บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 เจ้าสาวของปัณณวิญ์ 1.3

แต่นี่ไม่เลย...งานเรียบง่ายจนนางตกใจ แล้วด้วยเหตุผลที่ว่าหลานชายไม่เต็มใจแต่งงานนี้เอง ทำให้เอี่ยมลออคิดว่า การหย่าร้างต้องเกิดขึ้นแน่นอน ปัณณวิชญ์ไม่ทนฝืนใจอยู่ใช้ชีวิตคู่กับคนที่ไม่ได้รักนานเกินรอ อาจจะแค่เดือนหรือไม่ก็สองเดือน

หากถึงวันที่หลานชายสุดที่รักทนไม่ไหว แล้วต้องการหย่า นางกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลัง เพราะไม่รู้เลยว่าฝ่ายหญิงต้องการแต่งงานกับหลานชายของนางด้วยเหตุผลอะไร นางจึงต้องกันไว้ดีกว่าแก้

“คุณแม่ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะครับ ปัณณ์เพิ่งแต่งงานไม่ถึงหนึ่งนาทีเลย จะให้หย่ากันเสียแล้ว เสียฤกษ์ดีหมดนะครับคุณแม่” ปัณณพัฒน์ทักท้วง

“มันจะเสียรงเสียฤกษ์อะไรตอนนี้ มันเสียไปตั้งแต่ปัณณ์นอนตื่นสายแล้ว อย่ามาอ้างแบบนี้นะ มันฟังไม่ขึ้น”

นางกล่าวโต้ แล้วมันก็เป็นจริงตามที่เอี่ยมลออได้ลั่นคำพูดออกมา ฤกษ์ใส่บาตรในตอนเช้าก็คลาดเคลื่อนไม่เป็นท่า เจ้าบ่าวไม่ยอมลุกจากที่นอนด้วยเหตุผลน่าตบ ปล่อยให้เจ้าสาวต้องใส่บาตรเพียงลำพัง จะมาพูดว่าเสียฤกษ์งามยามดีเวลานี้คงไม่ได้ เพราะฤกษ์นั้นเสียไปตั้งแต่เช้าตรู่ที่ผ่านมา

“แต่คุณแม่ครับ”

ปัณณพัฒน์พยายามท้วงคำพูดของมารดา ทว่าเสียงเอาแต่ใจของเอี่ยมลออแทรกดังขึ้นอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ทุกคนต้องยอม

“ถ้าหนูนิสาไม่เซ็น ฉันจะไม่ยอมรับการแต่งงานในวันนี้ แล้วทุกอย่างก็เป็นโมฆะด้วย”

ปณีย์อรถึงกับหน้าซีดเผือด หากงานแต่งงานครั้งนี้เป็นโมฆะ ข้อตกลงถูกยกเลิก นั่นหมายความว่า นางจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ปัณณวิชญ์เงยหน้ามองมารดาที่ยืนนิ่ง สีหน้าไร้สีเลือดด้วยความสงสาร เป็นเพราะเขาเองที่ตั้งเงื่อนไขแบบเอาแต่ใจ ไม่จัดงานให้ยิ่งใหญ่สมฐานะ ไม่กระตือรือร้นในวันเริ่มต้นชีวิตคู่ ทำสีหน้าแบบซังกะตายจนเอี่ยมลออผู้เป็นย่าจัดผิดได้ แล้วอาจจะทำให้มารดาไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนา

เขาจึงต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น

“นั่งบื้ออยู่นั่นแหละ เซ็นซะสิ เธอแค่เซ็นทุกอย่างมันก็จบ มัวแต่นั่งทำหน้าตาปัญญาอ่อนอยู่ได้”

สามีหนุ่มกระซิบบอกภรรยาสาวที่นั่งทำตาเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก แต่พอได้ยินคำพูดของปัณณวิชญ์ที่ดังอยู่ข้างหู ทำให้เธอรีบหยิบปากกาแล้วกำกับชื่อลงไปในช่องว่างที่มีดินสอสีดำมาร์คอยู่

“แค่นี้แหละ มัวแต่พิรี้พิไรอยู่ได้ น่ารำคาญจริงๆ”

เมื่อเห็นว่าเธอทำตามที่บอกเสร็จ เสียงดุๆ คล้ายกับเสียงรำคาญใจก็ดังขึ้นใกล้ๆ ใบหูสาว ฉับพลันนั้นสมองของปัณณวิชญ์ชะงักชั่วครู่ เมื่อกลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายสาวโชยเข้ามาจมูก เป็นความหอมที่ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสดชื่น รู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนเขาต้องรีบชักใบหน้ากลับทันควัน ไม่มีทางหลงกลิ่นกายเย้ายวนของภรรยาสาวนอกหัวใจ ภรรยาที่เขาไม่ต้องการคนนี้แน่นอน

“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับท่านผู้หญิง” เสียงของเจ้าหน้าที่รายนั้นพูดขึ้น หลังจากที่ตรวจทานเอกสารจนแน่ใจแล้วว่าเรียบร้อยสมบูรณ์

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเสร็จแล้ว ฉันก็ขอตัวกลับก่อนนะ ที่มาในวันนี้ก็ไม่ได้มาร่วมแสดงความยินดีกับปัณณ์ แต่มาเพราะสิ่งนี้ต่างหาก ในเมื่อฉันได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องอยู่ ฉันขอตัว”

เอี่ยมลออคว้าเอกสารที่ถูกบรรจุอยู่ในซองสีน้ำตาลจากมือของเจ้าหน้าที่จากอำเภอ ก้าวเดินตัวตรง เชิดหน้าเย่อหยิ่งออกไปจากห้องโถงใหญ่ หลังจากได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่มองตามร่างของเอี่ยมลออด้วยความไม่เข้าใจ แล้วก็ร้องหาเหตุผลนั้นไม่ได้ด้วย

“เอ่อ...ดิฉันว่าเราไปรับประทานอาหารกันดีกว่านะคะ” คุณหญิงอภิรดี รีบแก้ไขสถานการณ์ที่พลิกผันให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ

“ค่ะ ดิฉันก็ว่าอย่างนั้นค่ะ”

คุณหญิงปณีย์อรที่อึ้ง ทึ่งกับความคิดและการกระทำของแม่สามีรีบพูดตอบรับ ทั้งๆ ที่สมองยังรู้สึกหนักไม่หาย แม่สามีของนางร้ายลึก ร้ายกาจจริงๆ

“แต่ผมขอตัวนะครับ พอดีมีธุระ สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่” ปัณณวิชญ์ลุกขึ้นยืนไล่หลังร่างของ เอี่ยมลออ พนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายภรรยา กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องโถงอีกคน ทว่าเสียงของปัณณพัฒน์ค้านขึ้น ขาแข็งแรงของเจ้าบ่าวของงานชะงักโดยพลัน

“ธุระอะไรจะสำคัญเท่าวันแต่งงาน อย่ามาทิ้งความรับผิดชอบกลางคันแบบนี้นะ พ่อไม่ชอบ” คนที่พูดรู้ดีว่าลูกชายไม่เต็มใจเป็นเจ้าบ่าวในวันนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมด้วยเหตุผลกลใดมิอาจทราบได้ แต่ในเมื่อยินยอมที่จะสวมบทเจ้าบ่าวของงานก็ต้องทำให้แล้วเสร็จ ทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่มาทิ้งกลางคันเช่นนี้

“เป็นลูกผู้ชายรับปากว่าจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้แล้วเสร็จ ถ้าทำไม่เสร็จเขาไม่เรียกว่าคน”

ปัณณวิชญ์ถึงกับอึ้ง หลังจากได้ยินถ้อยคำรุนแรงของผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยถูกบิดาพูดในลักษณะนี้มาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก พานให้โกรธคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในภาวะกล้ำกลืนฝืนทน ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ไม่ใช่ผู้เป็นแม่ แต่เป็นภรรยาหมาดๆ ของเขาต่างหาก

ยิ่งคิดยิ่งแค้น ยิ่งไม่ชอบหน้า

ปัณณวิชญ์กระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมด้วยความจำยอม ตวัดสายตามองนิสามณีแทบจะกินเลือดกินเนื้อ คนที่ถูกมองหลบสายตาทันควัน ก้มหน้างุดหนีความรังเกียจที่คุกรุ่นอยู่ในแววตาของเขา

“ดิฉันว่าเราไปทานอาหารกันดีกว่านะคะ เสร็จจากทานอาหารเราจะได้ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว” อภิรดีเอ่ยขึ้น เมื่อคิดว่าคงไม่มีใครกล้ามีปัญหาอะไรอีกแล้ว ทั้งหมดจึงย้ายร่างไปยังห้องรับประทานอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเลิศหรู

การรับประทานอาหารมื้อนี้หลายคนมีความสุข พูดคุยและหัวเราะอย่างเป็นกันเอง ต่างกับคู่สามีภรรยาสดๆ ร้อนๆ ที่นั่งทานอาหารใกล้กัน แต่อากัปกิริยาของทั้งคู่ต่างกันลิบลับ

นิสามณีลอบมองสามีสุดหล่ออยู่บ่อยครั้ง ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไม่มีความร่าเริง ความยินดีกับงานวิวาห์ รับประทานอาหารโดยไม่ปริปากพูด หากไม่มีใครเอ่ยถามอะไร อีกทั้งยังไม่สนใจเธออีกด้วย

“ปัณณ์ตักปูนิ่มผัดฉ่าให้หนูนิสาสิลูก”

ปณีย์อรเจ้าจี้เจ้าการทันทีที่เห็นว่า ลูกชายไม่คิดจะใส่ใจภรรยาของตนเอง ปัณณวิชญ์ตวัดสายตามองภรรยาสาวเพียงนิด ก่อนจะวางช้อนในมือของตนลงบนจาน เอื้อมมือไปจับช้อนกลางแล้วตักอาหารดังกล่าวใส่จานของภรรยา

เคล้ง...

“ขอโทษครับ พอดีช้อนมันหลุดมือ”

สิ้นเสียงช้อนกลางกระทบกับจานของนิสามณี เสียงกล่าวคำขอโทษของปัณณวิชญ์ก็ดังขึ้น ต้นเสียงนั้นเกิดจากเขาวางปูนิ่มรสเลิศลงบนจานของเธอแรงมากไปหน่อย ทำให้ช้อนกลางกระแทกกับจานกระเบื้องจนเกิดเสียง

เจ้าของจานมองปูนิ่มที่สามีตักให้นิ่ง ความรู้สึกอิ่มตื้อจนรับประทานอาหารไม่ลง แต่จำต้องทนฝืนทานปูนิ่มกับข้าวสวย เพราะไม่ต้องการเสียมารยาท

อึดอัด...

นั่นคือความรู้สึกของนิสามณี เธอไม่อยากคิดถึงเวลาที่เผชิญหน้ากับปัณณวิชญ์ตามลำพังเลย ไม่รู้ว่าเวลานั้นจะทำตัวเช่นไรดี จะทนแรงอึดอัดและสายตา รวมทั้งกิริยาที่แสดงความรังเกียจที่เขามีต่อเธอได้มากน้อยแค่ไหน เพราะแค่วินาทีนี้ความอึดอัดก็ถาโถมจนสุดประมาณแล้ว จนเธอไม่ต้องการให้ถึงเวลานั้น เวลาที่เขาและเธอจะต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกัน...

ในห้องหอ

และแล้วการรับประทานอาหารก็เสร็จสิ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ขั้นตอนสุดท้ายของงานวิวาห์ที่ไร้ซึ่งพิธีรีตองก็เดินทางมาถึง ทั้งหมดเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร เดินไปยังหน้าบ้านหลังใหญ่ที่มีรถตู้ยี่ห้อเบนซ์ราคาแพงของตระกูลศักดิ์ศิลาจอดอยู่ ต่อท้ายรถตู้จะเป็นรถจาร์กัวแบบสปอร์ตของปัณณวิชญ์จอดต่อท้าย

พอญาติฝ่ายหญิงเห็นรถคันหรูสองคันเท่านั้น ก็ตาโตและตื่นตะลึงไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะอภิรดีที่ยิ้มพราย ดวงตาประกายวับเจ้าเล่ห์ ความร่ำรวยเงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์ของตระกูลศักดิ์ศิลามันช่างหอมหวาน ชวนให้ครอบครองเหลือเกิน แล้วนางก็กำลังทำให้สิ่งที่ตนเองต้องการสำเร็จ

“หนูนิสาไปกับพี่ปัณณ์นะลูก” แม่สามีเอ่ยบอกลูกสะใภ้ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ปัณณ์พาหนูนิสาไปขึ้นรถสิลูก” ก่อนจะหันไปสั่งลูกชายที่ยืนหน้าเซ็งทางด้านหลัง

“เชิญครับคุณผู้หญิง”

ปัณณวิชญ์กระแทกเสียงพูด หมุนตัวเดินไปยังรถยนต์ของตน เปิดประตูฝั่งด้านข้างคนขับ รอเจ้าหญิงเดินเยื้องกายมาสอดตัวนั่ง

“เดินให้มันเร็วๆ กว่านี้หน่อยได้ไหม หนีบขาเดินอย่างกับเป็นเจ้าหญิง” เสียงของเขาดังเบาๆ เมื่อเธอเดินมาใกล้ร่างของตนเองที่ยืนอยู่ข้างประตูรถ

“ขอโทษค่ะ” นิสามณีกล่าวคำขอโทษ เธอรู้ดีว่าไม่ว่าจะทำอะไรสามีสุดหล่อก็ไม่พอใจไปทุกอย่าง ไม่รู้ว่าการที่เธอใช้อากาศร่วมกับเขาจะผิดด้วยหรือเปล่า คิดแล้วก็อดน้อยใจไม่ได้

“ขึ้นรถได้แล้ว จะยืนอยู่ยันเช้าหรือไง น่าเบื่อจริงๆ”

สาวผู้น่าสงสารไม่รอให้เขาพูดเร่งเป็นครั้งที่สอง รีบสอดตัวเข้าไปนั่งในรถทันที ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมมานั่งประจำที่

ทั้งรถยนต์ รถตู้ และรถสปอร์ตเคลื่อนตัวออกจากประตูรั้วบ้านหลังใหญ่ตามลำดับ มุงตรงสู่บ้านศักดิ์ศิลา เรือนหอรอรักของปัณณวิชญ์กับนิสามณี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel