บทย่อ
เธอคือผู้หญิงที่เขาไม่คิดจะรักจอมทมิฬเช่นเขาจึงกำจัดความเธอเป็นเพียง...นางบำเรอส่วนตัวเท่านั้น
บทนำ
“ไม่แต่ง ต่อให้คุณแม่ชักแม่น้ำทั้งโลกมาอ้าง ผมก็ไม่แต่ง” เสียงหนักแน่นของปัณณวิชญ์ดังขึ้น หลังจากที่จบคำพูดของมารดา
“ต้องแต่ง ยังไงๆ ปัณณ์ก็ต้องแต่ง แม่ไปคุยเรื่องสินสอดทองหมั้นกับทางโน้นไว้แล้ว และก็กำหนดวันแต่งงานไว้แล้วด้วย”
คุณหญิงปณีย์อร ผู้มีนิสัยเจ้ากี้เจ้าการเป็นอันดับหนึ่ง เจ้ายศเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นอันดับสอง เอาแต่ใจตัวเองเป็นอันดับสาม ชอบบงการคนอื่นเป็นอันดับสี่ และอื่นๆ อีกหลายอันดับ ทั้งๆ ที่ตนเองนั้นไม่มีอะไรต่างกับคนที่นางดูถูก เพียงแค่ว่าได้ดิบได้ดีเลื่อนชั้นเป็นสะใภ้ตระกูลดัง ตีตำแหน่งเป็นคุณหญิงจากการทำงานการกุศลจนตัวโก่ง พูดโต้กลับลูกชายทันควัน น้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน
ปัณณวิชญ์ทำหน้าเซ็งทันทีที่ได้ยินคำพูดของมารดา อยากจะเอาหัวโหม่งพื้นหญ้าให้สมองบวมหรือไม่ก็พิการให้มันรู้แล้วรู้รอดไป มารดาจะได้ไม่ต้องหาคู่ให้เขาอีก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่เขาเองก็คร้านที่จะนับ แต่ทุกครั้งผลที่ออกมาก็คือ เขาไม่ยอมถูกคลุมถุงชนแน่นอน
มันหมดยุคนั้นแล้ว
“ว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ของคุณแม่เป็นใครครับ ดีเลิศประเสริฐศรีมากหรือครับ คุณแม่ถึงอยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้?” คราวนี้ปัณณวิชญ์ไม่ตอบโต้ แต่กลับถามคำถามแทน
“ชื่อหนูนิสามณีจ้ะ เป็นลูกสาวคนที่สองของหม่อมหลวงปริญญากับคุณหญิงอภิรดี กมลฤทธิกุล เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล มีเชื้อ สายเจ้าขุนมูลนายที่สืบทอดต่อๆ กันมา แล้วที่สำคัญเพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศด้วย สวย เลิศ หรู มีฐานะ ครบสูตรลูกสะใภ้ของแม่เลย”
รอยยิ้มเบิกบานเกลื่อนบนใบหน้าของปณีย์อรเมื่อพูดและนึกถึงว่าที่ลูกสะใภ้ผู้รากมากดีคนนี้ หากเมื่อหนึ่งเดือนก่อนนางไม่ได้รับเชิญไปงานเปิดตัวนาฬิกาสุดหรูฝังเพชรจากร้านเครื่องเพชรชั้นนำของโลก ที่มาเปิดสาขาในเมืองไทย นางก็คงไม่ได้พบกับนิสามณี หนึ่งในนางแบบที่เดินอวดความงดงามของนาฬิกาฝังเพชร
พอรู้ว่าสาวงามคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ปณีย์อรก็ตรงเข้าไปทำความรู้จักกับหม่อมหลวงปริญญากับคุณหญิงอภิรดี อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านั้นรู้จักเพียงแค่ชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้น เนื่องจากทั้งคู่ไม่ชอบออกงานสังคมมากนัก น้อยครั้งนักที่จะออกมาสังสรรค์ในสังคมชั้นสูง สังคมที่อยู่ระดับชั้นเดียวกัน
ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่คุณหญิงจอมจุ้นไปมาหาสู่ บ้านหลังงาม โอ่อ่าสมฐานะของปริญญา ทำให้สิ่งที่นางวาดหวังไว้สำเร็จ เมื่อนางออกปากสู่ขอนิสามณีมาเป็นลูกสะใภ้ ซึ่งทั้งสองตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด ประหนึ่งว่ารอคำนี้มานานแสนนาน ปณีย์อรจึงจัดการเรื่องสินสอดทองหมั้น กำหนดวันแต่งงาน รวมทั้งของชำร่วยเสร็จสรรพ และลำดับที่นางจะทำต่อไปก็คือ นำข่าวดีที่ว่านี้ไปบอกลูกชายสุดที่รัก
“ถ้าดีขนาดนั้นทำไมคุณแม่ไม่แต่งงานเองล่ะครับ หรือไม่ก็ให้เบลล์แปลงเพศมาแต่งงานกับแม่คนนั้นเสียเลย” ลูกชายตัวดีที่มีนิสัยเหมือนผู้เป็นแม่หลายอย่าง อาทิเช่น เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมคน กล่าวโต้กลับปณีย์อรที่เวลานี้อารมณ์เดือดดาลสุดๆ
“ปัณณ์อย่ามาย้อนแม่อย่างนี้นะ ไม่รู้แหละยังไงๆ ปัณณ์ก็ต้องแต่งงานกับหนูนิสา วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ที่โรงแรมอมารินทร์ คราวน์ ตกลงตามนี้นะ”
ปณีย์อรพูดจบก็ลุกเดินหนีลูกชายไปในทันที ไม่สนใจ ไม่ฟังเสียงคัดค้านของปัณณวิชญ์ที่ดังไล่หลัง
“ไม่ ผมไม่แต่งนะครับคุณแม่ หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่แต่ง คุณแม่บังคับผมไม่ได้หรอก”
ปัณณวิชญ์ที่หวงชีวิตโสดสุดฤทธิ์ แล้วไม่พร้อมที่จะหยุดชีวิตโสดแสนเสรีไว้ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียว พูดตามหลังร่างของมารดาที่เดินลิ่วๆ ขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสีย ก้าวเดินออกไปจากบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มที่
เขาเพิ่งอายุได้สามสิบเจ็ดปี ยังใช้ชีวิตโสดไม่คุ้ม ยังไม่ได้ไปในอีกหลายๆ ที่ ยังไม่ได้ทำอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ยังไม่พร้อมที่จะรักใครและไม่คิดที่จะรักใครตอนนี้ด้วย ปัณณวิชญ์ไม่เข้าใจมารดาในหลายๆ เรื่อง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาต้องการให้เขาแต่งงานมากมายขนาดนี้ หรือบางทีเขาอาจจะไม่ต้องการรู้เหตุผลนั้นก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็จะไม่แต่งงาน
งานนี้ไม่รู้ว่าแม่หรือลูกจะชนะ
สามวันต่อมา
ณ อาคารรมย์ธีระอาคารสูง 60 ชั้น ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งรวมสำนักงานให้เช่าหลายร้อยบริษัท ร้านค้าชั้นนำหลายร้าน และร้านอาหารรสเลิศอีกหลายสิบร้าน ที่แบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ตั้งแต่ชั้น 1-5 เป็นโซนร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้ง ชั้นที่ 6-10 เป็นสถานที่ให้เช่าทำกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่นงานแต่งงาน สัมมนา และอื่นๆ ชั้นที่ 11-55 เป็นสำนักงานให้เช่า ชั้นที่ 56-60 เป็นสำนักงานของบริษัท ศักดิ์ศิลา จำกัด (มหาชน) และในเครือ ซึ่งเจ้าของบริษัทแห่งนี้ก็เป็นเจ้าของอาคารหลังนี้เช่นกัน
“ฉันมาหาหลานปัณณ์ หลานของฉันอยู่หรือเปล่า?”
เสียงของชุติมา หญิงสูงวัยอายุ 71 ปี เอ่ยบอกวิกานดาเลขาหน้าห้องของปัณณวิชญ์
“สวัสดีค่ะคุณยาย” วิกานดาพนมมือไหว้หญิงสูงวัยตรงหน้าทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร “อยู่ค่ะคุณยาย คุณยายรอสักครู่นะคะ” น้ำเสียงอ่อนน้อมถูกขับออกไป ก่อนที่วิกานดาจะยกหูโทรศัพท์รายงานคนที่เป็นเจ้านาย แล้ววางหูลงเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยอนุญาต
“เชิญค่ะคุณยาย”
วิกานดาลุกขึ้นยืนเดินนำชุติมาไปยังประตูห้องทำงานของปัณณวิชญ์ เคาะประตูสามครั้งเป็นสัญญาณ เปิดมันออกเพื่อให้บุคคลที่ต้องการพบประธานบริษัทเดินเข้าไปในห้องนั้น
“สวัสดีครับคุณยาย”
ปัณณวิชญ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พนมมือไหว้ยายสุดที่รักที่เดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินไปหาชุติมาที่ทรุดกายลงนั่งบนโซฟา
“หลานไม่ไปหายายบ้างเลยนะ มีเวลาให้แต่สาวๆ เลยลืมคนแก่” ชุติมาเปิดฉากต่อว่าหลานชายหัวแก้วหัวแหวนทันที อีกฝ่ายอ้อนผู้เป็นยายด้วยการโอบกอดและหอมแก้ม ทำเอาหญิงสูงวัยถึงกับยิ้มไม่หุบ
“ผมไม่ลืมคุณยายหรอกครับ เพียงแต่ว่าไม่มีเวลาเท่านั้นเองครับ ช่วงนี้งานมันยุ่งมากๆ เลยครับ”
เขาไม่คิดจะแก้ตัว ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมางานของเขารัดตัวมาก มากเสียจนกินเวลาส่วนตัวไปเลยทีเดียว เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว ดื่มก็ไม่ได้ดื่ม เรื่องสาวๆ สวยๆ ที่ไม่เคยว่างเว้น ช่วงนี้ห่างเว้นไปโดยปริยาย
“จ้าๆ ยายจะพยายามเชื่อก็แล้วกันนะ” ผู้เป็นยายพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“คุณยายมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” เขาเข้าเรื่อง
“มีจ้ะ ที่ยายมาวันนี้เพราะเรื่องการแต่งงานของหลาน”
สีหน้าของหลานชายมีความเบื่อหน่ายเข้ามาแทรกทันที คลายลำแขนที่รัดร่างของชุติมาออก ถอนหายใจแล้วทิ้งแผ่นหลังกระทบกับพนักพิงเบาะ
“ผมไม่อยากแต่ง ผมยังไม่พร้อม”
คำพูดที่ได้ใจความและตรงกับความรู้สึกของปัณณวิชญ์ถูกระบายออกไปให้ชุติมาได้รับฟัง
“ยายรู้ว่าหลานไม่อยากแต่งงาน แล้วทุกครั้งที่แม่ของหลานบังคับให้หลานไปพบผู้หญิงคนนั้นคนนี้เพื่อให้หลานดูตัว ยายก็คอยห้ามคอยปรามแม่ของหลานตลอด แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ยายกลับต้องการให้หลานแต่งงานตามที่แม่ของหลานได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้”
ชุติมาไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของปณีย์อรลูกสาวจอมเอาแต่ใจคนนี้เลย นางเคยห้ามเคยเตือนหลายครั้งแล้วว่า ชีวิตเป็นของปัณณวิชญ์ ปล่อยเขาลิขิตชีวิตด้วยตัวเอง หากชีวิตคู่จะผิดพลาดก็ให้ผิดพลาดด้วยมือของปัณณวิชญ์เอง
หากปณีย์อรเป็นคนเลือกและลิขิตชีวิตของลูกชายมากเกินไป เมื่อถึงเวลานั้นคนที่เสียใจมากที่สุดอาจจะเป็นลูกสาวของนางเอง ทว่าปณีย์อรจอมดื้อดึง หาได้ฟังคำเตือนของนาง กลับเถียงโต้กลับ ชุติมาอ่อนอกอ่อนใจในเรื่องนี้ จึงเลือกที่จะนั่งมองดูแค่นั้น
ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ เหตุผลของปณีย์อรในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งไหนๆ ความจำเป็นบีบคั้นให้ปณีย์อรเร่งรัดที่จะหาคู่ครองให้ลูกชาย โดยไม่ถามความสมัครใจของปัณณวิชญ์เลยแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังจัดเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ คล้ายกับมัดมือชกไปในตัว
“ทำไมล่ะครับ ทำไมคุณยายถึงได้เห็นดีกับคุณแม่ ทั้งๆ ที่คุณยายเป็นคนบอกผมเองว่า ชีวิตของผม ผมควรจะลิขิตด้วยตัวเอง เลือกคู่ชีวิตด้วยตัวเอง แต่ทำไมวันนี้คำพูดของคุณยายถึงได้เปลี่ยนไปล่ะครับ?” ปัณณวิชญ์ถามชุติมาด้วยความสงสัย มองหน้าคนที่เคยสั่งสอนเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“เรื่องของเรื่องมันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่คุณย่าของหลานยังไงล่ะ?” นางเกริ่น
“คุณย่ามาเกี่ยวอะไรด้วยครับ?” ปัณณวิชญ์ถามสวนกลับทันควัน เนื่องจากความไม่เข้าใจเพิ่มพูน
“หลานก็รู้ใช่ไหมว่า คุณย่าไม่ชอบแม่ของหลานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จ้องจะด่าว่ากระทบกระเทียบเรื่อง ชาติตระกูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแม่ของหลานก็ทนมาตลอดเพราะรักพ่อของหลาน ไม่ได้รักเงินทองหรือชาติตระกูลอันสูงส่งตามที่คุณย่าพูด แต่คนอย่างคุณย่ามีหรือที่จะเชื่อ ยังตั้งแง่รังเกียจแม่ของหลานมาจนถึงทุกวันนี้
แล้วที่แม่ของหลานรวบรัดจะให้หลานแต่งงานโดยที่ไม่ยอมบอกหลานนั้นก็มีสาเหตุและมีเหตุผล เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน คุณย่าบอกกับแม่ของหลานว่า ถ้าหากทำให้หลานแต่งงานได้ภายในสามเดือน คุณย่าจะเลิกพูด เลิกบ่น เลิกเสียดสีเรื่องชนชั้นวรรณะ แล้วจะให้แหวนเพชรประจำตระกูลที่คุณย่าจะต้องให้แม่ของหลานในฐานะลูกสะใภ้ แต่คุณย่ากลับไม่ให้ด้วยเหตุผลที่ว่า แหวนวงนั้นจะมอบให้ลูกสะใภ้ที่คุณย่าพอใจเท่านั้น นั่นหมายความว่าคุณย่าไม่ยอมรับแม่ของหลานเป็นสะใภ้ ตีหน้าว่าเป็นสะใภ้นอกคอก สะใภ้ที่ไม่ต้องการ อีกทั้งยังจะให้จดทะเบียนสมรสกับคุณชายด้วย ให้ใช้นามสกุลร่วมกับนาง ข้อนี้หลานก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า แม่ไม่ได้ใช้นามสกุลศักดิ์ศิลา แต่ใช้นามสกุลของยาย
แม่ของหลานจึงต้องทำอย่างนี้ไง ทำทุกอย่างเพื่อให้หลานแต่งงานตามกำหนดเวลาที่คุณย่าขีดเอาไว้ และที่คุณย่ายื่นข้อเสนอนี้ เพราะรู้นิสัยของหลานดีว่าแข็งเรื่องคลุมถุงชนมากแค่ไหน มั่นใจว่าตัวเองจะต้องชนะเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ก็มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งว่า ห้ามบอกเรื่องเงื่อนไขนี้กับหลาน ต้องให้หลานยินยอมแต่งงานด้วยตัวของหลานเอง
แม่ของหลานทุกข์และทนเรื่องของแม่สามีมาตลอด แต่ต้องอดทน อดกลั้นให้คุณย่าโขกสับ ต่อว่าต่างๆ นานา เพราะไม่ต้องการให้คนกลางอย่างคุณชายลำบากใจ แต่รู้ไหมว่าแม่ของหลานมาร้องไห้กับยายหลายครั้ง ยายเองก็ไม่รู้จะปลอบยังไง เพราะแม่ของหลานเป็นคนเลือกเอง เลือกที่จะรัก เลือกที่จะแต่งงานกับคุณชาย รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีอะไรเทียบเทียม รู้ทั้งรู้ว่าแม่สามีเกลียดชังเข้าไส้
ยายรู้ว่าหลานไม่อยากแต่งงาน แต่ยายอยากให้หลานทำเพื่อแม่สักครั้ง หลานคงไม่รู้หรอกว่า แม่ของหลานทำเพื่อหลานกับเบลล์มากแค่ไหน หลานอาจจะยังไม่รู้ ยายจะเล่าให้หลานฟังนะ เริ่มตั้งแต่หลานลืมตาดูโลก หลานรู้หรือเปล่าว่า คุณย่าไม่ยอมให้หลานกินนมแม่ ไม่ยอมให้แม่ของหลานเลี้ยงลูกในไส้ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการให้หลานดื่มกินสายเลือดในอก ไม่ต้องการให้หลานชายคนแรกของตระกูลต้องแปดเปื้อนด้วยมือของคนชั้นต่ำที่เป็นลูกของแม่ค้าขายข้าวแกงข้างทางไปมากกว่านี้ แค่ในตัวหลานมีสายเลือดครึ่งหนึ่งของแม่ คุณย่าของหลานก็เต็มกลืนมากแล้ว
แม่ของหลานไม่ได้อุ้มหลานเลยนะตั้งแต่หลานเกิด แต่โชคดีที่ว่าหลานไม่ดื่มนมผงตามความตั้งใจของคุณย่า ป้อนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมดื่ม ร้องไห้กระจองอแงหนึ่งวันเต็มๆ จนคุณย่าต้องยอมให้หลานกินนมแม่ แต่ก็ยังไม่ยอมให้แม่ของหลานเลี้ยงหลาน จะให้แม่ของหลานใกล้ชิดและอุ้มชูหลานแค่เวลากินนมเท่านั้น นานร่วมสองปีเลยนะกว่าที่คุณย่าจะยอมให้แม่ของหลานเลี้ยงดูลูกเหมือนกับที่ควรจะเป็น แล้วต้องอดทนทุกอย่างเรื่อยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ยายอยากให้หลานอดทนเพื่อแม่บ้าง แต่งงานเพื่อแม่ไปก่อน ให้แม่ของหลานได้สมตามความตั้งใจสักครั้ง ให้ได้รับความสุขสมของช่วงเวลานี้บ้าง ตอบแทนที่แม่ทำเพื่อหลานกับน้องมาตลอด แล้วถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ ค่อยเลิกรากัน เพราะยายเองก็คิดว่า ฝ่ายหญิงคงทนไม่ได้เหมือนกันที่จะอยู่กับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก แต่ที่ต้องแต่งงานอาจจะเป็นเพราะขัดพ่อขัดแม่ไม่ได้เหมือนกับหลานยังไงล่ะ ทำเพื่อแม่สักครั้งได้ไหมลูก ตอบแทนในความอดทนอดกลั้นของแม่สักครั้งนะหลานนะ ยายสงสารแม่ของหลาน”
คำพูดยืดยาวของชุติมาทำให้คนฟังถึงกับตกอยู่ในอาการนิ่งงัน เรื่องที่เอี่ยมลออผู้เป็นย่าไม่ชอบหน้า ปณีย์อรผู้เป็นมารดานั้น เขารู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว และหลายครั้งที่ได้ยินวาจาเสียดสีของผู้เป็นย่า หลายครั้งที่เห็น สีหน้าเสียใจและเต็มไปด้วยความทุกข์ของมารดา ณ ตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าเป็นแค่เรื่องของแม่ผัวลูกสะใภ้ ที่อาจจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง ไม่คิดว่าในความแค่นั้นมันมีอะไรมากกว่าที่เห็น
หลังจากที่ผู้เป็นย่าแยกตัวไปอยู่บ้านดวงเดือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ปัณณวิชญ์ก็คิดว่าความชิงชังของเอี่ยมลออที่มีต่อมารดาจะลดเลือนหายไป หรือไม่ก็ต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่ามันยังคงลุกลามอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เรื่องการเลี้ยงดูเขาตอนแรกเกิด เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งได้รับรู้ แล้วพอได้รับรู้ความสงสารและความรู้สึกผิดที่แข็งขืนกับมารดามาตลอด แน่นตึงอยู่ในใจ
มารดาทำเพื่อเขามาโดยตลอด
แต่เขาไม่เคยทำอะไรเพื่อมารดาเลย...ปัณณวิชญ์จึงตกอยู่ในอาการคิดหนัก
“ยายรู้ว่าหลานลำบากใจและนึกเสียดายความโสด แต่ยายอยากให้หลานนึกถึงแม่ นึกถึงสิ่งที่แม่ทำเพื่อหลาน จริงอยู่ที่แม่ของหลานเป็นคนเอาแต่ใจ เจ้ากี้เจ้าการ อยากได้อะไรต้องได้ แต่นั่นมันเป็นการแสดงออกทางด้านอารมณ์ที่เก็บกด หลานไม่สังเกตเหรอว่าพ่อของหลานตามใจแม่ของหลานมากแค่ไหน ไม่เคยทักท้วงในสิ่งที่เมียบงการชีวิตลูก นั่นเพราะคุณชายอยากจะชดเชยในสิ่งที่เมียได้รับจากแม่ของตัวเอง ครั้นจะต่อว่าแม่ของตัวเองก็ไม่ได้อีก ได้แต่แอบเห็นใจเมียอยู่เงียบๆ ว่าไงลูก ทำเพื่อแม่สักครั้งได้หรือเปล่า?”
ชุติมาไม่ได้พูดโน้มน้าว แต่นางพูดความจริง ความจริงที่นางไม่เคยบอกใครมานานหลายสิบปีให้หลานชายรูปหล่อได้รับรู้ เผื่อว่าคำพูดนี้จะทำให้การตัดสินใจของปัณณวิชญ์เป็นไปในทิศทางที่นางต้องการ
คนที่ถูกถามชั่งใจคิดอย่างหนักชั่วครู่ ก่อนจะตอบ “ตกลงครับ ผมจะแต่งงานตามที่คุณแม่ต้องการ”
“ขอบใจมากนะหลานรัก ขอบใจมาก แม่ของหลานคงจะดีใจไม่น้อยที่ได้ยินคำตอบรับนี้”
ก่อนที่ใครๆ จะได้เห็นรอยยิ้มแห่งความดีใจของปณีย์อร เวลานี้รอยยิ้มของชุติมานำทางไปก่อนหน้า คำตอบที่ได้รับแช่มชื่นหัวใจเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นนางก็สงสารและเห็นใจหลานชายเช่นกัน
“ผมอยากให้คุณแม่มีความสุขบ้าง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม”
ปัณณวิชญ์กำลังคิดว่า การแต่งงานที่ไร้ซึ่งความเต็มใจ ไร้ซึ่งความรัก ไร้ซึ่งความเสน่หา แต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้จัก มันคงจะไม่จีรังยั่งยืน คงจะต้องจบสิ้นในเร็ววัน ดังคำสุภาษิตที่ว่า ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำ ก็เลิกรากันเสียแล้ว มันจะต้องเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน ตอนนี้ชายที่หวงความโสดคิดเพียงว่า ทำเพื่อมารดาไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
“ดีแล้วลูก แต่งๆ ไปก่อน เรื่องจะหย่าหรือไม่หย่าค่อยว่ากันอีกที เพราะยายเองก็คิดว่าฝ่ายหญิงก็คงถูกบังคับเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันหรอก”
นางรู้มาจากลูกสาวจอมเอาแต่ใจว่า นิสามณีไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้าปัณณวิชญ์มาก่อน เพราะอยู่เมืองนอกตั้งแต่เล็ก เพิ่งกลับมาเมืองไทยเมื่อกลางปีที่ผ่านมา อีกทั้งครอบครัวนี้ไม่ชอบออกงานสังคม รักสันโดษ เพิ่งโผล่หน้าออกจากคฤหาสน์หลังงามเมื่อเร็วๆ นี้เอง
“ผมก็ว่าอย่างนั้น ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นยังไง สงสัยว่าจะไม่สวยจนไม่มีใครเอา อ้วนพุงโตหาความเจริญหูเจริญตาไม่ได้ พอคุณแม่ไปขอก็เลยรีบตกลง กลัวลูกสาวจะขายไม่ออก ตกหนักที่ผมที่ต้องทนอับอายกับความอัปลักษณ์ของเมียในอนาคต”
ปัณณวิชญ์กล่าวถ้อยคำดูถูกว่าที่เจ้าสาวของตนเอง แล้วเขาก็คิดอย่างที่พูดจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นรวยทรัพย์สิน รวยด้วยหน้าตาทางสังคม แต่ทำไมหาคู่ครองไม่ได้ มีอยู่ไม่กี่เหตุผลเท่านั้นที่เขาคิดออก เหตุผลหนึ่งก็คือ หน้าตาคงจะดูไม่ได้ อ้วนเป็นหมูตอน
“เอาน่าหลานรัก คอยดูกันไปก็แล้วกัน หรือว่าจะให้แม่ของหลานนัดว่าที่เมียให้หลานดูตัวก่อนดีไหม จะได้ทำความรู้จักกันไว้”ชุติมาเสนอความคิดเห็น
“ไม่เอาหรอกครับ กลัวทำใจไม่ได้ถ้าได้เห็นหน้าอัปลักษณ์ของผู้หญิงคนนั้น เจอกันวันแต่งเลยดีกว่า” เขาค้านกลับทันควัน แค่ยอมแต่งงานด้วยก็เกินจะทนแล้ว หากได้เห็นหน้าไม่สบายตาของว่าที่เจ้าสาว เขาอาจจะเปลี่ยนใจเอาดื้อๆ สู้ไม่เห็นเลยยังจะดีเสียกว่า
“เอาไงก็เอา” ชุติมาไม่พูดขัด “ว่าแต่ว่าเรื่องที่ยายมาเล่าให้หลานฟัง อย่าได้บอกใครเชียวนะ เดี๋ยวเรื่องนี้จะไปถึงหูของคุณย่าเข้า คราวนี้แหละแม่ของหลานจะต้องทุกข์ยาวแน่ๆ เลย” ก่อนจะกำชับหลานสุดหล่อ
“ครับ ผมไม่บอกใครครับ” เขารับปากเสียงแข็ง
“ขอบใจหลานมากนะที่ยอมทำเพื่อแม่ ขอบใจจริงๆ”
การเดินทางมาหาหลานชายหัวแก้วหัวแหวนในวันนี้ นางรับรู้ถึงความเสี่ยง เสี่ยงที่ปัณณวิชญ์จะไม่ตอบตกลง เสี่ยงเพราะกลัวว่าท่านผู้หญิงเจ้ายศเจ้าอย่างจะรู้เรื่องนี้เข้า ทว่านางก็ต้องเสี่ยงเพื่อลูกสาว นางทนเห็นปณีย์อรกลายเป็นคนอมทุกข์ต่อไปไม่ได้แล้ว สุดท้ายความเสี่ยงของนางก็เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
“ผมถือว่าผมตอบแทนพระคุณของคุณแม่ครับ ส่วนเรื่องอื่นผมจะจัดการเองครับคุณยาย” เวลานี้เขาไม่คิดถึงตัวเอง คิดถึงแต่หน้าของมารดาที่ลอยเข้ามาปะทะสมองและความรู้สึก เรื่องที่เขารับรู้ในวันนี้ ทำให้ความคิดหลายอย่างของเขาหยุดชะงักลงชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกับการถูกคลุมถุงชน ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ จำต้องหยุดความคิดนี้ไว้ก่อน ให้ผ่านช่วงเวลาสำคัญในชีวิตที่ไม่ปรารถนาไปสักพัก แล้วเขาค่อยนึกถึงตัวเอง
ในใจลึกๆ เขาไม่ต้องการให้ถึงวันนั้น...วันมงคลสมรสของเขา ต้องการให้โลกถล่มดินทลายเสียวันนี้พรุ่งนี้ เพื่อยุติปัญหาที่หนักอึ้งแสนอึดอัดนี้ไปโดยปริยาย