บทที่ 1 เจ้าสาวของปัณณวิชญ์ 1
ในที่สุดวันวิวาห์ระหว่างปัณณวิชญ์กับนิสามณีก็ถูกจัดขึ้นภายในบ้านของฝ่ายหญิง แทนที่จะจัดอย่างสมเกียรติในโรงแรมหรูเจ็ดดาวตามความปรารถนาของปณีย์อรผู้เป็นแม่ของเจ้าบ่าว เนื่องจากปัณณวิชญ์ตั้งเงื่อนไขกับมารดาไว้ว่า เขายอมแต่งงานแต่ต้องไม่มีการจัดงานเอิกเกริก ไม่เชิญแขกมานับร้อยนับพัน ไม่มีพิธีรดน้ำสังข์ ไม่มีการจัดเลี้ยงใดๆ ทั้งสิ้น จะมีเพียงแค่การจดทะเบียนสมรส ผูกข้อไม้ข้อมือเท่านั้น แล้วเชิญแขกเฉพาะที่สนิทกันจริงๆ อาทิเช่นเครือญาติเป็นต้น และนั่นทำให้ผู้เป็นแม่ถึงกับบ่นชุดใหญ่
“แล้วอย่างนี้มันจะเรียกว่าแต่งงานได้ยังไงล่ะ เพื่อนๆ แม่หรือคนในสังคมไม่มีใครรู้ว่าปัณณ์แต่งงานแล้ว” ปณีย์อรพูดขึ้นทันควันหลังจากได้ฟังเงื่อนไขของลูกชาย
“จดทะเบียนสมรสก็ถือว่าแต่งงานแล้วครับคุณแม่ ผมยอมแค่นี้นะครับ ถ้าคุณแม่ตกลงผมก็จะแต่งงาน แต่ถ้าไม่ตกลง ผมก็ไม่แต่งงาน” เงื่อนไขที่เขาพูดออกไปนั้น ปัณณวิชญ์รู้ดีว่า มารดาจะต้องยอมรับแต่โดยดี เพราะมันเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะยอมแต่งงานกับหญิงสาวที่ไม่รู้จัก และไม่ได้รัก
“ก็ได้ เอาอย่างที่ปัณณ์พูดก็ได้”
ปณีย์อรตอบรับเงื่อนไขอย่างไม่เต็มใจนัก จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่า สิ่งที่นางต้องการจะหลุดมือไปในพริบตา แค่ลูกชายเดินเข้ามาบอกนางว่า ยอมแต่งงานกับนิสามณี นางก็ดีใจเป็นที่สุด ได้คืบจะเอาศอกก็ไม่ได้ พลอยจะไม่ได้อะไรเลย
“งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ ก่อนวันแต่งงานหนึ่งวันคุณแม่อย่าลืมเตือนผมนะครับว่าผมต้องแต่งงาน เผื่อผมลืม เพราะมันไม่ใช่วันสำคัญของผม”
ปัณณวิชญ์พูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นทันทีที่สนทนาธุระกับมารดาเสร็จ ในใจหวังเหมือนเช่นเคย ไม่ต้องการให้ถึงวันชื่นคืนทุกข์ วันนั้นเลย
การแต่งงานของปัณณวิชญ์กับนิสามณีในวันนี้ดูจะเรียบง่ายเหลือเกิน ไม่มีการใส่บาตรในช่วงเช้าเหมือนกับคู่บ่าวสาวคู่อื่นๆ ทั้งๆ ที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้จัดเตรียมของใส่บาตรไว้เสร็จสรรพ พระสงฆ์เก้ารูปที่นิมนต์มาก็พร้อม เจ้าสาวแต่งตัวรอเจ้าบ่าวด้วยอาการตื่นเต้นก็พร้อม ขาดแค่เพียงเจ้าบ่าวที่ไม่ยอมลุกจากที่นอน ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อคืนเขาหลับนอนกับนางแบบลูกครึ่งชื่อดังจนหมดเรี่ยวแรง จึงไม่อยากลุกจากที่นอนในเวลานี้ กว่าที่ปณีย์อรจะลากลูกชายลงมาจากเตียงได้ก็ร่วมครึ่งชั่วโมง
แล้วต้องมาเสียเวลารอปัณณวิชญ์ที่อ้อยอิ่งอาบน้ำแต่งตัวอีกหนึ่งชั่วโมง กว่าจะมาถึงบ้านของเจ้าสาวก็ปาเข้าไปเกือบเก้านาฬิกา ฉิวเฉียดฤกษ์งามยามดีที่กำหนดเอาไว้ด้วย
“มาแล้วค่ะคุณหญิง เจ้าบ่าวมาแล้วค่ะ” ลูกตาลสาวใช้ประจำบ้านรีบวิ่งมาบอกเจ้านายทั้งหลายที่นั่งอยู่บนโซฟา
“งั้นแกขึ้นไปบอกให้นิสาเตรียมตัวได้แล้ว ว่าที่ผัวของมัน
มาแล้ว” สาวใช้คนเดิมรีบซอยเท้าวิ่งขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันทีที่ได้รับคำสั่งจากคุณหญิงอภิรดี
“กว่าจะมาได้เล่นเอาใจหายใจคว่ำเลยนะคะคุณแม่ขา นึกว่านังนิสามันจะเป็นม่ายขันหมากซะแล้ว เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ”
เสียงเยาะเย้ยของรัตนามณีหรือหญิงรัตน์ ลูกสาวคนโตของตระกูลกมลฤทธิกุลดังขึ้น ท่ามกลางการลุ้นระทึกของทุกคนที่มาร่วมแสดงความยินดีในงานมงคลสมรสในครั้งนี้
“พูดอะไรอย่างนั้นหญิงรัตน์ ไม่น่าฟังเลยนะลูก”
หม่อมหลวงปริญญาห้ามปรามลูกสาวสุดที่รัก เขาไม่ต้องการให้ใครมองรัตนามณีในทางที่ไม่ดี แม้ว่าในห้องโถงใหญ่ของบ้านในเวลานี้ จะมีแค่ญาติสนิทไม่กี่คนก็ตาม
“ก็หญิงรัตน์พูดความจริงนี่คะคุณต้อม จะไปว่าลูกได้ยังไงล่ะคะ” คุณหญิงอภิรดีเข้าข้างลูกสาวเต็มที่
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรลูกนะคุณรดี ที่ห้ามปรามเพราะไม่ต้องการให้ใครมองหญิงรัตน์ในทางที่ไม่ดีก็แค่นั้นเอง” ปริญญาให้เหตุผล
“ใครมันจะได้ยินคะ ที่อยู่ตรงนี้ก็มีแค่คุณต้อม รดีและหญิงรัตน์เท่านั้น มีคนอื่นที่ไหนกันล่ะคะ แล้วถ้าคิดแค่นั้นก็แล้วไป ลูกของรดีจะต้องดีที่สุด เลิศที่สุด แล้วต้องดีกว่าลูกนอกสมรสของคุณต้อมด้วย จำเอาไว้” อภิรดีพูดใส่หน้าสามี พร้อมกับส่งค้อนวงใหญ่เป็นของแถม สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ
“ผมรู้คุณรดี ผมรู้”
ข้อนี้ปริญญารู้อยู่เต็มอก และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขายอมยกนิสามณี ลูกนอกสมรสให้กับปัณณวิชญ์ลูกชายของปัณณพัฒน์กับคุณหญิงปณีย์อร ศักดิ์ศิลา เพื่อที่จะให้ลูกสาวคนนี้ได้มีชีวิตที่ดีกว่าทุกวันนี้ ให้พ้นจากขุมนรกที่เผาผลาญลูกสาวแสนดีของเขามาตั้งแต่เกิด
“รู้แล้วก็ดีค่ะคุณต้อม”
นางกระแทกเสียงพูด ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นแช่มชื่นเมื่อเห็นครอบครัวของฝ่ายเจ้าบ่าวเดินเข้ามาในบ้าน แล้วยิ้มกว้างทันทีที่เห็นคนของอีกฝ่ายช่วยกันถือสินสอดทองหมั้นมาวางไว้บนตั่งตัวเตี้ย ที่มีความสูงไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตรตามันพราว
“สวัสดีค่ะคุณท่าน สวัสดีค่ะคุณชาย สวัสดีค่ะคุณน้องหญิง สวัสดีจ้ะลูกเขยปัณณ์”
อภิรดีพนมมือไหว้ท่านผู้หญิงเอี่ยมลออที่เดินเชิดนำหน้า ปัณณพัฒน์ คุณหญิงปณีย์อร และปัณณวิชญ์เจ้าบ่าวของงาน ก่อนจะกล่าวทักทายตามลำดับ อีกฝ่ายที่ถูกทักทายก็ทักทายตอบกลับ จากนั้นทุกคนจึงนั่งประจำที่ เอี่ยมลออ ปัณณพัฒน์ และปณีย์อรนั่งบนโซฟา ส่วนเจ้าบ่าวนั่งบนพื้นพรม
“ลูกสาวคนโตของรดีเองค่ะท่านหญิง ชื่อหญิงรัตน์ค่ะ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมื่อวานนี้เองค่ะ” อภิรดีแนะนำตัวลูกสาวให้บุคคลที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้รู้จัก
“สวัสดีค่ะ”
รัตนามณีทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสามอย่างนอบน้อม โดยเฉพาะบุคคลที่สี่ที่เธอพนมมือไหว้สวยงามเป็นพิเศษ พร้อมกับส่งสายตาหวานซึ้ง รอยยิ้มสวยงามให้อย่างจงใจ มองใบหน้าหล่อเหลาของปัณณวิชญ์ เจ้าบ่าวของน้องสาวนอกไส้ตาระยิบระยับ
“ว้าว!!...หล่อบาดใจดีเหลือเกิน หล่อกว่าในรูปเสียอีก”
รัตนามณีพูดในใจ ในภาพถ่ายตามนิตยสารและข่าวสังคมซุบซิบที่เธอเคยเห็นนั้นหล่อสู้ตัวจริงไม่ได้เลย หล่อ สมาร์ท ดูดีจนเธออยากจะเป็นเจ้าสาวเสียเอง เพราะเพียงแค่มองร่างกายของเธอก็แทบละลาย เขาเหมือนเปลวไฟร้อนแรงน่ากลัว แต่ก็คงความมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย จนเธอต้องการจะพุ่งกระโจนเข้าใส่เปลวไฟนั้น ทว่าเธอต้องระงับความรู้สึกทุกสิ่งอย่างเอาไว้ เพื่อให้แผนการบางอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
“ได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งได้เห็นหน้าวันนี้เอง สวยทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะคะเนี่ย” ปณีย์อรกล่าวชื่นชม นางมาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นหน้าค่าตาของรัตนามณี ลูกสาวคนโตของหม่อมหลวงปริญญากับคุณหญิงอภิรดี เจอเพียงนิสามณีคนเดียวเท่านั้น ถามไถ่ก็ได้รับคำตอบเหมือนกับที่อภิรดีพูดออกมาเมื่อครู่
“นี่ก็ใกล้ฤกษ์งามยามดีแล้ว เราน่าจะเตรียมตัวเข้าสู่พิธีกันได้แล้วนะ ไม่ใช่มานั่งเสียเวลาทำความรู้จักกันแบบนี้”
เสียงเย่อหยิ่งของเอี่ยมลออดังขึ้น นางเองก็ไม่พอใจกับการแต่งงานในลักษณะนี้มากนัก เพราะมองๆ ดูแล้วมันไม่เหมือนเป็นการวิวาห์เลยสักนิดเดียว พิธีอะไรก็ไม่มีสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรดน้ำสังข์เพื่อให้แขกเหรื่อได้อวยพร งานเลี้ยงยิ่งใหญ่สมฐานะของสองตระกูล ไม่เลยไม่มีสักอย่าง มีเพียงการจดทะเบียนสมรสและการสวมแหวน ผูกข้อไม้ข้อมือเท่านั้น
“ค่ะท่านหญิง ดิฉันให้คนไปตามนิสาลงมาแล้วค่ะ” อภิรดีกล่าวด้วยรอยยิ้มแล้วให้ความนอบน้อม เอี่ยมลออ ท่านผู้หญิงเจ้ายศเจ้าอย่างแห่งปี ผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว “นั่นไงคะ นิสาลงมาแล้วค่ะ”
บุคคลในตระกูลศักดิ์ศิลาเงยหน้ามองสตรีนางหนึ่งที่ก้าวลงมาจากบันไดด้วยสายตาตื่นตาพึงพอใจ แม้แต่เอี่ยมลออที่ไม่เคยยอมรับผู้หญิงคนไหนที่จะเข้ามาใช้นามสกุลร่วมกับนางง่ายๆ ยังมีรอยยิ้มบางๆ ตรงริมฝีปาก เมื่อได้ยลโฉมหลานสะใภ้ที่มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาในภาพวาด
ก่อนจะสงวนท่าทางพอใจไว้ภายใต้รูปหน้านิ่งเฉย ที่ปรับเปลี่ยนอย่างทันท่วงที คิดในใจว่าความสวยงามของหลานสะใภ้ไม่ได้หมายความว่า นางจะชอบและปลาบปลื้ม หากนางเห็นว่านิสามณีไม่คู่ควรกับหลานชายสุดที่รักของนาง ใบหย่าก็จะว่อนมาตรงหน้าทันทีทันใด
ข้อนี้เองที่นางยอมอ่อน ยอมเป็นฝ่ายแพ้ตามเงื่อนไขที่ให้ไว้กับปณีย์อร ถึงแม้ว่าจะตะขิดตะขวงใจก็ตาม แต่ในเมื่อนางลั่นวาจาไปแล้ว และอีกฝ่ายก็ทำได้ คนจริงอย่างนางก็ยอมรับความปราชัยที่มีต่อลูกสะใภ้ แม้ว่าจะรู้สึกเสียหน้ามากก็ตาม
แล้วเมื่อรู้ว่า หลานสะใภ้ของนางคือนิสามณีลูกหลานของตระกูลกมลฤทธิกุล ตระกูลที่มีเชื้อสายเจ้าขุนมูลนาย นางก็ไม่คิดจะขัดขวาง เพราะอย่างน้อยตระกูลของหลานสะใภ้ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าตระกูลศักดิ์ศิลา แต่ถ้าหากนางพิสูจน์แล้วว่า นิสามณีไม่เหมาะที่จะเป็นหลานสะใภ้คนโตของตระกูลอันมีเกียรติของนาง การหย่าล้างต้องเกิดขึ้นแน่นอน
จะมีเพียงคนเดียวที่ไม่อยากจะเงยหน้าไปมองคนที่กำลังเดินลงมา เขากลัวว่าจะทำใจไม่ได้หากได้เห็นใบหน้าและรูปร่างอัปลักษณ์ของเจ้าสาว แค่ฝืนทนแต่งงานด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่าให้ทรมานเห็นหน้าเห็นตาที่ไม่เจริญหูเจริญตาอีกเลย เขารับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ ต่างกับปัณณพัฒน์และปณีย์อรที่ฉีกยิ้มกว้าง กับความงามของนิสามณีลูกสะใภ้
“เดินไปรับน้องสิปัณณ์” ผู้เป็นพ่อกระซิบบอกลูกชายที่นั่งอยู่บนพื้นพรมลายสวยของบ้าน ที่ไม่คิดจะหันหน้าไปมองเจ้าสาว
“ผมขี้เกียจลุก ตะคริวขึ้นครับ เธอมีขามีเท้าเดี๋ยวก็เดินมาที่นี่เองแหละครับคุณพ่อ” เขาบอกปัด ทำสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มประดา
“พ่อบอกให้ลุกขึ้นไปรับหนูนิสา”
น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อเข้มขึ้น ทำให้เจ้าบ่าวทำตามอย่างเสียมิได้ แต่พอตัดใจเงยหน้ามองไปยังร่างของเจ้าสาวที่เดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย วินาทีนั้นปัณณวิชญ์ก็ตกอยู่ในอาการตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วไม่คิดด้วยว่าความรู้สึกนี้จะมาย่ำเยือนประสาทสัมผัสของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้น่ะหรือคือเจ้าสาวของเขา ใช่แน่หรือ ใช่จริงๆ ใช่ไหม ปัณณวิชญ์ย้ำถามตัวเองหลายครั้งหลายหน นึกว่าตัวเองฝันไป
“ลุกไปสิปัณณ์” ผู้เป็นพ่อย้ำอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เจ้าบ่าวรู้สึกตัว หายจากอาการตื่นตะลึงที่แวบเข้ามาในสมองทันทีที่ได้เห็นดวงหน้าสวยงาม รูปร่างอรชรสมส่วนชวนมอง
เจ้าสาวของเขา ไม่ได้น่าเกลียด อ้วนพีเหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้
ชุดไทยสีงาช้างส่งเสริมให้ผิวพรรณของเธอผุดผ่อง เนินอกอวบคู่งามล้นทะลักพอให้เขาเกิดความร้อนรุ่ม สมองของเขาจินตนาการล้ำลึกไปมากกว่านั้น กำลังนึกว่าหากชุดไทยชุดนี้หลุดออกจากร่างสาว อวดเรือนร่างสรีระที่งดงาม มันจะน่าสัมผัส ชวนเสน่หามากเพียงไร