บท
ตั้งค่า

กรุ่นกลิ่นวัยเยาว์ (4)

ยามตะวันโผล่ขึ้นขอบฟ้าอีกครั้ง วาดดาวก็พามลุลีเข้ามาหาลู่หาทางการทำงานที่อำเภอเมืองนครนายก สองตายายไม่ได้มาด้วยกันเพราะช่วยเปิดร้านขนมกุยช่ายอยู่ที่บ้าน อันที่จริงผู้อาวุโสทั้งสองก็อยากมาด้วย อยากมาช่วยหลานสาวหางาน แต่เป็นเธอเองเสียอีกที่ปรามไว้ เพราะการหางาน ทำเรื่องเข้าพักที่อพาร์ตเมนต์นั้นหาใช่เรื่องสนุก ออกจะน่าเบื่อ จึงไม่อยากให้พวกท่านต้องมารอ ไว้เธอได้งานแล้วจะนำข่าวกลับไปบอกด้วยตัวเอง

“แต่ถ้ามันหาไม่ได้จริงๆ แม่ก็อยากให้มิ้มกลับบ้านกับแม่ ลูกอยากทำอะไร แม่ก็ให้ทำ”

เธอหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ระบายยิ้มให้กับความห่วงหาอาทรของมารดา กล่าวเสียงอ่อน “ก็มิ้มอยากทำงานนี่ไง มิ้มจะเก็บเงินให้ได้เยอะๆ ครอบครัวเราจะได้สบาย”

“หมายถึงอยากทำอะไรที่บ้าน แม่ลงทุนให้ อีกอย่างตอนนี้ที่บ้านเราก็ไม่ได้ลำบาก”

“มิ้มอยากให้แม่ ตากับยาย สบายกว่านี้”

อาจจะเพราะเธอไม่มีสายเลือดของพวกท่านไหลเวียนอยู่ในตัวเลย ทว่าทั้งสามกลับรักและฟูมฟักอย่างรักใคร่ ทั้งสามมอบความรักให้เธอเสียจนไม่รู้แล้วว่าถ้าไม่ใช่พวกท่าน ในโลกนี้จะมีใครรักเธอได้เท่านี้อีกไหม ซึ่งมันก็คงไม่มี เช่นนั้นแล้วมลุลีจึงอยากเห็นญาติผู้ใหญ่ของตนอยู่อย่างสุขสบาย

คนอายุมากกว่ายิ้มอย่างอ่อนใจ ทอดสายตามองลูกสาวอย่างปลงตก “มันก็ว่าไม่ได้ล่ะนะ มิ้มหัวรั้น มันก็เหมือนแม่ตอนยังสาว แม่ก็รั้นแบบนี้นี่แหละ”

วาดดาวรั้นเพราะความจนบีบบังคับ เธอได้รู้จักกับใครบางคน เจ้าหล่อนชวนไปทำงานที่พัทยา บอกแค่ว่าไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหาร ได้เงินดีเพราะมีทิปจากลูกค้าที่ได้แยกจากเงินเดือน แต่สังคมหล่อหลอม ไปอยู่ที่แบบนั้นเห็นพี่ๆ ที่ขายบริการได้เงินดีกว่าการเป็นเด็กเสิร์ฟ ความโลภก็สั่งให้เธอเปลี่ยนอาชีพของตน

“แม่”

เสียงของลูกสาวปลุกให้เธอหลุดออกจากภวังค์ รีบเอ่ยขานรับ “ว่าๆ”

“แวะร้านนั้นให้หนูหน่อย”

สารถีวัยกลางคนมองไปตามตำแหน่งสายตาของบุตรสาว เห็นกระดาษถูกแปะไว้ว่ารับสมัครพนักงาน พร้อมเบอร์ติดต่อ ก่อนเจ้าหล่อนจะลากสายตาไปยังร้านที่ว่า “ร่ำเมรัย”

“ใช่ๆ จอดเลยแม่”

มารดายอมทำตามประสงค์ของลูกแต่โดยดี ซีดานสัญชาติญี่ปุ่นจอดเทียบไหล่ทาง พร้อมสายตาจับจ้องไปยังร้านที่ว่า “ร้านเหล้านี่”

“อื้อ มิ้มเคยเห็นเพื่อนในเฟซบุ๊กเช็กอินที่นี่กันให้พรึบ ดังเลยแหละ ถ้าได้ทำที่นี่น่าจะมีงานให้ทำตลอด”

แม้ว่ามลุลีจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถแล้ว แต่วาดดาวไม่แม้แต่จะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว

หญิงสาวเหลือบตามองมารดา “ไม่ลง?”

“งานอื่นได้ไหม”

“อ้าว ไม่ให้ทำงานนี้เหรอ”

คู่สนทนามีสีหน้าลำบากใจ “ไม่อยากให้ทำที่ร้านเหล้า แม่ไม่ค่อยชอบ”

มลุลีพองแก้มอย่างใช้ความคิด “อืม” ลากเสียงยาวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงปล่อยมือจากประตูรถ “ไม่ทำก็ไม่ทำ”

วาดดาวยิ้มออก

คนอายุน้อยกว่าเอื้อมมือไปคว้าสมาร์ตโฟนเครื่องบางมาถือไว้ “แต่ขอเก็บไว้เป็นตัวเลือกได้ไหม” เธอไม่รอฟังคำตอบ รีบเปิดกล้อง ซูมเข้าไปยังกระดาษแผ่นที่ว่าแล้วถ่ายรูปเบอร์โทร. เก็บไว้ทันที

หญิงวัยกลางคนก็ไม่ได้ตำหนิอะไร อันที่จริงหากลูกยืนกรานจะทำ เธอก็คงห้ามไม่ได้

(นี่! ในกลุ่มไม่เหลือใครแล้วนะ)

“ครับๆ ทราบแล้วครับคุณนายนวล”

เสียงติดดุดังมาจากปลายสาย (ไม่ต้องมาทำเป็นเล่น!)

คนฟังแค่นหัวเราะอย่างจนปัญญา “อะไรเล่าแม่ ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย”

(ก็ทำเสียบ้างสิ ลูกเห็นไหมว่าตาอาร์มเขาก็แต่งไปแล้ว แล้วลูกรออะไรอยู่ เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันมีลูกมีเมียกันหมด เรานี่นะ จะนอนกอดงานกอดความโสดไปจนอายุเท่าไรกัน อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ไม่กลัวขึ้นคานรึ)

ปัจจัยหลักๆ ที่ ‘ลูกชายคนเล็ก’ ของบ้านสันติมณียังไม่มีคู่ครองเหมือนพี่ชายทั้งสอง ไม่ใช่เพราะนอนกอดงานหรือหวงแหนความโสด แต่แค่ยังไม่เจอคนที่ใช่มากพอที่จะสร้างครอบครัวด้วย อีกอย่างในมุมมองของเขา อายุสามสิบสามไม่ได้แก่เกินมีเมีย แก่กว่านี้อีกสักหน่อยก็ใช่ว่าจะหมดน้ำยาจนหาไม่ได้

แม้ว่าเจ้านาย เพื่อนรุ่นพี่ เพื่อนร่วมสาบาน และน้องชายคนสนิท ต่างมีครอบครัวกันแล้ว และคนที่ถูกคุณนายศุภมาศพาดพิงถึงจะเป็นใครไปไม่ได้ หากไม่ใช่อรัณย์ ที่เขาเองก็เพิ่งกลับมาจากการฉลองงานแต่งเล็กๆ ริมหาดเกาะหมากของเจ้าตัวกับรติรสไป

...เขาก็ยังไม่คิดจะมีเมียในเร็วๆ นี้

(ลูกต้องเร่งมือได้แล้วนะ ไม่อย่างนั้นคนไหนไม่มีหลานให้แม่ แม่จะตัดออกจากกองมรดกเสียให้เข็ด)

“ได้ไงอะแม่” เขาอดจะโอดครวญไม่ได้ เพราะพี่ๆ ทั้งสองคงแบ่งสมบัติกันเพลิน โดยที่ไม่มีเขาเป็นตัวหาร

(ไม่มีเมียไม่มีลูกก็ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติ ทำงานเลี้ยงตัวไปจนตายนั่นแหละ ตัวคนเดียวจะอะไรเยอะแยะ พี่ๆ เขามีเมียมีลูก ก็ให้เขาไป)

ยังไม่ทันที่จะได้โต้เถียง ก็มีสายซ้อนเข้ามาเสียก่อน “มีคนโทร. มาฮะ เดี๋ยวผมคุยธุระก่อน”

(พอบ่นก็ชอบหาเรื่องวาง)

มือหนาถูกยกมากุมขมับ “มีคนโทร. มาจริงๆ ครับ ไม่ได้จะหาเรื่องวาง ไว้เดี๋ยวคุยธุระเสร็จผมโทร. ไปให้บ่นใหม่”

(ไม่ต้องโทร. มา เอาเวลาไปหาเมียไปไอ้ลูกคนนี้ พูดยากเหมือนพ่อมันไม่มีผิด)

ได้ยินเสียงคุ้นหูแว่วเข้ามา (อ้าว แล้วพ่อผิดอะไร)

(ผิดที่เป็นพ่อไอ้เจ้าดินไง)

ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆ “เลือดพ่อมันแรงครับ” และก่อนจะโดนคุณนายบ่นอีกรอบ เขาก็ชิงวางสายเสียก่อน “ผมวางก่อนนะ รักแม่นะครับ”

มลุลีรอสายอยู่นาน...

วันทั้งวันที่สองแม่ลูกตระเวนหางาน สุดท้ายก็ยังไม่ได้งานที่ต้องการ มารดาจึงพาเธอกลับบ้านมาตั้งหลักก่อน ในช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้นสาวเจ้าก็ปลีกตัวเข้ามาในห้องนอนแล้วโทร. ออกหาเบอร์ของทางร้านร่ำเมรัย ซึ่งเป็นร้านที่แม่ไม่ค่อยสนับสนุนนัก

แต่เธอก็แค่ต้องการงาน และอายุอานามก็ไม่ได้อยู่ในช่วงผู้เยาว์ เธอบรรลุนิติภาวะมาห้าปีแล้ว สามารถทำงานที่ร้านนี้ได้สบายๆ

(สวัสดีครับ)

เสียงทุ้มจากปลายสายกระชากสติคนตัวเล็กให้กลับมาอยู่ที่การคุยธุระ

หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “สะ...สวัสดีค่ะ”

(ครับ โทร. มาที่ผมมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ)

“มีค่ะ” มลุลีสูดลมหายใจจนเต็มปอด ก่อนค่อยๆ พรูออกอย่างเชื่องช้า “พอดีมิ้มเห็นทางร่ำเมรัยประกาศรับสมัครพนักงานน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังรับอยู่ไหมคะ”

(พนักงานเสิร์ฟนะครับ ทำได้ไหม)

“ค่ะๆ มิ้มทำได้”

(ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณเข้ามาที่ร้านได้ไหม สักสิบโมง ถ้าผ่านจะให้เริ่มงานได้เลยครับ)

หญิงสาวฉีกยิ้มจนแก้มปริ “ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

มลุลีรีบออกไปแจ้งข่าวดีให้ญาติผู้ใหญ่ทราบ และแม้ว่าวาดดาวจะไม่เห็นด้วยเสียทีเดียว แต่ยามได้เห็นลูกสาวลิงโลดเหมือนเด็กๆ ที่ได้ของเล่นใหม่ แม่ที่แสนจะใจอ่อนกับลูกคนนี้มีหรือจะไม่อนุญาต ในเมื่อความต้องการของลูกถือเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของแม่อย่างเธอ

ลูกที่แม้จะไม่ใช่สายเลือด ไม่ได้อุ้มท้อง แต่เธอก็รักมลุลีเท่าชีวิต

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel