"ลวงเด็กหลงทาง(2)" 2
ตุบ!!
“ดาวเรืองระวัง!! / ระวังดาว!! / เฮ้ยคนเป็นลม!!!”
ทุกคนในที่นั้นต่างพากันเรียกเด็กสาวเป็นเสียงเดียวกัน โดยเฉพาะสิงขรที่เร็วกว่าปกรณ์ เขาเข้าไปประคอง ใช้ตัวเองเป็นที่รองรับให้เด็กน้อยนอนทับ
“ไหวไหมดาวเรือง?” เป็นหวงเด็กน้อยอย่างออกหน้าออกตาจนไม่ได้สนใจว่ามีสายตาหลายคู่มองอย่างสงสัย สิงขรไม่ใส่ใจ รีบอุ้มเธอแนบอกแล้วลุกขึ้นยืน
“ละ ลุงสิงห์ ฮืออ” ดาวเรืองร้องไห้โฮ สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทรวงข้างซ้าย
ใจหนึ่งก็เกลียดชังขัดแย้ง ไม่อยากให้เขาแตะเนื้อต้องตัว เพราะสิงขรเป็นต้นเหตุทำให้ตากับยายตาย และยังย่ำยีเธอจนไม่เหลือศักดิ์ศรี อีกใจก็รู้สึกเป็นสุข อบอุ่นปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของลุงสิงห์ เด็กน้อยเลือกอย่างสองจึงปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการของหัวใจ แขนเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นโอบกอดลำคอหนาไว้ ดวงหน้าหวานอาบน้ำตาเศร้าหมองซบลงบนแผ่นอกแข็งแรง
“ชู่วว นิ่งซะอย่าร้องไห้” สิงขรแน่นหน้าอก หัวใจเต้นรัวๆ เอ่ยเสียงเบาปลอบขวัญชิดกระหม่อมน้อยและถามตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกดีกับเด็กน้อยนี่ด้วย
“อย่าเผาตากับยายได้ไหมคะ หนูไม่อยากอยู่คนเดียว ฮืออ” เสียงทุ้มนุ่มหูและท่าทางอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้ดาวเรืองกล้าขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“เด็กน้อยของฉัน เธอยังมีฉัน ฉันจะเป็นคนดูแลคุ้มครองเธอเอง” เมื่อดวงหน้าสวยแหงนขึ้นมามองตากัน สิงขรก็ถือโอกาสโน้มหน้าลงกระซิบเสียงเบา เช็ดน้ำใสออกจากแก้มขาวซีดให้อย่างนุ่มนวล
“ฮืออ” เด็กสาวร้องไห้สะอื้นเมื่อได้ฟังคำมั่นสัญญา ไม่รู้สิ่งที่ลุงสิงห์พูดจะเป็นเพียงแค่คำปลอบประโลมหรือโกหก เธอก็พร้อมรับฟังและเชื่อเขา เพราะในเวลานี้ ดาวเรืองไม่เหลือใครแล้วจริงๆ
“ฉันว่านายพาดาวเรืองออกไปจากตรงนี้ก่อนดีกว่านะ”
อัครเดชไม่อยากให้ทุกคนในที่นี้เห็นเหมือนอย่างที่เขาเห็น จึงรีบบอกให้สิงขรพาดาวเรืองไปให้ไกลจากสายตาผู้คนที่เริ่มจะมอง
“คุณเดช ผมฝากทางนี้ด้วยนะครับ”
เสียงของคนหลายคนพูดซุบซิบไม่ได้ทำให้สิงขรใส่ใจ เขาบอกเจ้านายเสร็จก็อุ้มเด็กน้อยเดินฝ่าผู้คนลงบันไดตรงไปที่รถ
“พี่เดชเห็นเหมือนที่นุชเห็นไหมคะ” นุสบาหน้าซีดยิ้มแห้งๆ ให้คนนั้นคนนี้ แล้วหันไปกระซิบถามสามีเบาๆ เมื่อเห็นสิงขรมีกิริยาหวงก้าง แสดงอย่างออกหน้าว่าตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวดาวเรือง
“ไว้คุยกันหลังจากเสร็จงานศพดีกว่านะนุช” อัครเดชบอกเมีย เพราะเขาก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าสิงขรคิดอย่างไรกับดาวเรือง
‘นายคงไม่เป็นสมภารกินไก่วัดหรอกนะสิงขร’ อัครเดชถามลูกน้องในใจ
“ค่ะ” นุสบาเชื่อฟังสามี
“กรณ์มายืนต้อนรับแขกแทนพี่ด้วย เดี๋ยวพี่จะเข้าไปดูสัปเหร่อย้ายโลงศพเข้าเตาเผา”
เมื่อทำความเข้าใจกับเมียแล้ว อัครเดชก็หันมาคุยกับปกรณ์
“ครับ” ด้านปกรณ์ที่กำลังจะสาวเท้าเดินลงบันไดเพื่อตามดาวเรืองไปนั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของอัครเดชเรียกให้ไปช่วยงาน…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลง แขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความเสียใจต่างก็ทยอยพากันกลับจนหมดแล้ว ซึ่งเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า
“ตากับยายจะมองดาวอยู่หรือเปล่าจ๊ะ”
ดาวเรืองร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหล ใบหน้าขาวซีดเขลอะคราบน้ำใสแหงนขึ้น ดวงตากลมโตช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาหลายครั้งต่อหลายครั้งมองควันสีเทาลอยขึ้นไปผสมกับก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้า แล้วก้มลงมองภาพถ่ายของยายและตาที่ยังตั้งอยู่ตรงข้างบันไดเมรุ
“มาแอบร้องไห้อยู่ตรงนี้นี่เอง” ภาพยืนร้องไห้อยู่คนเดียวของหญิงสาว ทำให้ปกรณ์ที่ยืนอยู่ที่ศาลามองด้วยความสะเทือนใจ เขาเลยตัดสินใจขอพี่นุชมาดูแลดาวเรือง
“พี่กรณ์ยังไม่กลับอีกเหรอคะ” เสียงเรียกชื่อทำให้ดาวเรืองละสายตาจากรูปถ่ายของตายายหันมองปกรณ์ที่เดินเข้ามาหา
“ก็ยังน่ะสิ”
ปกรณ์เข้าไปยืนตรงหน้า มือหนาจับมือน้อยมากุมไว้แล้วพาเดินไปนั่งที่ม้านั่ง ส่วนตัวเขาก็นั่งยองๆ ตรงหน้าเธอ
“ดาวคิดว่าพี่กลับไปแล้วเสียอีก” เธอฝืนยิ้มจนเห็นเหล็กดัดฟัน ปล่อยให้ปกรณ์ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาออกจากแก้มสองข้างให้
“กลับบ้านกันนะ พี่จะไปส่ง” เขาพับผ้าเช็ดหน้าชุ่มน้ำตาแล้วเอาให้เธอเก็บไว้ใช้ครั้งต่อไป
“ดาวยังไม่อยากกลับค่ะ” น้ำตาคอยแต่จะไหลเมื่อหันไปมองเมรุ รู้ว่าในเตาเผานั้นมีตากับยายที่กลายเป็นขี้เถ้าผุยผงไปแล้ว
“พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ไป กลับบ้านกันนะครับ”
ดาวเรืองไม่ขัดขืนเมื่อปกรณ์พยุงให้เธอลุกยืน เขาประคองหญิงสาวพาเดินไปที่ลานจอดรถตรงหน้าวัด…
