ตอนที่ 4 เจ้านายในความลับ
ตอนที่ 4 เจ้านายในความลับ
เด็กสาวในชุดนักเรียนกระโปรงลายสกอตเสื้อนักเรียนสีขาวแขนสั้น เดินตามทางเดินไปขึ้นรถตู้ของบ้านฮาร์เปอร์ที่จอดรออยู่บริเวณลานหน้าบ้านและมีคนขับยืนประจำอยู่ที่รถ
“ตั้งใจเรียนกันให้ดีเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเองนะ วันนี้พี่ติดงานสำคัญไม่ได้ไปส่งเดี๋ยวคนขับรถจะพาไป” ธาราที่ติดงานสำคัญกับชาร์วีในตอนเช้าแต่ก็เดินมาส่งเด็กสาวทั้งสามคนขึ้นรถพร้อมให้กำลังใจในวันเปิดเรียนวันแรก หลังจากที่พลอยใสและเพื่อนอีกสองคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้วรถตู้สีดำก็แล่นออกจากอาณาจักรบ้านหลังใหญ่มุ่งตรงไปยังโรงเรียนนานาชาติชื่อดังที่มีค่าเทอมแพงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย
“ว้าว ทำไมวันนี้ที่โรงเรียนดูครึกครื้นมากเป็นพิเศษนะว่าไหม” แก้วใสพูดขึ้นมาหลังจากที่รถเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณโรงเรียน ซึ่งกว่ารถตู้ที่พวกเธอนั่งจะหลุดจากการจราจรที่หนาแน่นได้ก็กินเวลาพอสมควรเพราะรถติดตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงด้านในโรงเรียน เนื่องจากเป็นวันเปิดเรียนวันแรก ผู้ปกครองต่างมาส่งลูกหลานด้วยตนเอง
“ก็วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกก็ต้องดูครึกครื้นเป็นธรรมดา ตอนนี้ฉันตื่นเต้นจนอยากจะลงจากรถเดี๋ยวนี้เลย” ผ้าไหมหันไปตอบแก้มใสก่อนจะหันกลับไปมองด้านนอกรถที่ตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองมากมาย
“พลอยใส เธอไม่รู้สึกตื่นเต้นบ้างเหรอวันนี้เปิดเรียนวันแรกนะ ดูสิบรรยากาศที่โรงเรียนวันเปิดเทอมช่างน่าเรียนมากเลยฉันกำลังตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่” แก้วใสหันมาถามพลอยใสที่นั่งนิ่งมองออกไปนอกรถไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเหมือนตัวเธอและผ้าไหม พลอยใสหันมายิ้มให้เพื่อนก่อนจะหันกลับไปมองนอกรถดังเดิมโดยไม่ได้พูดอะไร
“เดี๋ยวแยกกันตรงนี้แล้วเจอกันตอนเย็นตรงจุดที่รถมารับนะ” เมื่อรถมาจอดตรงหน้าตึกและทั้งสามคนลงจากรถกันแล้วพลอยใสก็หันมาบอกกับเพื่อนทั้งสอง พลอยใสเป็นคนเดียวที่ต้องแยกห้องเรียนจากเพื่อนทั้งสองเนื่องจากทางโรงเรียนจำกัดนักเรียนเพียง 20 คนต่อห้อง
“โอเค ๆ ไว้เจอกันตอนเย็นฉันไปก่อนล่ะนะ ไปเถอะแก้มใส” ผ้าไหมตอบพลอยใสอย่างเร่งรีบก่อนจะลากแก้มใสให้รีบเดินเข้าไปด้านในอาคารเรียนเพราะตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ เหลือเพียงพลอยใสที่ยืนเคว้งอยู่ตรงทางเดินเพียงคนเดียว
เด็กสาวยิ้มให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเดินไปเข้าห้องเรียนตามตารางเรียนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ระหว่างทางที่เดินไปยังห้องเรียนพลอยใสก็เก็บรายละเอียดรอบตัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ โรงอาหาร ชื่อตึกเรียนแต่ละตึก ทางหนีไฟ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนใหม่ของเธอจะเป็นยังไงจะมีใครเข้ามาเป็นเพื่อนใหม่ของเธอบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ทุกคนคือลูกคนรวย ยกเว้นเธอที่เป็นเด็กกำพร้าเพียงแค่โชคดีได้คนอุปการะจึงได้มีโอกาสมายืนอยู่ที่นี่
พลอยใสเดินมาถึงหน้าห้องเรียนตามที่ระบุในตารางเรียนก่อนจะเจอเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอที่กำลังยืนอยู่หน้าห้อง
“เอ่อ ขอโทษนะเธอกำลังจะเข้าไปเรียนที่ห้องนี้หรือเปล่า” พลอยใสแสดงความเป็นมิตรทักทายก่อนทั้งที่ก็ไม่แน่ใจว่าคนที่เธอทักจะฟังภาษาไทยเข้าใจหรือเปล่า
“ใช่ เรากำลังจะเดินเข้าไปในห้อง เธอก็เรียนห้องนี้เหมือนกันเหรอ” หญิงสาววัยแรกแย้มหน้าลูกครึ่งแต่พูดไทยชัดเจนตอบกลับพลอยใส
“ถ้าอย่างนั้นเราขอเข้าไปด้วยคนนะเราชื่อพลอยใส”
“ได้สิเราชื่อพิชชี” พลอยใสยิ้มกว้างเมื่อได้รับมิตรตอบอย่างน้อยเธอก็รู้จักพิชชีแล้วหนึ่งคนและลดความกลัวลงไปได้บ้างเมื่อต้องไปเจอกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในห้อง
“เธอยิ้มสวยมากนะพลอยใส ตั้งแต่มาอยู่เมืองไทยได้สามปีฉันพึ่งเห็นรอยยิ้มที่สวยมากก็วันนี้” พิชชีที่ตอนแรกกำลังจะเปิดประตูห้องเรียนเดินนำพลอยใสเข้าไปในห้องต้องหันหน้ากลับมามองคนที่พึ่งจะเป็นเพื่อนใหม่ของเธออีกครั้งเพราะรอยยิ้มหวานนั้น
“ขอบคุณนะพิชชีเธอก็สวยมากเหมือนกัน” พลอยใสที่ถูกผู้หญิงด้วยกันชมซึ่ง ๆ หน้าก็รู้สึกเขินจึงต้องชมกลับไป หลังจากนั้นทั้งเธอและพิชชีก็เดินเข้าห้องที่ตอนนี้มีเพื่อนร่วมชั้นอยู่ก่อนแล้วประมาณสิบคนพร้อมกับครูประจำห้อง
พลอยใสพยายามอยู่ใกล้พิชชีตลอดเวลาเพราะอย่างน้อยหากว่าเธอสื่อสารอะไรไปผิด ๆ หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูหรือเพื่อนคนอื่นถามจะได้ขอความช่วยเหลือ เพราะพิชชีสามารถพูดภาษาไทยได้
“ดูเธอกังวลอะไรบางอย่างนะ มีอะไรหรือเปล่า” พิชชีถามขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าพลอยใสไม่ค่อยพูดต่างจากคนอื่นที่ทักทายกันเสียงดังและพูดคุยแนะนำตัวกันอย่างสนุกสนาน
“พลอยรู้สึกว่าภาษาพลอยยังไม่เก่งมากก็เลยกังวลนิดหน่อยที่จะพูดกับคนอื่น” พลอยใสบอกความกังวลของเธอไปตรง ๆ เพราะถึงแม้เธอจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้บ้างแล้วจากการที่ชาร์วีส่งครูมาติวตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แต่พลอยใสก็ยังไม่มั่นใจเมื่อต้องสื่อสารจริงท่ามกลางเพื่อนส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของภาษา ซึ่งเมื่อพิชชีได้ฟังก็ยิ้มออกมาและเข้าใจ
“ไม่เป็นไรหรอกพูดออกมาเถอะภาษาอังกฤษไม่ได้น่ากลัว เดี๋ยวพูด ๆ ไปก็พูดคล่องแต่ต้องกล้าพูดกล้าสื่อสารกับเพื่อนคนอื่น ๆ” พิชชีบอกกับพลอยใสเพราะสำหรับเด็กลูกครึ่งอย่างเธอแล้วถือว่าความกล้าแสดงออกคือสิ่งสำคัญ
“ไฮ พวกเธอชื่ออะไรกันบ้างเราชื่อเจ” เด็กหนุ่มตัวสูงแต่ผอมบางเข้ามาทักทายพลอยใสและพิชชีเป็นภาษาอังกฤษ พลอยใสหันไปมองหน้าพิชชีว่าจะตอบเพื่อนหนุ่มผู้มาใหม่ว่ายังไงแต่พิชชีกลับส่งสัญญาณให้พลอยใสเป็นคนตอบ พลอยใสจึงยิ้มก่อนจะตอบเจกลับไปเป็นภาษาอังกฤษตามที่ได้ฝึกมาจากติวเตอร์ชื่อดัง
“เราชื่อพลอยใสและที่ยืนข้างเราชื่อพิชชี ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ”
“ชื่อเธอน่ารักเหมือนหน้าตาเธอมากเลยนะ พลอยใส” เด็กหนุ่มชมตรง ๆ ต่อหน้าตามสไตล์ฝรั่ง พลอยใสจึงได้แต่ยิ้ม หลังจากนั้นทั้งสามคนก็พูดคุยกันมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นพิชชีและเจที่พูดคุยกันมากกว่า ส่วนพลอยใสจะพยายามจดจำคำพูดต่าง ๆ ที่เพื่อนพูดกันและพยายามทำความเข้าใจประโยคสื่อสารนั้น ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนชายอีกคนที่เป็นลูกครึ่งเดินเข้ามาทักทายพลอยใส ชื่อโจเซฟ และก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เอ่ยชมถึงรอยยิ้มและความน่ารักของเธอ
วันแรกพลอยใสก็มีเพื่อนแล้วสามคนเป็นลูกครึ่งที่พ่อแม่มีธุรกิจอยู่ที่เมืองไทย แต่ละคนพอรู้ว่าพลอยใสพึ่งจะหัดพูดและเรียนภาษาก็ต่างเสนอตัวอาสาเป็นพี่เลี้ยงจนพลอยใจจากที่กลัวจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นหลัก กลับรู้สึกสนุกที่ได้เรียนรู้
“พลอยขอบคุณทุกคนมากนะที่ช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ ไว้พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ” เมื่อได้เวลาเลิกเรียนนักเรียนทั้งหมดก็ต่างเดินทยอยออกจากตึกเพื่อไปรอขึ้นรถที่ทางผู้ปกครองส่งมารับยังจุดรับส่ง พลอยใสที่เดินมากับเพื่อนใหม่ทั้งสามจึงไม่ลืมขอบคุณในมิตรภาพและน้ำใจของเพื่อนใหม่ที่มีให้เธอก่อนจะแยกกันกลับ
พลอยใสกลับมาบ้านด้วยหน้าตาสดใสรวมทั้งเด็กสาวอีกสองคนที่ชอบโรงเรียนใหม่นี้มากเพราะมีแต่สังคมลูกคนรวยที่ไม่เคยเจอหรือสัมผัส ทั้งแก้มใสและผ้าไหมต่างเล่าว่าวันนี้ตัวเองไปเจออะไรมาบ้างด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นดีใจ ในขณะที่พลอยใสนั้นนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าครัวเพื่อช่วยทำอาหารเย็นสำหรับทุกคนในบ้าน
“ไปเรียนวันแรกเป็นยังไงบ้างหนูพลอยสนุกหรือเปล่า” แม่บ้านถามพลอยใสเมื่อเด็กสาวเดินเข้าไปช่วยงานในครัวหลังจากเลิกเรียนกลับมา
“ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันค่ะป้าณีเพราะพลอยยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง แต่โชคดีเจอเพื่อนที่น่ารักคอยช่วยเหลือและช่วยสอนก็เลยเริ่มหายกลัวค่ะ” พลอยใสเล่าไปตามความจริงไม่ได้ใส่สีตีไข่หรือแสดงอาการตื่นเต้นอะไร
“ดีแล้วล่ะ ป้าขอให้หนูเจอแต่เพื่อนที่ดีและขอให้มีความสุขกับการเรียนนะ จะได้เรียนได้เกรดดี ๆ”
“ขอบคุณค่ะป้าณี พลอยจะพยายามเต็มที่ค่ะ” พลอยใสยิ้มจนตาหยีไปให้ป้าณีจนอีกฝ่ายส่ายหัวในความน่ารักของเด็กสาวและยิ้มอย่างเอ็นดู
ตกเย็นพลอยใสก็มานั่งทำการบ้านที่โต๊ะม้าหินอ่อนกลางสวนหย่อมตัวเดิมที่เธอใช้เป็นที่ทบทวนบทเรียนเหมือนทุกวัน ธาราที่กลับมาจากทำงานก็รีบตรงดิ่งมาหาเด็กสาวทันทีเพื่อถามไถ่ถึงการไปเรียนวันแรกเพราะเป็นห่วงกลัวว่าจะถูกรังแก
“พลอยใสเป็นยังไงบ้างไปเรียนวันแรก” เสียงที่คุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังเรียกให้พลอยใสที่กำลังจดจ่ออยู่กับตำราเรียนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมอง
“พี่ธาราสวัสดีค่ะ กลับมาจากทำงานแล้วเหรอคะ” เด็กสาวยกมือไหว้ธาราเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอ
“พึ่งกลับมานี่แหละลงจากรถก็ตรงดิ่งมาหาเราเลย เป็นยังไงบ้างมีเพื่อนใหม่กี่คนแล้ว”
“ก็ดีค่ะ ดีมากเลยเป็นโรงเรียนที่สภาพแวดล้อมดี ที่สำคัญเจอเพื่อนที่ดีมากด้วยค่ะ พอรู้ว่าพลอยยังอ่อนภาษาพวกเขาก็พยายามช่วยกันใหญ่เลย จนตอนแรกที่พลอยกลัวกลับกลายเป็นว่าสนุกที่ได้พูดคุยกับพวกเขา” พลอยใสบอกธาราให้ทราบตามจริงเหมือนที่บอกป้าณี เมื่อฟังสิ่งที่เด็กสาวเล่าธาราก็รู้สึกโล่งใจที่พลอยใสเจอสังคมดี ๆ และมีความสุขกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกกว้าง
พลอยใสใช้ชีวิตวนลูปอยู่แบบนั้นตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปี โดยที่ไม่เคยเจอชายหนุ่มเจ้าของบ้านสักครั้ง มีเพียงธาราเท่านั้นที่คอยเป็นตัวกลางคอยรับและถ่ายทอดคำสั่งให้เธอและเพื่อนรับทราบในสิ่งที่ชาร์วีหรือที่พวกเธอเรียกว่าคุณวีมอบให้ แม้บางทีเธอก็มีความคิดอยากเจอเขาสักครั้งเพื่อขอบคุณแต่ก็ไม่กล้า ทำได้เพียงแค่รับคำสั่งของเขาจากธาราเพียงเท่านั้น
“คุณชาร์วีคงจะงานยุ่งมากเลยนะคะ ตั้งแต่พลอยและเพื่อนมาอยู่ที่นี่ก็นานหลายปีแล้วแต่ก็ไม่เคยได้เจอตัวจริงคนที่มีพระคุณของตัวเองสักที” พลอยใสพูดกับธาราในเย็นวันหนึ่งหลังจากช่วยงานในครัวเสร็จและกำลังจะเดินกลับห้องพัก พอดีกับที่ธาราเดินมาสอบถามความเป็นอยู่เด็กในอุปการะของเจ้านายเหมือนเช่นเคย
“นายมีธุรกิจหลายอย่างแทบจะไม่มีเวลาพัก มีงานหลายอย่างที่ต้องจัดการ นายไม่มีเวลาว่างมาทำอย่างอื่นหรอกนอกจากงาน” ธาราบอกเด็กสาวที่ตอนนี้เข้าสู่วัยสาวเกือบเต็มตัว
“แล้วแบบนี้คุณวีจะมีเวลาพักผ่อนบ้างหรือเปล่าคะ”
“มีสิถ้านายคิดจะพัก แต่ส่วนใหญ่แทบจะไม่พักวัน ๆ เอาแต่หมกตัวอยู่กับงาน ไม่รู้จะหาเงินไปทำไมมากมายทั้งที่มีอยู่ตอนนี้ก็ใช้ไม่หมด”
“พลอยไม่เคยเห็นแฟนของคุณวีเลย บ้านนี้เขาห้ามผู้หญิงเข้าเหรอคะ” เมื่อนึกขึ้นได้ในสิ่งที่สงสัยมานานจึงเอ่ยถามขึ้น เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนเข้าออกบ้านหลังนี้นอกจากเธอและเพื่อนกับพวกแม่บ้านที่อยู่มาก่อนหน้า
“นายไม่เคยมีแฟนหรือแม้แต่คู่ควง พลอยทำการบ้านต่อเถอะพี่ขอตัวไปเคลียร์งานกับนายก่อน” ธารารีบตัดบทเมื่อบทสนทนาเริ่มเปลี่ยนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรที่เขาและลูกน้องคนอื่น ๆ เอามาพูดถึงแบบนี้ ไม่ว่าจะพูดถึงในทางที่ดีและไม่ดี
“ค่ะ ขอโทษค่ะ” เด็กสาวหน้าเจื่อนลงรู้สึกผิดเมื่อคิดได้ว่าตัวเองกำลังแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกไป
“อย่าคิดมากเลย นายโทรตามแล้วพี่ขอตัวก่อน ตรงนี้สะกดผิดนะทวนดูใหม่” ธาราแกล้งหยอกให้เด็กสาวอารมณ์ดี ก่อนจะลูบศีรษะเล็กและหันหลังเดินกลับไปเมื่อโดนเจ้านายโทรตาม