ตอนที่ 3 ส่งเสียเลี้ยงดู
ตอนที่ 3 ส่งเสียเลี้ยงดู
“ปะ เด็ก ๆ ทานขนมกันเสร็จหรือยังจะพาไปดูที่พัก” เสียงธาราดังขึ้นหลังจากที่เดินออกมาจากห้องทำงานของชาร์วีและเดินตรงมายังเด็กสาวทั้งสามคนที่กำลังนั่งคุยกันสนุกสนาน
“ทำไมพี่ธารากลับมาเร็วจังคะ? พวกเรายังกินขนมฝีมือป้าณีไม่อิ่มเลย” พลอยใสที่กำลังจะหยิบขนมเข้าปากเป็นคำที่เท่าไหร่ไม่รู้ ทำตาละห้อยเหมือนกับว่าเวลาแห่งความสุขกำลังจะโดนพรากไป
“ไม่ใช่พวกเราหรอกที่ยังไม่อิ่มเธอคนเดียวต่างหากพลอยใสฉันกับผ้าไหมอิ่มตั้งนานแล้ว” แก้วใสแย้งขึ้นทันควัน พลอยใสจึงส่งขนมในมือเข้าปากแล้วเคี้ยวด้วยสีหน้าละห้อยเมื่อมองดูขนมที่ยังเหลืออยู่ในจาน
“ไม่กลัวอ้วนเหรอเราน่ะเห็นขนมเป็นไม่ได้เลยนะ” ธาราที่เดินมาถึงกลุ่มเด็กสาวขยี้หัวพลอยใสเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“ก็ขนมฝีมือป้าณีอร่อยนี่คะ อร่อยกว่าขนมที่พี่ธาราเคยซื้อไปฝากอีก” พลอยใสรีบกลืนขนมลงคอก่อนจะคว้าน้ำมาดื่มตามทันทีเพราะกลัวว่าธาราจะรอนาน
“ไม่ต้องกลัวหรอกต่อไปนี้ได้กินฝีมือป้าณีจนเบื่อแน่” ธาราบอกกับพลอยใส เด็กสาวจึงยิ้มแป้นก่อนจะรีบเก็บจานขนมและแก้วน้ำไปคืนป้าณีที่ในครัวโดยมีผ้าไหมและแก้มใสเดินตามไปด้วย
“ที่พักของพวกเราอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่าคะ” แก้วใสที่เดินนำทุกคนออกมาจากห้องครัวถามธาราด้วยท่าทางตื่นเต้นเพราะตั้งแต่เข้ามาในบริเวณบ้านฮาเปอร์แห่งนี้ก็เจอแต่ความหรูหราทุกตารางนิ้ว เธอจึงหวังว่าที่พักของเธอก็คงจะหรูหราเหมือนกัน
“พักที่นี่ครับแต่ไม่ใช่หลังนี้ ถ้าพร้อมกันแล้วก็เดินตามพี่มาเลยครับ” ธาราบอกกับแก้วใสก่อนจะมองเลยไปยังผ้าไหมและพลอยใสที่เดินตามมา บอดี้การ์ดหนุ่มที่รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเดินนำเด็กสาวทั้งสามเพื่อพาไปยังบ้านพักหลังย่อมแต่น่าอยู่ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังบ้านใหญ่ โดยมีสวนหย่อมและสระบัวกั้นกลางระหว่างบ้านหลังเล็กและบ้านหลังใหญ่ที่ชาร์วีอาศัยอยู่
ธาราพาพลอยใสและเพื่อนอีกสองคนไปดูที่พักและชี้แจงกฎระเบียบข้อห้ามของบ้านหลังนี้ให้เด็กสาวทั้งสามคนฟัง
“ที่นี่คือบ้านพักของเราทั้งสามคน บ้านหลังนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างทั้งโซฟา ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น อินเทอร์เน็ต โต๊ะเขียนหนังสือ คุณวีอยากให้เราทั้งสามคนอยู่กันอย่างสบายแต่ต้องมีวินัย และที่สำคัญสำหรับการอยู่ที่นี่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อห้ามของที่นี่อย่างเคร่งครัด”
“แล้วกฎระเบียบและข้อห้ามที่ว่ามีอะไรบ้างคะ” พลอยใสที่ยังคงยืนนิ่งเมื่อเดินเข้ามาในบ้านถามธาราแต่เพื่อนอีกสองคนของเธอต่างพากันเดินชมกับความสะดวกสบายตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ธาราจึงเรียกแก้วใสและผ้าไหมให้มาฟังพร้อมกัน
“ข้อห้ามหลัก ๆ คือห้ามเดินเข้าไปในบริเวณบ้านหลังใหญ่และบ้านพักบอดี้การ์ดซึ่งอยู่ฝั่งโน้น แต่สระบัวและสวนสามารถไปนั่งเล่นหรืออ่านหนังสือได้” ธาราเน้นข้อห้ามด้วยเสียงหนักให้เด็กสาวทั้งสามคนฟังซึ่งต่างก็พยักหน้ารับทราบ
บ้านพักของเด็กสาวทั้งสามมีเพียงสองห้องนอน พลอยใสขนกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับผ้าไหมเพราะทั้งสองต้องนอนร่วมห้องกัน ในขณะที่แก้มใสออกตัวตั้งแต่แรกว่าขอนอนคนเดียวเพราะเป็นคนนอนดิ้น และเนื่องจากห้องนอนที่พลอยใสและแพรไหมอยู่เป็นห้องนอนใหญ่ ภายในห้องจึงมีเตียงเดี่ยวแยกเป็นสองเตียงและตู้เสื้อผ้าแยกเป็นสองตู้เพื่อจะได้แยกของใช้ส่วนตัวของใครของมัน
“ไหมเลือกเตียงและตู้เสื้อผ้าได้เลยนะ พลอยยังไงก็ได้” นิสัยให้เกียรติผู้อื่นและมีน้ำใจที่แม่แก้วสอนยังมีอยู่ในตัวพลอยใส ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เธอได้ประโยชน์หรือเสียผลประโยชน์พลอยใสก็มักจะคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อนตนเองเสมอ
หลังจากจัดการเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่นำมาจากบ้านเด็กกำพร้าเสร็จแล้ว พลอยใสก็เดินออกมาตรงหน้าบ้านหลังเล็กที่เธออยู่ ความสวยงามของสวนหย่อมและสระบัวที่อยู่ตรงหน้าทำให้เด็กสาวเผลอยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินไปยังสระบัวที่มีทางเดินทอดยาวไปยังศาลาที่ตั้งอยู่กลางน้ำ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายและมีแสงแดดภายนอกที่ค่อนข้างแรงแต่บริเวณที่เธออยู่นี้กลับไม่รู้สึกร้อนเพราะถูกปกคลุมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด
เด็กสาวนั่งอยู่ตรงสระบัวเก็บภาพความสวยงามรอบ ๆ บ้านฮาเปอร์อย่างช้า ๆ ด้วยสายตานานนับชั่วโมง ก่อนจะก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือและรีบวิ่งไปทางห้องครัวเมื่อใกล้ได้เวลาที่ป้าณีบอกไว้สำหรับการเตรียมอาหารมื้อเย็นของทุกคน
พลอยใสรับรู้หน้าที่ของเธอจากป้าณีคือช่วยทำงานบ้านและช่วยงานในครัวเวลาหลังเลิกเรียน ในขณะที่แก้วใสและผ้าไหมจะมีหน้าที่รดน้ำต้นไม้และช่วยงานในแผนกซักรีด เพราะบ้านฮาร์เปอร์จะมีแผนกซักรีดเหมือนโรงแรมไว้สำหรับดูแลเสื้อผ้าของพนักงานและเหล่าบอดี้การ์ด
“พลอยมาแล้วค่ะ ป้าณีมีอะไรให้พลอยช่วยบ้างคะ” พลอยใสคือคนเดียวที่ได้รับการยกเว้นให้สามารถเข้ามาบริเวณบ้านใหญ่ได้เฉพาะเวลาที่ต้องมาช่วยงานบ้านและงานในครัวเท่านั้นเหมือนกับเวลานี้
“เก็บของเสร็จแล้วเหรอถึงมาช่วยป้า” ป้าณีที่กำลังเช็กวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นเงยหน้าขึ้นถามเด็กสาว
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เก็บของเสร็จเดินดูรอบ ๆ ที่พักนิดหน่อยพลอยก็รีบมาหาป้าณีเลยค่ะ” เสียงใสพร้อมรอยยิ้มเผยความน่ารักตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
“งั้นก็มาช่วยหั่นผักและแกะกุ้งนี่มา”
“เย็นนี้ป้าณีจะทำเมนูอะไรคะ” พลอยใสซึ่งมีใจรักในการทำอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้วรู้สึกเริ่มสนุกกับครั้งแรกของงานในครัว แม้ว่าที่ผ่านมาเธอจะเคยช่วยป้าแม่ครัวที่บ้านเด็กกำพร้าทำอาหารอยู่บ่อย ๆ แต่ห้องครัวที่ทันสมัยของที่นี่ก็ทำเธอตื่นเต้นไม่น้อย และที่มากไปกว่านั้นพลอยใสดีใจที่จะได้เรียนรู้การทำอาหารจากป้าณี เพราะหลังจากตอนกลางวันที่ได้ทานอาหารฝีมือแม่บ้านคนเก่าแก่ของที่นี่เธอก็รู้สึกถึงรสชาติที่กลมกล่อมแบบไม่เคยทานมาก่อน
“เมนูของคุณวีจะเป็นกุ้งคั่วพริกเกลือ ปลาเก๋านึ่งและไก่ตุ๋นยาจีนส่วนของเหล่าบอดี้การ์ดและพนักงานคนอื่นก็จะเป็นไก่ผัดกระเทียมและไข่พะโล้ เมนูอาหารของบ้านนี้จะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเป็นหลักพวกผักและแป้งจะมีทำบ้างนาน ๆ ครั้งจ้ะ” ป้าณีบอกรายการอาหารสำหรับมื้อเย็นให้พลอยใสทราบ เด็กสาวก้มหน้าก้มตาเป็นลูกมือแม่ครัวใหญ่และแม่ครัวรองอย่างตั้งใจ ฝีมือเรื่องงานครัวที่พอมีอยู่บ้างทำให้พลอยใสเป็นที่พึงพอใจของป้าณีที่คอยสังเกตอยู่เงียบ ๆ
วันรุ่งขึ้นธาราที่ได้รับคำสั่งจากชาร์วีให้พาเด็กสาวทั้งสามไปสมัครเรียนและซื้อชุดนักเรียนก็จัดการตามคำสั่งของเจ้านายทันทีที่สิ้นคำสั่งนั้น
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!!
เสียงโทรศัพท์ภายในบ้านหลังเล็กที่พลอยใสกับเพื่อนพักอยู่ดังขึ้นในตอนเช้า พลอยใสที่กำลังเดินผ่านโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะจึงหันหลังเดินกลับมารับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“ใครพูดสาย” ธาราที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นพลอยใสแต่แกล้งถาม
“พลอยใสค่ะ”
“เวลารับสายนอกจากคำว่าสวัสดีค่ะ ให้บอกชื่อตัวเองด้วยว่าใครเป็นคนรับสายอย่างเช่น สวัสดีค่ะพลอยใสพูดสายค่ะแบบนี้เข้าใจไหม” ธาราเริ่มสอนมารยาทขั้นต้นให้เด็กสาว
“เข้าใจค่ะ มาแบบแนวดุแต่เช้าเลยนะคะ” พลอยใสยิ้มกว้างเมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงใคร
“มันเป็นมารยาทอย่างหนึ่งในการรับโทรศัพท์ ไม่เฉพาะแต่เวลาอยู่ที่บ้านนี้แม้แต่อยู่ข้างนอกหรือมีใครโทรหาต้องพูดแบบนี้เข้าใจไหม” ธาราไม่เคยมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะการสอนเด็กที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องสาว
“เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ธารามีอะไรหรือเปล่าคะ”
“วันนี้พี่จะพาไปสมัครเรียนพร้อมซื้อชุดนักเรียน สิบโมงจะมีบอดี้การ์ดไปพามาขึ้นรถทางด้านหน้า เตรียมตัวกันให้พร้อมและตรงเวลาด้วย” ธาราชี้แจงรายละเอียดสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ให้เด็กสาวทราบ
“โอเคค่ะ เดี๋ยวพลอยจะรีบบอกเพื่อนให้เตรียมตัวให้พร้อมค่ะ” พลอยใสรับทราบในสิ่งที่ธาราโทรมาบอก ก่อนจะวางสายและรีบเดินไปบอกให้เพื่อนทั้งสองคนทราบ
“โอ้โห อย่าบอกนะคะว่าโรงเรียนที่พวกหนูจะได้เรียนคือที่นี่” ผ้าไหมพูดออกมาเสียงดังเมื่อรถตู้คันใหญ่แล่นเข้ามาในเขตบริเวณโรงเรียนนานาชาติชื่อดังที่ค่าเทอมแพงเท่ากับบ้านหนึ่งหลัง
“ใช่ครับ ทุกคนจะได้เรียนที่นี่” ธาราตอบผ้าไหมยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินลงรถนำเด็กสาวทั้งสามคนเข้าไปด้านในอาคารเพื่อจัดการสมัครเรียนพร้อมรับยูนิฟอร์มและจ่ายค่าเทอมล่วงหน้า
“ก่อนโรงเรียนจะเปิดเทอมทั้งสามคนต้องติวภาษาอังกฤษเพิ่มนะ เพราะจากที่ทางโรงเรียนประเมินเมื่อครู่พวกเราอ่อนด้านภาษามาก ถ้าหากไม่ปรับพื้นฐานก่อนโรงเรียนเปิดจะลำบากเมื่อต้องเรียนจริง ๆ เพราะที่นี่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือสื่อการเรียนการสอนจะใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด” ธาราบอกทุกคนออกไปเมื่อเดินกลับขึ้นรถ
“แล้วพวกหนูต้องไปติวกันที่ไหนคะ” ผ้าไหมถาม
“คุณวีให้จ้างครูมาสอนให้ที่บ้าน เริ่มเรียนกันพรุ่งนี้โดยจะติวกันวันละห้าชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงบ่ายสาม” ธาราบอกกับเด็ก ๆ หลังจากที่โทรรายงานผลการเทส-สกิลด้านภาษาของเด็กสาวทั้งสามคนให้ชาร์วีทราบ และคนปลายสายก็สั่งการให้หาครูมาติวเป็นการด่วนโดยให้ธาราจัดการเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วน
ทุกวันเด็กสาวทั้งสามจะต้องเรียนกับครูพิเศษที่ชาร์วีสั่งให้จ้างมาจนถึงบ่ายสาม หลังจากนั้นจะมีเวลาพักคนละหนึ่งชั่วโมงเสร็จแล้วพลอยใสจะต้องช่วยงานในครัวเพราะบ้านนี้เริ่มทานข้าวเย็นกันตอนหกโมงเย็นเป็นต้นไป ในขณะที่แก้วใสและผ้าไหมก็แยกย้ายไปทำตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง
“พลอยมาแล้วค่ะป้าณี”
“เป็นยังไงบ้างเหนื่อยไหมดูเหมือนจะติวกันหนักเลยนะ” ป้าณีคุยกับพลอยใสโดยไม่ได้หันมามองเพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับหน้าเตา
“ไม่เหนื่อยค่ะ ตราบใดคนส่งเรียนยังไม่เหนื่อยหาเงินให้เรียนพลอยก็ไม่เหนื่อยที่จะเรียนค่ะ” พลอยใสตอบป้าณีไปตามที่รู้สึกเพราะรู้ว่าค่าเทอมและค่าติวที่เจ้าของบ้านจ่ายให้เธอและเพื่อนนั้นไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ถ้าหากว่าเธอไม่ตั้งใจและไม่พยายามทำมันให้ดีคนที่จ่ายเงินส่งเสียเธอเรียนเขาคงเสียใจ ซึ่งพลอยใสไม่อยากทำให้เขาคนนั้นต้องผิดหวัง
ทุกเย็นหลังจากเสร็จงานในครัวพลอยใสจะมานั่งทบทวนบทเรียนที่อาจารย์สอนและนั่งฝึกออกเสียงและโต้ตอบกับโปรแกรมเรียนออนไลน์ในไอแพดที่ชาร์วีสั่งให้ซื้อมาให้ใช้สำหรับการเรียนคนละเครื่อง เสียงพูดอังกฤษสำเนียงแปลก ๆ ดังแว่วขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสองของบ้านจนเจ้าของห้องได้ยินแต่ก็ไม่ได้สั่งห้ามอะไร ชาร์วีนั่งทำงานในห้องฟังเสียงหวานออกเสียงภาษาอังกฤษ จากวันแรกที่พูดถูกบ้างไม่ถูกบ้างจนตอนนี้พูดได้คล่องและสำเนียงเริ่มเหมือนเจ้าของภาษามากขึ้นทุกวัน