสั่งในละแวกเดียวกัน

หญิงชราเอ่ยอย่างเนือยๆ “ไม่มีเรา บ้านคงเงียบน่าดู”

“โทร. คุยได้ วิดีโอคอลก็ได้ มิ้มจะติดต่อไปทุกวันเลย เพราะอยู่คนเดียวมิ้มก็คงเหงาเหมือนกัน”

“โทร. คุยมันเหมือนกับอยู่ด้วยกันที่ไหน”

วาดดาวได้ทีสนับสนุนคำพูดของบุพการี “เนอะแม่”

“รุมอ่า” เธอหันไปทางผู้เป็นตา “นาทีนี้ตาต้องเป็นแบ็กให้มิ้มละนะ”

ชายชรายิ้มด้วยท่าทีใจดี พูดอย่างคนผ่านโลกมามาก “ให้หลานมันได้ออกไปใช้ชีวิตเองบ้าง จะได้มีภูมิคุ้มกัน แล้วก็ใกล้แค่นี้ คิดถึงค่อยมาหาก็ได้”

มลุลียกนิ้วโป้งเพื่อสื่อว่าตาช่างยอดเยี่ยม

หลังทานข้าวเสร็จทั้งสี่ก็วนกลับมาที่หอพักอีกครั้ง คนอายุน้อยกว่าโผเข้ากอดญาติผู้ใหญ่ทีละคน ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าตัวเองโตมากแล้ว อายุยี่สิบห้ามันก็ไม่น้อย แต่บัดนี้คล้ายว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กตัวเล็กเท่านั้น และมันน่าเศร้าที่มองดูตายายและแม่แก่ลงทุกวัน ตอนที่เธอเป็นเด็ก แม่ยังสาวกว่านี้ ตายายไม่ได้แก่อย่างที่เป็น

ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงได้รื้นขอบตาจนร้อนผ่าว

มารดายื่นมือมาลูบหัว “ร้องไห้ทำไมฮึ”

“ไม่ได้ร้องสักหน่อย”

วาดดาวเองก็อยากร้อง แต่มันคงจะไปกันใหญ่หากร้องกันทั้งแม่ทั้งลูก “เข้าไปได้แล้ว แม่ก็จะกลับแล้ว”

“แม่กลับไปก่อน มิ้มอยากส่ง”

“รั้นซะจริง”

ถึงกระนั้น คนทั้งสามก็ยอมสอดกายเข้าไปในรถ “ถึงบ้านแล้วบอกมิ้มด้วยนะแม่”

มลุลีมองดูรถคันคุ้นตาค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป พร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่ค่อยเป็นจังหวะนัก เธอเองก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ของครอบครัวอยู่วันยังค่ำ พอเป็นคนที่บ้าน มลุลีก็ไม่รู้จักโตสักที

รถของแม่หายไปจากครรลองสายตา ผู้เป็นลูกสาวจึงเดินเข้าไปในหอพัก ตั้งใจว่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมงก่อนไปทำงานในการจัดห้องให้เข้าที่เข้าทาง ขาเรียวก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบนัก แต่เมื่อเดินมาถึงชั้นสอง สิ่งที่อยู่ในระยะสายตาคือประตูห้องฝั่งตรงกันข้ามถูกเปิดออก มลุลียังคงก้าวเดินในจังหวะเดิม ไม่ได้เร่งหรือผ่อน และไม่ดึงสายตาไปทางอื่นเช่นกัน

เธอมองดูที่ประตูบานนั้นจนเห็นว่ามีใครบางคนก้าวออกมา ซึ่งน่าจะเป็นผู้หญิง ก่อนเจ้าหล่อนจะเดินพ้นประตู

มลุลีเกิดอาการขาตายชั่วขณะ อีกฝ่ายก็ไม่ต่างกัน

“เอ้า เดินไปสิ จะออกบ้าง”

แล้วใครบางคนก็แทรกกายออกมาจากห้อง โดยที่ผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนที่เดิม เช่นเดียวกับเธอ

“จะขวางประตูทำแป๊ะ-” เสียงพูดขาดห้วงไปทันทีเมื่อมองตามสายตาของรูมเมทแล้วพบกับใครบางคนที่เกลียดเข้ากระดูกดำ “อีมิ้ม!”

ใครจะไปคิดว่าห้องฝั่งตรงข้ามจะเป็นอริเก่าจากชาติปางก่อนอย่างชลิตา ไหนยังมาเป็นแพ็กคู่กับยายแรงควายพลานิชอีก

ชีวิตเธอชักจะมีสีสันเกินไปแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel