บทที่ 5 เมียหรือนางบำเรอ 1
สี่วันสามคืนผ่านไป
“ติดต่อปัณณ์ได้หรือเปล่าคะคุณชาย?”
คำถามนี้ถูกขับออกมาจากปากของปณีย์อรเป็นครั้งที่เท่าไหร่ คนที่ถามและคนที่ตอบแทบจะนับไม่หวาดไม่ไหว เป็นคำถามที่ทุกคนในบ้านศักดิ์ศิลาต้องการรู้มากที่สุด
ปัณณวิชญ์ออกไปจากบ้านทันทีหลังจากที่ส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ ไม่บอกให้ใครรู้ว่าไปไหน ปิดการสื่อสารทุกทาง หมกตัวอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไหนสักแห่ง แล้วไม่รู้ด้วยว่าจะกลับมาบ้านเมื่อไหร่ ปล่อยให้ภรรยาสาวนั่งแก่วนอนแก่วอยู่บนเตียงตามลำพัง
“ยังติดต่อไม่ได้เลยน้องหญิง”
ปัณณพัฒน์หันมาตอบคำถามภรรยา หลังจากที่กดโทรศัพท์ติดต่อลูกชายเป็นครั้งที่สามร้อย
“หายหัวไปไหนนะลูกคนนี้ กลับมาเมื่อไหร่เจอดีแน่” ปณีย์อรเข่นเขี้ยวลูกชาย
“คุณแม่ใจเย็นๆ นะคะ ดื่มน้ำแอปเปิ้ลก่อนนะคะ จะได้สดชื่น”
ลูกสะใภ้แสนดียกแก้วน้ำแอปเปิ้ลคั้นสดที่เย็นพอดีส่งให้แม่สามี ที่รับแก้วน้ำนั้นขึ้นมาจิบอย่างเสียมิได้ พอจิบเข้าไปเพียงนิด รสชาติกลมกล่อมบวกกับความเย็นทำให้เธอดื่มไปเกือบครึ่งแก้ว รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณพ่อดื่มน้ำแอบเปิ้ลก่อนนะคะ นี่ค่ะ”
ก่อนที่เธอจะยกแก้วน้ำแอปเปิ้ลส่งให้พ่อสามี ที่รับมาดื่มไปเกือบครึ่งแก้วเช่นกัน
“พ่อต้องน้ำหนักตัวขึ้นแน่ๆ เลย ตั้งแต่นิสามาอยู่ที่นี่ พ่อเจริญอาหารขึ้นเยอะเลย” ปัณณพัฒน์พูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ใช่ค่ะคุณชาย จะไม่ให้เราสองคนน้ำหนักตัวขึ้นได้ยังไงล่ะคะ อาหารที่นิสาทำอร่อยเหาะออกอย่างนั้น ทั้งของคาวของหวาน น้ำผลไม้เอย เด็ดๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ ทานข้าวทีเบิ้ลทุกมื้อ”
ปณีย์อรปลาบปลื้มกับลูกสะใภ้คนนี้มาก ความสวยที่ไม่เป็นสองรองใคร การทำอาหารก็ไม่แพ้ใคร กิริยามารยาทงดงามสมหน้าตาสมฐานะ ยิ่งคิดยิ่งมีแต่ความปลื้มใจ คิดไม่ผิดที่ไปสู่ขอหญิงสาวแสนดีคนนี้มาเป็นสะใภ้
“นั่นสิ ผมอยากให้ปัณณ์ได้ชิมอาหารฝีมือของนิสาบ้างจัง ติดใจขึ้นมาจะได้อยู่บ้านอยู่ช่องติดกับเขาบ้าง นี่อะไรมีครอบครัวแล้วยังจะทำตัวเป็นหนุ่มโสดอยู่ได้ กลับมาเมื่อไหร่เห็นทีต้องอบรมกันยาว”
ไม่เพียงแค่ปณีย์อรเท่านั้นที่ไม่พอใจการกระทำของลูกชาย ปัณณพัฒน์ที่รักความถูกต้องยังขุ่นเคืองลูกชายไม่น้อย ถึงขั้นออกปากจะอบรมสั่งสอนนั่นเท่ากับว่า...
โกรธมากๆ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ คุณปัณณ์อาจจะติดธุระก็ได้ค่ะ ยุ่งมากเลยไม่ติดต่อกลับมา เดี๋ยวคุณปัณณ์เสร็จธุระก็คงกลับมาเองค่ะ คุณพ่อคุณแม่อย่าโกรธคุณปัณณ์เลยนะคะ”
นิสามณีแก้ตัวแทนสามี ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่า เวลานี้ปัณณวิชญ์อยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ ความที่ไม่ต้องการให้พ่อและแม่สามีต้องเครียดและคิดมาก หวังจะพูดให้คลายความโกรธเท่านั้น
“ทำไมเป็นคนดีอย่างนี้นะ ดูสิขนาดปัณณ์หนีออกไปไหนก็ไม่รู้ ยังจะแก้ตัวแทนอีก ยิ่งนิสาดีเท่าไหร่แม่ก็ยิ่งจะต้องจัดการกับปัณณ์มากเท่านั้น ทำอย่างนี้แม่ไม่ปลื้ม”
ความปลาบปลื้มในตัวของลูกสะใภ้ดูจะมีเพิ่มมากขึ้น หลังจากได้ยินวาจาแก้ต่างแทนสามีของนิสามณี แทนที่จะโกรธเคืองที่อีกฝ่ายหายออกจากบ้านไปไม่ดูดำดูดี กลับกล่าววาจาให้ตนและสามีอย่าโกรธอย่าเคืองบุตรชาย
“ใช่ ถึงแม่ไม่จัดการ พ่อก็จะจัดการเอง ทำตัวแบบนี้ไม่ได้ มีครอบครัวแล้วก็ต้องดูแลครอบครัว ไม่ใช่ปล่อยทิ้งขว้างแบบนี้” ปัณณพัฒน์ยังคงความตั้งใจเดิม ไม่ยอมลดราวาศอกให้ลูกชาย
“นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว นิสาไปนอนเถอะลูก พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาทำของใส่บาตรอีก” ปณีย์อรเอ่ยบอกลูกสะใภ้ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่บนฝาผนัง
“นั่นสิ ไปนอนเถอะลูก พ่อกับแม่จิบชาเสร็จก็จะขึ้นนอนเหมือนกัน”
พ่อสามีพูดสำทับอีกคน
“ค่ะคุณพ่อ คุณแม่”
นิสามณีทำตามที่ผู้ใหญ่ทั้งสองเอ่ยบอก หมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน สวนกับสายป่านที่เดินถือชุดน้ำชาร้อนๆ ที่เจ้าของบ้านจะต้องดื่มก่อนนอนทุกคืนมาเสิร์ฟให้บุคคลทั้งสอง
เสียงปิดประตูปังใหญ่ทำให้คนสองคนที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องรับแขกมองหน้ากัน ก่อนจะวางถ้วยน้ำชา ลงบนที่รองถ้วย รอคอยร่างของลูกชายที่อีกไม่กี่วินาทีคงจะเดินเข้ามาในบ้าน แล้วการรอคอยของทั้งสองก็สิ้นสุดลง
“หายหัวไปไหนมาตั้งหลายวันปัณณ์?”
คำถามแรกขับออกมาจากปากของปัณณพัฒน์ที่มองสภาพของลูกชายด้วยความไม่พอใจ สภาพของปัณณวิชญ์ตอนนี้ไม่เหลือเค้าหนุ่มรูปงาม ผู้ชายที่ต้องเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วตั้งแต่เสื้อผ้า หน้าตา ร่างกายจนกระทั่งถึงทรงผม ภาพของลูกชายตอนนี้เส้นผมยุ่งเหยิง หาทรงไม่ได้ หน้าตาเหมือนคนหลับไม่เต็มอิ่ม เสื้อผ้ายับย่นราวกับว่าจับขยุ้มหมกไว้ในตู้ อีกทั้งยังมีกลิ่นสุราคละคลุ้ง
“เที่ยว” คนที่ถูกถามตอบสั้นๆ
“เที่ยว” ผู้เป็นพ่อกระแทกเสียงพูด “ไปเที่ยวทั้งๆ ที่มีเมียแล้วเนี่ยนะ เอาสมองส่วนไหนคิด โตแล้วนะปัณณ์ไม่ใช่เด็กๆ ถึงได้ทิ้งความรับผิดชอบแบบนี้” ปัณณพัฒน์เปิดฉากต่อว่าลูกชายทันที
“ผมก็รับผิดชอบในส่วนของผมแล้วนะครับคุณพ่อ อยากให้ผมแต่งงานผมก็แต่ง ให้ผมจดทะเบียนสมรสผมก็จด คุณพ่อให้ผมอยู่กินข้าวด้วยผมก็อยู่ ผมทำหน้าที่ของผมเสร็จหมดแล้ว มันก็ถูกไม่ใช่เหรอครับที่ผมจะทำตามใจผมบ้าง”
ปัณณวิชญ์พูดในสิ่งที่อัดอั้นตันใจเขามาหลายวัน ระบายให้บุพการีได้รับฟัง เขาคิดว่าทำเพื่อมารดาสำเร็จเสร็จสรรพเรียบร้อย ไม่แปลกอะไรที่เขาจะทำตามใจตัวเองบ้าง ไปแค่สี่วันสามคืนยังน้อยไป ความตั้งใจของเขาคือ อยากจะไปจากที่นี่ตลอดชีวิต ไม่ต้องการกลับมาเห็นหน้านิสามณี ภรรยาสาวแสนสวย
“อย่ามาพูดอย่างนี้นะปัณณ์ จริงอยู่ถึงว่าแม่จะบังคับลูก แต่ถ้าปัณณ์ไม่ยอม งานแต่งงานก็จะไม่เกิดขึ้น แต่นี่ปัณณ์ยอม ยอมแต่งงานกับนิสา จดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าปัณณ์จะต้องรับผิดชอบนิสา ไม่ใช่มาทำตัวเหมือนพ่อมาลัยลอยชายอยู่อย่างนี้”
เหตุผลของลูกชายนั้น ปัณณพัฒน์เข้าใจดี รู้ว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน เป็นการฝืนกล้ำกลืนใจ แต่ทว่าหลังจากที่จรดปลายปากกาลงบนทะเบียนสมรส นั่นหมายความว่า นิสามณีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของลูกชาย เป็นหนึ่งชีวิตที่ปัณณวิชญ์ต้องดูแล ไม่ใช่ปล่อยทิ้งขว้างอยู่เดียวดายในบ้าน
“ผมก็รับผิดชอบอยู่นี่ไงครับ ให้ที่อยู่ให้ที่กิน แถมให้เงินใช้ไม่อั้น แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอครับ จะต้องการอะไรอีก”
ปัณณวิชญ์พูดอย่างมีน้ำโห เพราะนิสามณีคนเดียวทำให้เขากับบิดาต้องทะเลาะกัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าวันแต่งงาน เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
“อย่างนั้นไม่เรียกว่ารับผิดชอบนะปัณณ์ เขาเรียกว่าทิ้งขว้าง ที่อยู่ที่กิน เงินทองใช้สอยเราก็ต้องให้นิสาอยู่แล้ว เพราะเธอย้ายมาอยู่กับเรา เราก็ต้องดูแล โดยเฉพาะปัณณ์ คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ต้องดูแลนิสามากที่สุด อย่าปล่อยให้ฝ่ายโน้นมาพูดใส่หน้าพ่อว่า เราดูแลลูกเขาไม่ดี ปล่อยทิ้งขว้างไม่สนใจใยดี”
“ใช่ ปัณณ์ทำอย่างนี้ไม่ถูก จริงอยู่ที่แม่บังคับให้ปัณณ์แต่งงาน แต่ถ้าปัณณ์ไม่แต่งมันก็จบ แต่นี่ลูกยอมฉะนั้นปัณณ์ต้องดูแลนิสา ไม่ใช่ทำอย่างนี้”
ปณีย์อรพูดเสริมอีกคน คำพูดของบิดามารดากำลังบอกให้คนที่ตกอยู่ในอาการมึนๆ จากพิษสุราที่คั่งค้างถึงกับอื้ออึง คำพูดของบุพการีบอกให้เขารู้ว่า เรื่องทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เขาเพียงคนเดียว
“รู้อย่างนี้ผมไม่แต่งงานกับแม่คนนั้นดีกว่า ไม่ต้องนึกถึงใครทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจว่าคุณย่าจะหยุดด่า หยุดว่าคุณแม่หรือเปล่า ไม่ต้องสนใจว่าคุณแม่อยากจะได้ของที่คุณแม่ต้องการหรือไม่ ผมน่าจะนึกถึงความรู้สึกของตัวเองมากกว่าคุณแม่ แล้วที่ผมไม่อยากกลับบ้านก็เพราะไม่อยากเจอเมียที่ผมไม่ต้องการ เมียที่ผมเกลียดชัง ไม่อยากจะอยู่ใช้ชีวิตคู่ด้วยต่างหาก”
ปัณณวิชญ์ขับความโกรธ แรงโทสะที่เดือดดาลในใจออกมาเป็นคำพูด คำพูดที่ทำให้คนเป็นแม่ถึงกับนิ่งงัน ดวงตาตระหนก ไม่คิดว่าลูกชายจะพูดประโยคนี้ออกมา
เผียะ...เผียะ...
เสียงฝ่ามือของปัณณพัฒน์ฟาดลงบนผิวแก้มของลูกชายสองครั้งซ้อน ผิวแก้มของอีกฝ่ายเห่อขึ้นตามรอยฝ่ามือนั้นทันที ภาพที่ลูกชายถูกสามีตบ สร้างความตื่นตะลึงให้กับปณีย์อรทันที ปัณณพัฒน์ไม่เคยลงโทษลูกๆ ด้วยการลงไม้ลงมือเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก
นางเห็นดังนั้นจึงโผเข้าไปหาสามี จับลำแขนที่ตั้งท่าจะฟาดลงซ้ำเป็นครั้งที่สาม ห้ามปรามเป็นคำพูดอีกด้วย “พอค่ะคุณชาย พอแล้วค่ะ”
ร่างกายของคนที่ถูกตบหน้าชาดิก โดยเฉพาะใบหน้าที่ชามากกว่าจุดใดๆ ในร่างกาย ตามมาด้วยอาการอึ้ง คาดไม่ถึงว่าบิดาจะลงโทษตนด้วยวิธีนี้ เพราะตั้งแต่เกิดมาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกบิดาลงโทษ ที่ผ่านๆ มาเพียงแค่ว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น
เพราะเธอ...นิสามณี เพราะเธอคนเดียว
ความเคียดแค้นเพิ่มพูนในใจของปัณณวิชญ์
“อย่ามาพูดถึงแม่อย่างนี้นะปัณณ์ รู้เอาไว้ด้วยว่าสิ่งที่ปัณณ์ทำเพื่อแม่มันยังน้อยเกินไป น้อยกว่าสิ่งที่แม่ทำเพื่อปัณณ์กับเบลล์เสียอีก พ่อกำลังสอนให้ปัณณ์เป็นคนดี เป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่เป็นคนเลวเที่ยวโยนความผิดให้กับใครๆ แบบนี้ แล้วรู้ไว้ซะด้วยว่า คนที่ลูกเกลียดนักเกลียดหนาจนไม่อยากกลับบ้านมามอง เขาคอยแก้ตัวแทนปัณณ์ตลอดเวลา ไม่เคยที่จะทำตัวให้น่าสงสารเหมือนกับที่ปัณณ์พูดออกมาเลย ที่พ่อตบเพราะอยากเตือนสติให้ปัณณ์สำนึกในความผิดของตัวเอง”
ปัณณพัฒน์เองก็เสียใจไม่น้อยที่ทำร้ายลูกชาย แต่เป็นเพราะเขาโกรธที่ปัณณวิชญ์กล่าวพาดพิงถึงปณีย์อร ผู้หญิงที่เขารักและเป็นผู้หญิงที่เขาไม่คิดว่าเธอต่ำต้อย ทั้งด้านฐานะและการศึกษาอย่างที่มารดาพูดตั้งแต่เขาแต่งงานจนถึงทุกวันนี้
อีกทั้งยังเดือดดาลที่ลูกชายพูดจาเสมือนคนไม่มีความรับผิดชอบ พ่อคนนี้จำต้องสั่งสอนลูกให้รู้จักสำนึกบ้าง
คนที่เป็นลูกไม่คิดจะพูดประโยคนั้นออกไป เพราะความโกรธ ความโมโหที่สุมอยู่ในอก ทำให้คำพูดเหล่านั้นไหลออกมาจากลำคอ เขารู้เต็มอกว่ามารดาทำเพื่อเขาและน้องสาวมากแค่ไหน เพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้ปัณณวิชญ์ยอมแต่งงานกันคนที่ไม่ได้รัก ไม่พึงปรารถนา
คำพูดของบิดาตอนท้ายประโยค ที่กล่าวถึงนิสามณีลูกสะใภ้ผู้ดีเลิศ ยิ่งบิดาพูดเหมือนยิ่งย้ำให้ปัณณวิชญ์โกรธแค้นนิสามณีมากขึ้น หากไม่เป็นเพราะเธอคนนั้น เขาคงไม่ถูกบิดาตบหน้า
ปัณณวิชญ์ไม่พูดโต้ตอบอะไร หมุนตัวเดินตรงดิ่งไปยังบันไดบ้านที่ทอดตัวสูงสู่ชั้นบน ก้าวเดินลิ่วไม่สนใจเสียงเรียกของบิดาที่ไล่หลังตามมาไม่หยุด เขาเก็บงำความแค้นครั้งนี้เอาไว้ในอก แล้วจะไประบายกับตัวต้นเหตุของเรื่อง
“ปัณณ์ลงมาเดี๋ยวนะ พ่อยังพูดไม่จบ”
“พอแล้วค่ะคุณชาย ลูกกำลังโกรธ แล้วคุณชายก็กำลังโมโห พูดกันไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ พรุ่งนี้ค่อยพูดกันอีกครั้งนะคะ”
ปณีย์อรพูดห้ามทัพ รู้สึกละอายใจขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของลูกชายขึ้นมาจับใจ วินาทีนี้นางกำลังคิดว่า สิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นนางเห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือไม่ ลืมนึกถึงความสุข ลืมนึกถึงความรู้สึกของลูกชาย
“แต่ผมอยากพูดให้มันจบไปในวันนี้ มีอย่างที่ไหนพูดถึงน้องหญิงในทางที่ไม่ดีแบบนี้ได้ยังไง ผมไม่ยอม” คนที่รักภรรยาพูดเสียงดัง
“เรื่องนี้หญิงเองก็มีส่วนผิด อย่าโทษลูกนะคะ ลูกอาจกำลังเครียด รอให้เย็นลงกว่านี้ค่อยคุยกันนะคะคุณชาย นะคะ หญิงของร้อง”
“น้องหญิงไม่ผิดหรอก ถ้าจะมีใครสักคนผิดก็ต้องเป็นผม เพราะผมปกป้องน้องหญิงจากคุณแม่ไม่ได้” เขาเหมือนคนอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน อีกคนหนึ่งคือมารดาที่เคารพยิ่งชีวิต อีกคนคือภรรยาที่เขารักมากที่สุด หากเข้าข้างภรรยา มารดาก็จะกล่าวหาว่าหลงเมียจนลืมแม่ หากเข้าข้างมารดา ภรรยาก็อาจจะน้อยใจได้
ปัณณพัฒน์จึงเลือกอยู่ตรงกลาง ไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น รู้เต็มอกว่ามารดาเกลียดชังปณีย์อรมากแค่ไหน ดุด่าค่อนขอดตระกูลของนางมากเพียงใด แต่ทว่าเขาเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่เข้าข้างใครทั้งสิ้น ปณีย์อรจึงต้องจำทนเรื่อยมาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ทนเพราะรักเขา
“น้องหญิงไม่ผิดหรอก น้องหญิงทำเพื่อผม เพื่อลูกมามากแล้ว ถึงเวลาที่ลูกจะต้องทำเพื่อน้องหญิงบ้าง รวมทั้งผมด้วย”
สิ่งที่เขาจะทำเพื่อปณีย์อรได้ดีที่สุด มากที่สุดก็คือ ความรัก ความเอาใจใส่ดูแลไปตลอดชั่วชีวิต ครั้งนี้ก็เช่นกัน ปัณณพัฒน์กำลังปกป้องภรรยาจากความเข้าใจผิดของลูกชาย
“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พูดกับลูกพรุ่งนี้นะคะคุณชาย” นางได้ทีโน้มน้าวสามี
“ก็ได้ พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้” สามีใจอ่อนยอมในที่สุด
“ขึ้นไปพักผ่อนกันดีกว่านะคะคุณชาย พรุ่งนี้ต้องตื่นมาใส่บาตรแต่เช้า”
“ไปสิน้องหญิง” จบประโยคคำพูดของปัณณพัฒน์ ลำแขนอบอุ่นยกขึ้นสูงโอบบ่าของศรีภรรยาคู่ชีวิต ก่อนจะเดินเคียงกันขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ตรงไปยังห้องพักส่วนตัว ทิ้งความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้ชั่วคราว รอสะสางใหม่ในวันพรุ่งนี้
ปัง...
เสียงปิดประตูห้องดังสนั่น ทำให้ร่างของคนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนดีดตัวลุกขึ้นนั่ง หันขวับไปมองคนที่ทำให้เกิดเสียงดังก้องหู ดวงตาสาวเต็มไปด้วยอาการหวาดกลัว สั่นระริก ร่างกายเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เธอไปตอแหลหรือสร้างภาพอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ของฉันหลงเธอหัวปักหัวปำอย่างนี้ ท่านถึงเข้าข้างเธอซึ่งเป็นแค่คนนอก ไม่ฟังฉันเลย แถมคุณพ่อยังตบหน้าฉันด้วย เธอทำอะไรหา ทำอะไร?”
ปัณณวิชญ์เปิดฉากพูดทันที ก้าวเดินมาหาร่างแน่งน้อยที่นั่งทำอะไรไม่ถูกบนเตียง ไม่เข้าใจคำถามที่ขับจากปากหนา ดวงตาเลิ่กลั่กหวาดกลัวชายรูปหล่อที่บัดนี้หน้าตาดุดัน นัยน์ตาแข็งกร้าว กรามทั้งสองข้างขบกันแน่น จนเธอเห็นเส้นเลือดสีเขียวอ่อนปูดนูนขึ้นมา
เขาน่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจริงๆ