เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา EBOOK

95.0K · จบแล้ว
BVMEOW
50
บท
1.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

กฎข้อที่หนึ่งของการเป็นเด็กคุณดิน ... ‘ห้ามรัก’

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักรักหวานๆสัญญาทางรักโรแมนติกคนธรรมดาฟินๆ18+

อารัมภกถา

ลมหายใจถูกพรูออกครั้งแล้วครั้งเล่ายามนึกถึงเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

ล้อกันเล่นแน่ๆ...

เธอน่ะหรือจะตั้งครรภ์ ผลตรวจจากแล็บของโรงพยาบาลประจำจังหวัดจะต้องคลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน บ้าจริง โรงพยาบาลตั้งใหญ่ ผิดพลาดขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

เสียงจอแจของผู้คนที่อยู่ภายในอาคาร เสียงประกาศจากเจ้าพนักงาน เสียงล้อเลื่อนจากวีลแชร์ และอีกสารพัดเสียงที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ กลับไม่ดังเข้าโสตประสาทของ ‘ว่าที่คุณแม่’ เมื่อประสาทการรับรู้ถูกปิดทุกทาง แม้แต่สายตายังพร่ามัวจนมองอะไรได้ไม่ชัดเจน

“คุณมลุลี วรสุวรรณ เชิญพบแพทย์ค่ะ”

ไร้การเคลื่อนไหวของเจ้าของชื่อ

เจ้าพนักงานย้ำ “คุณมลุลี วรสุสรรณ ถึงคิวแล้วค่ะ!”

ร่างระหงสะดุ้งโหยง รีบยันปลายเท้าลงบนพื้นแล้วหยัดยืนด้วยความเร่งรีบ ปากก็ส่งเสียงอ้อมแอ้ม “ค่ะๆ” แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องที่อีกฝ่ายผายมือให้

มลุลีมาโรงพยาบาลตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากอดรนทนรับมือกับความผิดปกติของร่างกายตัวเองไม่ไหว ประจำเดือนเลื่อนจากเดิม จนตอนนี้ก็ยังไม่มา ผนวกกับปวดท้องโดยไร้สาเหตุ ทานยาแล้วก็ยังไม่ทุเลา เมื่อมาถึงก็ได้รับการตรวจจากคุณหมอ ผลของมันทำให้จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องก้าวเข้าสู่กระบวนการฝากครรภ์อย่างช่วยไม่ได้

แม่และเด็ก...บนสมุดสีชมพูทำหัวใจดวงน้อยสะดุดกึก

มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ

แต่มันเป็นไปแล้ว ผลตรวจบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้ราวๆ สามสัปดาห์ สมุดที่ถืออยู่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าตนกำลังจะได้เป็นแม่คน ที่ถ้าหากถามถึงความพร้อม...ไม่มีเลย ไม่มีด้านไหนที่มลุลีจะพร้อมมีลูก

ด้านฐานะอาจจะไม่ใช่ยาจก แต่ลำพังตัวเธอก็ไม่ได้มีเงินเก็บมากพอที่จะเลี้ยงเด็กหนึ่งคน เธอเพิ่งทำงานจริงๆ จังๆ ได้ไม่นาน ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าตั้งตัวได้ ฉะนั้นแล้วอย่างไรก็ไม่นับว่าพร้อม

ด้านร่างกายเธอคือคนอายุยี่สิบห้า สำหรับคนอื่นวัยนี้พร้อมมีลูกแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่มีความพร้อมใดๆ อย่างมลุลี นี่มันค่อนข้างเร็วเกินไป ส่วนด้านสภาพจิตใจนับว่าสาหัส เธอไม่อยากท้อง ไม่อยากมีพันธะมาคล้องคอ

เพราะ ‘เขา’ ก็ไม่อยากมีเหมือนกัน...

สมุดฝากครรภ์ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย ก่อนร่างระหงจะค่อยๆ ก้าวเดินออกจากตัวอาคารเพื่อเดินทางกลับที่พัก

จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนเผลอชนเข้ากับเด็กตัวเล็กคนหนึ่งที่วิ่งโผล่พรวดมา เป็นเหตุให้ของเล่นในมือเด็กน้อยตกลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น

“ขอโทษนะคะ” เธอรีบขอโทษขอโพย แล้วจึงยอบกายลงไปที่พื้น

เด็กคนนั้นก็ไม่รอช้า รีบทรุดตัวลงข้างๆ เพื่อช่วยเก็บของของตน เด็กเล็กยิ้มแป้น “ขอโทษครับพี่สาว โก๋วิ่งไวเอง”

ในขณะนั้น หางตาก็เห็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการยืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ ในมือมีตุ๊กตาและของเล่นสำหรับเด็กเหมือนชิ้นที่ตกพื้น

“โก๋วิ่งชนพี่คนสวยเหรอ”

พี่คนสวยระบายยิ้มให้เด็กแฝด ลุกขึ้นยืนพลางส่งของเล่นคืนเจ้าของ “แค่อุบัติเหตุค่ะ ไม่เป็นไร ยังไงเด็กๆ ก็เดินกันดีๆ นะคะ”

สองเสียงสอดประสานเพื่อรับคำอย่างหนักแน่น มลุลีจึงเดินออกจากบริเวณนี้เพื่อเดินทางกลับ ทว่าก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดอาการขาตายขึ้นมาดื้อๆ เมื่อสายตาสบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้ามาทางที่ตนยืนอยู่

อาจไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว พวกเขาเพียงแค่เดินมาที่เด็กแฝดทั้งสอง

มลุลีทราบดีว่านั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตน แต่สมองก็ไม่สามารถสั่งการให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้ เพราะคล้ายจะโดนสะกดด้วยสายตาคู่คมของ ‘ใครบางคน’ ที่อยู่ในกลุ่มนั้น

สองสายตาสบเข้าหากันอย่างมิอาจหลบเลี่ยงไปได้ เข็มนาฬิกาถูกหยุด โลกทั้งใบของมลุลีพลันนิ่งสนิท หัวใจบีบรัดจนก่อเกิดอาการเจ็บแปลบในทรวง

กลีบปากล่างถูกขบเม้มจนเป็นเส้นตรง ทันทีที่เรียกสติกลับมาได้เรียวขาสวยก็ก้าวออกไปจากบริเวณนี้ทันที โดยมีสายตาแห่งความสงสัยใคร่รู้เหลียวมองตาม จนกระทั่งแผ่นหลังบอบบางพ้นไปจากครรลองสายตา

เสียงหวานดังขึ้น “ปาเก๋า ปาโก๋ แม่บอกว่าอย่าวิ่งไงคะ” แม้จะเอ็ดลูก แต่คุณแม่ก็ยังไม่แสดงท่าทีโมโหร้าย ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น “เดี๋ยวล้มก็เจ็บตัวอีก”

ว่าที่คุณพ่อลูกสองมองดูหลานรักด้วยความเอ็นดู เขากระชับอ้อมกอดลูกสาววัยสิบเดือนแล้วพูดแหย่น้องสาว “ก็ซนเหมือนแม่มัน ไม่กล้าให้น้องอีฟเล่นด้วยหรอกแบบนี้”

ขณะก้าวเดินไปยังลิฟต์ วรัสยาอดจะเบ้ปากใส่ญาติผู้พี่ไม่ได้ “ยุอัสให้ทำหมันเถอะมั้ง ไม่ต้องมีถึงสี่หรอก”

คนโดนพาดพิงระบายยิ้มให้เพื่อนที่พ่วงตำแหน่งน้องสาวสามี เธอไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่รู้สึกว่าความปรารถนาของปราชญาธิปที่อยากมีลูกสี่คนนั้นมันจะเกิดขึ้นจริง อย่างตอนนี้ที่ลูกคนแรกเพิ่งอายุได้สิบเดือน พ่อเจ้าประคุณเขาก็ส่งคนที่สองมาอยู่ในท้องเธอเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้ว

ทำให้นอกจากรติรสที่อายุครรภ์สี่เดือน ก็มีเธอที่ต้องใส่ชุดคลุมท้อง ซึ่งหากพัณณ์พิศอยู่ด้วยในตอนนี้ก็จะมีคนท้องถึงสาม

ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับน้องสาวเพราะเขารู้ดีว่าอย่างไรตนเองก็ได้มีลูกสี่คนสมใจหวังอย่างแน่นอน ก็ขยันออกปานนี้

ระหว่างอยู่ในลิฟต์ คุณแม่ลูกสามก็เอ่ยขึ้นอีก “แต่ลูกยายก้านน่าห่วงอยู่นะ ผู้หญิงด้วย เลือดแม่คงแรงน่าดู”

ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้อย่างดี

ที่ทุกคนต้องพากันมาโรงพยาบาลก็เพราะเหตุนี้ กุสุมาลย์คลอดลูกสาวคนแรก คนสนิทจึงพากันมาเยี่ยมกันให้ควั่ก รวมถึงทางกลุ่มแก๊งสะใภ้และครอบครัว ที่พอรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นกลุ่มคนขนาดย่อมเลยทีเดียว ดีที่ธนบดีติดงานของพรรค ผนวกกับพัณณ์พิศมีอาการแพ้ท้องอ่อนๆ จึงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะเข้าลิฟต์ทีเดียวครบทุกคนได้หรือไม่ก็มิอาจล่วงรู้

ครอบครัวของวรัสยาก็ห้าคนเข้าไปแล้ว ด้านพ่อคนที่สองของหนุ่มๆ อีกสี่ชีวิต ที่ลูกคนหนึ่งผู้เป็นพ่ออุ้มไม่ยอมปล่อย ใครจะมาวอแวยายหนูอีฟที่เป็นดั่งเจ้าหญิงของเขาไม่ได้เลย อีกชีวิตอยู่ในท้องของอัสมา ไหนยังครอบครัวของอรัณย์อีกสาม แต่สามที่ว่านั่น หนึ่งในนั้นก็อยู่ในท้องของภรรยาคนสวยของเจ้าตัว

คนที่มีแค่ตัวคนเดียวเห็นจะมีแต่เขา...ดิฐากร

อัสมายิ้มกว้างกว่าเก่า “คุณเฉื่อยเจองานหินเลยนะ เหมือนมีน้องก้านเพิ่มมาอีกคน จะรับมือยังไงไหว”

ขณะที่ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ เสียงทุ้มนุ่มหูก็ดังขึ้น “แต่ถ้ามีแบบอัสอีกคน คุณโปรดรับมือไหวนะ”

แก้มนวลซับสี รีบเดินลิ่วๆ ออกจากลิฟต์ โดยมีคุณสามีนักหยอดเดินอุ้มลูกตามไปติดๆ

จีรกิตติ์และวรัสยาก็พาลูกๆ เดินไปยังห้องพักฟื้นของลูกสาวผอ. โรงพยาบาล หัวเราะคิกคักอะไรกันไปเรื่อยตามประสาครอบครัวอารมณ์ดี

อรัณย์ก็ไม่น้อยหน้า เดินกุมมือรติรสพลางกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่างด้วยท่าทีรักใคร่

เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องพัก ก็พบกับพี่ใหญ่เช่นชยางกูรที่นั่งอยู่ข้างเตียง โดยที่บนเตียงนั้นเป็นคุณแม่ป้ายแดงและลูกสาวคนแรกของพวกเขา

ภายในห้องพักฟื้นไม่ได้มีเพียงคนมาใหม่เท่านั้น แต่ผอ. โรงพยาบาลซึ่งได้เป็นคุณตาของหลานคนที่สอง ต่อจากหลานคนแรกที่เกิดจากกินรีก็อยู่ที่นี่ รวมไปถึงคุณนายขวัญเรือนและลูกชายคนเล็กที่รีบมารับขวัญหลานสาว

เด็กแฝดและน้องสาวของพวกเขารีบนำของเล่นที่ตั้งใจซื้อมาฝากน้องไปให้ในทันทีที่มาถึง ผู้คนต่างพูดคุยและแสดงความยินดีกับการมีอยู่ของ ‘ยายหนูกี้’ ลูกสาวคนแรกของช่างก้านกับพ่อเฉื่อย

วรัสยาเป็นคนขี้เล่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นคุณพ่อมือใหม่เหมือนจะมีน้ำตาคลอหน่วยจึงอดแหย่ไม่ได้ “พี่เฉื่อยเหมือนจะร้องเลย ไม่รู้ว่าดีใจที่ได้ลูกสาวหรือกำลังร้องเพราะกลัวรับมือกับยายก้านจูเนียร์ไม่ได้กันแน่”

แม้แต่นายแพทย์เรวัชกับคุณนายขวัญเรือนยังกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ได้ เพราะพวกท่านเห็นพ้องต้องกันกับวรัสยาว่าหลานสาวคนนี้จะต้องมีเชื้อแม่แกแรงแน่ๆ คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย

ตำรวจหนุ่มเสริม “ถ้าเฮียเป็นคนเลี้ยงก็คงเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ คนหนึ่งแหละครับพี่กาด แต่ถ้าเจ๊เลี้ยง”

คุณแม่ป้ายแดงปั้นหน้างอใส่น้องชาย “หา! เจ๊เลี้ยงแล้วมันจะทำไมล่ะผู้หมวด”

เป็นคุณนายขวัญเรือนที่โพล่งขึ้น “ยังจะถาม เอาเป็นว่าให้เฉื่อยเป็นคนเลี้ยงลูกน่ะดีแล้ว จะได้เป็นผู้เป็นคน ถ้าลูกเลี้ยงเองม้ากลัวหลานม้าเป็นลิงเป็นค่างมาก”

“ป๊า ม้าว่าหนู”

บิดายิ้มกริ่ม กล่าวอย่างเป็นกลาง “ที่ม้าพูดมาก็มีเหตุผล”

ชยางกูรที่เห็นภรรยาเริ่มหน้างอก็ยกมือไปลูบศีรษะอย่างนึกเอ็นดู “ไม่เป็นไร ลูกเหมือนก้านก็ไม่เป็นไร”

เจ้าหล่อนถึงได้ยิ้มออก

“แต่อย่าเหมือนมากก็พอ”

เสียงหัวเราะเข้ามาครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่

บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ มองไปทางไหนก็เจอแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยิ่งในสายตาของผู้จัดการร่ำเมรัยด้วยแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่ ที่ได้มองดูพวกมาดเยอะที่ครั้งหนึ่งต่างก็ส่ายหน้าให้กับคำว่า ‘เมีย’ ทว่าบัดนี้ทุกคนดันมีสาวสวยอยู่ข้างกายพร้อมกับลูกน้อยที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตคู่

แม้แต่ไอ้เพื่อนตัวดีที่เอาแต่พล่ามว่ารติรสเป็นน้องสาวเพื่อน ตอนนี้ก็ติดอยู่ในโลกสีชมพูจนบางทีอดจะนึกหมั่นไส้ไม่ได้

เพราะคนเยอะเกิน ไหนยังมีแต่คนมีคู่ ดิฐากรที่รับขวัญหลานเสร็จเรียบร้อยจึงเลือกที่จะปลีกตัวออกมาด้านนอก

ขายาวก้าวไปนั่งพักยังบริเวณสวนหย่อมที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ สายลมพัดปะทะผิวกายพอให้รู้สึกดี แต่ก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะพัดเพื่อพาปมที่หัวคิ้วให้คลายออก

ฝ่ามือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขายาวเพื่อหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แล้วจึงแตะไปที่แอปพลิเคชันสีเขียวเพื่อทำการสอบถามอะไรบางอย่าง ด้วยปฏิกิริยาของเธอยามเจอหน้าเขานั้นมันผิดปกตินัก

คุณดิน: เป็นอะไรรึ ทำไมต้องมาโรงพยาบาล

รออยู่เกือบสิบนาทีกว่าข้อความของเขาจะถูกอ่าน

มิ้ม: เปล่าค่ะ สบายดี

คุณดิน: คนสบายดีที่ไหนจะมาโรงพยาบาล

มิ้ม: ปวดหัสค่ะ

ไม่ว่าจะตอนไหน มลุลีก็นิ้วเบียดไม่เปลี่ยน

คุณดิน: มากไหม

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ คิ้วเข้มก็มุ่นหนักกว่าเก่า แค่พิมพ์ไม่กี่คำให้เขาคลายกังวลมันยากนักหรือ

คุณดิน: ไม่เห็นบอกเลยว่าไม่ค่อยสบาย ถ้าบอกจะได้พามา

คุณดิน: แล้วกลับยังไง ขี่รถไหวเหรอ ฉันเสร็จธุระแล้วล่ะถ้าเธอจะกลับพร้อมกันก็ได้

มิ้ม: ไม่เป็นไรค่ะ

คุณดิน: อย่ารั้น เกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำยังไง

มิ้ม: เปล่ารั้นค่ะ

เธอมันโคตรหัวรั้นเลยต่างหากยายมิ้ม!

คุณดิน: เพราะนิสัยแบบนี้ไง ฉันถึงไม่ชอบเธอ

มิ้ม: ไม่ต้องย้ำค่ะ รู้แล้วว่าไม่รัก

คุณดิน: รู้ก็ดี

มิ้ม: แต่มิ้มก็ไม่ได้รักผู้จัดการเหมือนกัน

ทีอย่างนี้แล้วพิมพ์ไม่ผิดสักคำ

ว่าแต่ว่าอวดดีเสียจริงนะ แล้วหมาตัวไหนมันเพิ่ง ‘บอกรัก’ เขากัน ใช่หมาที่ชื่อ มลุลี หรือเปล่า?

ปากดี

เห่าเก่ง

ใครจะชอบ...