"ลวงเด็กหลงทาง(2)" 4
“แม่ขา หนึ่งจะไปหาพี่ดาวคะ” หนูหนึ่งหทัยบอกคุณแม่ แต่กลับเดินไปอ้อนคุณพ่อ
“เดี๋ยวพ่อไปเปิดไฟหน้าบ้านให้นะ” อัครเดชอุ้มลูกสาวแล้วลุกขึ้นยืน เขาพายัยหนูเดินไปที่ประตู
และไม่ถึงห้านาที อัครเดชก็เดินกลับมานั่งที่เดิม ซึ่งทำให้นุสบารีบตะโกนเบาๆ บอกลูกสาวว่า
“หนึ่ง เดินระวังตัวหน่อยนะลูก...”
“ค่ะ”
เด็กหญิงขานรับคุณแม่พร้อมทั้งปิดประตู แล้วรีบเดินดุ่มๆ ตรงไปหาพี่สาวต่างสายเลือด ด้านดาวเรืองก็ยังยืนเกาะประตูรั้วด้านใน โบกมือลาท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของพี่ปกรณ์
“เป็นไรของนายวะ ตั้งแต่กลับจากวัดละ ฉันเห็นนายกระวนกระวาย ขับรถเข้าๆ ออกๆ ทำยังกะบ้านฉันเป็นอ่างอาบอบนวดยังไงยังงั้นเลยว่ะ...”
คำถามเดิมๆ ของอัครเดชทำให้สิงขรเอาแต่นิ่งเฉย ไม่ตอบเจ้านาย เพราะจุดสนใจของเขาคือเสียงเปิดปิดประตูบ้านที่ดังผสมเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ของเด็กน้อยและเสียงพูดของเด็กสาวร่านผู้ชาย ยิ่งคิดยิ่งทำให้มีอารมณ์ขุ่นเคียง…
“อย่าออกไปเดินคนเดียวมืดๆ แบบนี้อีกนะ รู้ไหมถ้ามีงูตัวใหญ่ๆ มันเลื้อยมาฉกเท้า รัดขาแบบนี้จะทำไงคะ”
ดาวเรืองอุ้มหนึ่งหทัยเดินเข้าบ้าน แล้วปล่อยให้หนูน้อยนั่งบนเก้าอี้ข้างตู้เก็บรองเท้า ส่วนตัวเธอก็นั่งคุกเข่าตรงหน้า เท้าสองข้างถูกพี่สาวต่างสายเลือดจับเอามาวางไว้ที่หัวเข่า แล้วถอดรองเท้าให้พร้อมทั้งทำมือเป็นงูฉกเบาๆ กลางฝ่าเท้าของเด็กน้อยเล่น
“คิกก งูใหญ่ก็ฉกพี่ดาวด้วยที่กลับบ้านค่ำๆ” หนึ่งหทัยหัวเราะชอบอกชอบใจ แล้วมืออวบทำเป็นหัวงูฉกไปตามซอกคอและใบหน้าของพี่ดาว
“เอ้า พี่ถอดให้แล้ว ทีนี้หนึ่งต้องเก็บรองเท้าเองนะคะ”
ความน่ารักใสซื่อของเด็กหญิงทำให้ดาวเรืองเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้ง
“ค่ะ” หนึ่งหทัยเชื่อฟังจึงกระโดดลงจากเก้าอี้ แล้วเอารองเท้าของตัวเองไปวางคู่รองเท้าผ้าใบสีขาวของพี่ดาว
“เป็นเด็กดีมาก” ดาวเรืองยีผมน้องเล่นด้วยความเอ็นดู
“พี่ดาวขา?” หนึ่งหทัยปัดเส้นผมยาวออกจากแก้มแล้วเงยหน้าถาม
“คะ?” ดาวเรืองก้มมองหน้าน้องน้อย
“คืนนี้ให้หนึ่งนอนด้วยนะคะ...”
ดวงหน้าบ้องแบ๊วทำตาละห้อย จนพี่ดาวอดใจไม่ไหวจึงโน้มตัวเข้าไปหา ใบหน้างามอยู่ชิดหน้าของหนูหนึ่ง ริมฝีปากอิ่มแดงชมพูพูดกระซิบชิดปลายจมูกน้อย
“ได้สิคะ”
“เย้ๆ หนึ่งดีใจที่สุดเลย แม่ขาพ่อขา คืนนี้ หนึ่งจะนอนกับพี่ดาวค่ะ” หนึ่งหทัยร้องไชโยๆ กระโดดกระต่ายสามขาวิ่งไปหาคุณพ่อคุณแม่
‘ดาวคิดถึงตากับยายค่ะ’
เมื่อได้ยืนเคว้งอยู่คนเดียว ดาวเรืองก็มองไปรอบๆ ตัวบ้านที่ไม่ใช่บ้านตนเอง แต่เธอก็มีความทรงจำที่ดีเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นตากับยาย
“ทำไมไม่เข้ามาล่ะดาว...”
ดาวเรืองตื่นจากความทรงจำอันแสนล้ำค่า เมื่อเสียงตึงๆ เหมือนไม่พอใจของเจ้าของบ้านเรียกหา เธอลูบหน้าเช็ดน้ำตาไปพลางแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องอาหาร
“พี่เดช พี่นุช ละ ลุงสิงห์” ดาวเรืองเรียกชื่อทุกคนที่หันมามองเธอ ไม่เว้นชื่อของชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้
สิงขรไม่แม้แต่หันมามองเธอเลยสักเสี้ยววินาทีเดียว
“มานั่งนี่สิ” อัครเดชกวักมือให้เด็กสาวเข้ามานั่งข้างเมียรัก ซึ่งที่ตรงนั้นเคยเป็นที่นั่งของยาย และยิ่งตอกย้ำความว้าเหว่ในหัวใจของเด็กสาวไร้ที่พึ่ง
“ดาวไปเอาการบ้านที่เพื่อนฝากพี่กรณ์ไว้ที่บ้านพี่กรณ์ค่ะ”
สีหน้าขรึมๆ ของอัครเดชทำให้ดาวเรืองรีบพูดถึงสาเหตุที่กลับบ้านในเวลาแบบนี้
“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะดาว ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ เข้ามานี่สิ” อัครเดชรู้ว่าเด็กสาวกลัวเสียงแข็งๆ ของเขา จึงรีบลดระดับเสียงให้ฟังรื่นหู
“ดาวขอโทษพวกพี่ๆ ด้วยค่ะ ดาวชอบสร้างปัญหาให้พวกพี่ๆ หนักใจ”
ในเวลานี้ ดาวเรืองเหมือนตัวคนเดียว เธอหนาวและว้าเหว่ อยากให้ใครสักคนปลอบขวัญและปกป้องจึงมองเสี้ยวหน้าของลุงสิงห์ อยากสบตาและอยากให้เขาทำตามคำมั่นสัญญาว่าจะคุ้มครองเธอ แต่สิ่งที่ได้รับคือความว่างเปล่า สิงขรไม่มองและไม่ถามกันสักคำว่า ตอนนี้หัวใจของเธอเป็นอย่างไรบ้าง
“ดาว? ทำไมพูดแบบนี้ ไม่เอาแล้วนะ ที่นี่ยังเป็นบ้านของดาวนะ พี่กับพี่เดชก็ยังเป็นพี่ๆ ของดาวนะ มานั่งนี่มา นี่พี่ทำกับข้าวเยอะแยะเลยนะ” นุสบาหันไปทำตาเขียวใส่สามี อยากยื่นมือเข้าหยิกให้เนื้อขาดเสียเหลือเกิน
‘คนปากไม่ดี’ ต่อว่าสามีในใจแล้วรีบลุกขึ้น อุ้มลูกชายวัยหนึ่งขวบเดินเข้าไปยืนตรงหน้าน้องสาวต่างสายเลือด
“ดาวกินที่บ้านพี่กรณ์มาแล้วค่ะ” เด็กสาวยืนก้มหน้าหลับตากักกลั้นน้ำตาที่คอยแต่จะไหลจนใบหน้าแดงก่ำ เธอหายใจผสมเสียงสะอื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าพี่นุช ฝืนยิ้มจนเห็นฟันดัดด้วยเหล็กหลากสี
“ว้า กับข้าวพี่ก็คงจะเป็นหมันสินะ ดูสิ เหลือบานเลย พี่เดชก็ไม่กิน พี่สิงห์ยิ่งแล้วใหญ่ ดูสิ กินแต่น้ำเมา” นุสบาแกล้งบ่นให้สองหนุ่ม
“พี่นุชจะให้ดาวช่วยเก็บเลยไหมคะ” ยายสอนเสมอว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น สิ่งไหนที่ช่วยได้ เธอก็จะช่วยเสมอ
