บทที่3 ตอน "ลวงเด็กหลงทาง(2)" 1
๓
ลวงเด็กหลงทาง (๒)
สามวันต่อมา ที่วัด…
เสียงเพลงธรณีกรรแสงดังผสมผสานกับเสียงแขกเหรื่อพากันสูดน้ำมูกตามเด็กสาวที่เอาแต่ร้องไห้ปิ่มใจจะขาดตาย ซึ่งในเวลานี้ เธอไม่เหลือใครแล้ว เหมือนตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร
ดาวเรืองยืนเหม่อลอย ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำใสมองภาพถ่ายของตาจันทร์และยายสายที่ตั้งอยู่ตรงข้างบันไดทางขึ้นเมรุ
“ฮืออ ยายจ๋าตาจ๋า ทำไมตากับยายปล่อยให้ดาวอยู่คนเดียวล่ะจ๊ะ ทำไมตากับยายไม่พาดาวไปอยู่ด้วย” ยิ่งส่งเสียงสะอึกสะอื้นเมื่อเห็นโลงไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าสองโลงถูกย้ายจากศาลาวัดผ่านหน้าเธอไปไว้บนเมรุ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณบอกเวลาว่า ตากับยายจะถูกเผาเป็นผุยผงแล้ว
“ดาวเรืองทำไมพูดแบบนั้น รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกไป”
นุสบาที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดแบบนั้นก็รู้สึกใจคอไม่ดี จึงเข้าไปพูดปลอบขวัญและดุนิดหน่อยเพื่อให้เด็กสาวได้มีสติกลับมา
“พี่นุชขา ดาวคิดถึงยายกับตาค่ะ ดาวไม่อยากอยู่แบบนี้ ไม่มีตากับยายแล้วดาวจะอยู่ไปเพื่ออะไรคะ” ดาวเรืองยืนเกาะแขนของนุสบาไว้แน่น ส่ายหน้าไปมาไม่ยอมรับในสภาพที่เป็นอยู่
“ตากับยายไม่เจ็บไม่ปวดเหมือนพวกเราแล้วนะดาวเรือง”
นุสบาร้องไห้ตามเด็กสาวผู้อาภัพ ช่างเหมือนตอนที่ยายน้อยเสียตอนนั้น เธอก็เคว้งคว้างไม่มีจุดมุ่งหมาย แต่โชคดีที่มีพี่เดชคอยอยู่ข้างกาย ซึ่งต่างจากดาวเรืองที่ไม่เหลือใครเลยจริงๆ
“ดาวไม่เหลือใครแล้ว ต่อไปนี้ ดาวต้องอยู่คนเดียวใช่ไหมพี่นุช ฮืออ” เมื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้าที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครคุ้มครองให้ความปลอดภัย เด็กสาวก็ร้องไห้โฮเสียงดังอีกครั้งเมื่อได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่นุช ซึ่งเธอสัมผัสได้ว่าอ้อมกอดนี้อบอุ่นและปลอดภัยเหมือนอ้อมกอดของตาและยาย
“ชู่วว!! ไม่เอาสิ อย่าพูดว่าดาวไม่มีใคร ดาวยังมีพี่และก็มีพี่เดชด้วยไง เรายังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมนะ พวกพี่ๆ จะไม่ทิ้งดาวหรอกนะ” นุสบาปลอบขวัญเด็กน้อยปนเสียงสะอื้นไห้
“หยุดร้องไห้ซะ นี่ถ้าตากับยายรู้ว่าดาวโศกเศร้าแบบนี้ พวกท่านทั้งสองคงตายตาไม่หล้บ และคงจะเป็นกังวลไม่ยอมไปเกิดใหม่สักทีนะ” ด้านอัครเดชที่ยืนอยู่ข้างเมียรักก็เอ่ยให้คำมั่นสัญญา พร้อมทั้งยื่นมือไปตบหลังของเด็กสาวเบาๆ เพื่อปลอบใจ
“ขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ให้ตากับยายเป็นครั้งสุดท้ายกันนะ”
นุสบาใช่ว่าจะไม่เสียใจในการเสียชีวิตของป้าสายกับลุงจันทร์ เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้าให้สิงขรที่ยืนอยู่บนเมรุ ซึ่งเขาส่งซิกน์บอกให้พาดาวเรืองขึ้นไปบนเมรุ
“พี่นุช ฮืออ ดาวแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกค่ะ ขาก็ก้าวไม่ออก” เสียงสั่นเหมือนขาที่ไม่มีแรงก้าวขึ้นบันได เธอกำลังจะตายอย่างที่พูดจริงๆ
“เดี๋ยวผมช่วยพยุงดาวเองครับ” ‘ปกรณ์’ ชายหนุ่มหน้าตี๋เป็นรุ่นพี่ของดาวเรืองที่โรงเรียน และเป็นพี่ชายข้างบ้านที่สนิทกันมาก
“พี่ฝากน้องด้วยนะกรณ์” นุสบายิ้มเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีของปกรณ์ที่เป็นห่วงดาวเรือง ก่อนหันมองสามี ซึ่งอัครเดชก็พยักหน้าให้ รับรู้กันมาตลอดว่าเด็กสองคนนี้สนิทกันและเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนเดียวกัน บ่อยครั้งที่พวกเขาเห็นเด็กสองคนนี้ไปโรงเรียนพร้อมกัน และจะกลับจากโรงเรียนพร้อมกัน
“ครับ” ปกรณ์ยกมือไหว้สองสามีภรรยาขออนุญาต เมื่อนุสบาหลีกทางให้ ก็เข้าไปยืนใกล้ชิด ใช้ร่างกายของตัวเองให้คนที่กำลังเสียขวัญได้ยืนพิง
“พี่กรณ์” ดาวเรืองเรียกชื่อชายหนุ่ม อยากจะร้องไห้ดังๆ เมื่อได้มองแววตาเป็นห่วงของพี่ชายแสนดีที่สนิทสนมและไว้ใจที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งปกรณ์ไม่เคยทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวเลยสักครั้ง
“ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่นะ” กว่าจะพาเดินก็เล่นเอาปกรณ์แทบจะเป็นคนอุ้มเธอเดินขึ้นบันได
ความใกล้ชิดของสองคนทำให้ผู้ชายอีกคนที่มั่นใจสุดๆ ว่าตัวเองเป็นเจ้าชีวิตของเด็กน้อย พยายามเข้าหาและมองเธอด้วยความขุ่นเคือง
“ยัยเด็กร่านเอ๊ย! ห่างฉันไม่กี่ชั่วโมง เธอก็กล้าแรดให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนหน้าตี๋โอบกอดได้ไงฮะ?” สิงขรคำรามกล่าวโทษแล้วรีบเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังเด็กน้อย ทำเสียงฮึดฮัดอยากให้เธอหันมามอง และสนใจกันบ้างว่าเขาก็อยู่ตรงนี้ คอยทำนั่นทำนี่แทนเธอทุกอย่าง
“ฮืออ พี่กรณ์” ด้วยเหตุที่ไม่มีแรงยืน ดาวเรืองจึงใช้เอวของปกรณ์เป็นที่ยึด สองแขนเล็กกอดร่างโตไว้แน่น ดวงหน้าหวานมีน้ำใสตลอดเวลาก็ซบลงบนแผ่นอกของพี่กรณ์
“จดจำแต่สิ่งดีๆ ของตากับยายไว้ก็ได้นะ เราไม่จำเป็นต้องดูก็ได้” ปกรณ์กระซิบเสียงทุ้มให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน พร้อมทั้งกระชับแขนกอดหญิงสาวให้ซบหน้าบนแผ่นอกแข็งแกร่ง
“ดาวอยากเห็นตากับยายเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ” ถึงจะทำใจไว้บ้างแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ทำใจยอมรับไม่ได้ หญิงสาวร้องไห้จนไม่มีน้ำในตาไหลออกมา ร่างบางสั่นระริกเดินกุมหัวใจที่เต้นรุนแรง
กว่าทุกครั้งเมื่อเข้าไปยืนข้างโลงศพ
และเมื่อสัปเหร่อเปิดฝาโลง ดาวเรืองหูอื้อตาพร่ามัว มอง
เห็นสีเสื้อผ้าตัวที่ตาและยายชอบใส่เท่านั้น คนอ่อนแอไม่มีแม้แต่แรงยืนก็เกาะแขนของปกรณ์แล้วทรุดฮวบลงไปนั่งกองบนพื้น โดยทุกคนในที่นั้นไม่ทันได้ระวัง
