บทที่ 6 มาหาใคร
“พ่อ ลูกแปลกไปมั้ย ท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่งั้นแหละ คิดเรื่องที่จะให้เราไปขายข้าวไข่เจียวหน้าห้างฯ มั้ยพ่อ”
“น่าจะใช่แต่มันไม่เคยจริงจังอะไรอย่างนี้เลยนะแม่ มันเอาจริงเหรอ”
“นั่นสิ ทำไมถึงอยากไปขายที่นั่น เราทำแค่นี้ก็พอกินพอใช้แล้วนะ ไม่ต้องขวนขวายก็อยู่ได้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแพงด้วย พรุ่งนี้แม่จะคุยกับลูกเอง มันจะได้เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยซะที”
“ไปว่าลูก ลูกชายพ่อออกจะหล่อ เท่ สาวติดเป็นพรวน”
“เป็นพรวนจริงเหรอพ่อ แม่เห็นแค่สองคน หนูนิดลูกสาวร้านมินิมาร์ชหน้าปากซอยกับหนูสุลูกสาวอาจารย์หมอ บ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้านเราแค่นั้นเอง”
“มันต้องมีที่มหาวิทยาลัยอีกแน่ ๆ เชื่อพ่อสิ ลูกเราหล่อขนาดนั้น”
“แต่มันปากหมานี่แหละที่สาว ๆ จะวิ่งหนีมัน อีกอย่าง มันจนไงพ่อ”
“จนแล้วไง คนจนก็คน”
“ใช่ คนจนก็คนแต่บางคนเขาไม่คิดเหมือนเรานะพ่อ ไอ้กรณ์มันคงไม่โชคร้ายไปเจอคนถูกใจที่ทั้งสวยทั้งรวยและดูถูกคนจนอย่างเรานะพ่อ”
“แล้วแต่ดวงมัน คู่มันมายังไง มันก็ได้ยังงั้นแหละ มันคงไม่โชคร้ายหรอก”
“ช่าย ๆ ไอ้หนุ่มมังไม่โชคร้ายหรอก เชื่ออั๊ว ฮิ ฮี ฮี่ ๆ”
เกรียงไกรหันไปมองทางหน้าบ้าน เขาได้ยินคนหัวเราะอยู่หน้าประตู ใครมาหาเขาแต่เช้าแต่เสียงหัวเราะฟังแปลก ๆ
“แกได้ยินอะไรมั้ย”
เขาหันมาถามภรรยา หล่อนย่นหัวคิ้วกับคำถามของเขา
“ได้ยินอะไร ไม่ได้ยินเลย เสียงอะไรเหรอ”
“เหมือนคนหัวเราะอยู่หน้าประตูบ้านเรานะ จะว่าไอ้กรณ์มันก็ออกไปนานแล้วนี่จะมาหัวเราะทำไมล่ะ”
“ก็ไปดูสิ”
หล่อนพูดแต่ไม่สนใจเท่าไรนัก เขาเดินเร็ว ๆ ไปที่ประตู มองซ้าย ขวา ไม่มีใครอยู่หน้าบ้านและประตูรั้ว
“ไม่มีใครสักคนแล้วเสียงหัวเราะดังมาจากไหนวะ สงสัยหูแว่ว”
เขาส่ายหน้าไปมา หมุนตัวเดินกลับเข้าในบ้าน ร่างของชายสวมชุดผ้าแพรสีดำเสื้อคลุมปักลายมังกรยืนยิ้มอยู่หน้าบ้าน ครู่หนึ่งจึงหายตัวไป วุฒิศักดิ์เดินถึงหน้าบ้านปกรณ์พอดี เขากดกริ่งสองครั้ง เกรียงไกรเดินออกมามอง
“อ้าววุฒิ เมื่อกี้ไม่เห็นล่ะ ไปแอบตรงไหน”
เจ้าของบ้านเดินมาเปิดประตูและรับไหว้เพื่อนลูกชายพร้อมคำถาม วุฒิศักดิ์ทำหน้างุนงง
“แอบอะไรครับน้าไกร ผมเพิ่งมาเนี่ย ไอ้กรณ์ตื่นรึยังครับ”
“เพิ่งมา จริงเหรอวะ” เกรียงไกรกะพริบตาคิดว่าวุฒิศักดิ์หัวเราะแล้วแกล้งแอบอยู่ที่เสารั้วบ้าน
“จริงสิครับ ไอ้กรณ์ตื่นหรือยังครับ”
“ตื่นแต่เช้ามืด ออกไปแล้วด้วย ไม่รู้มันจะรีบไปไหน วันนี้ไม่มีเรียนเช้าซะหน่อย” เกรียงไกรตอบคำถามวุฒิศักดิ์และบ่นลูกชายให้ฟัง
“มันไปแล้วเหรอครับ”
“เออ. ทำไม มีอะไรรึเปล่า” คำถามย้ำของวุฒิศักดิ์ทำให้เกรียงไกรหันมาถามและจ้องหน้าเพื่อนลูกชาย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมจะมาถามเรื่องเรียน มันบอกจะติวให้ผมแต่เช้า”
“อ้าวเหรอ สงสัยมันลืมแล้วมั้งโทร.หามันสิ”
“ครับ งั้นผมกลับก่อนครับ”
“เออ โชคดี” หนุ่มใหญ่รับไหว้ชายหนุ่มที่รีบไหว้ลาและเดินเร็ว ๆ ไปทางหน้าหมู่บ้าน
“อะไรของมันกันวะไอ้พวกนี้นี่” เกรียงไกรไม่สงสัยวุฒิศักดิ์ที่มาหาปกรณ์แต่เช้าและทำท่าทางแปลก ๆ เขาปิดประตูเดินกลับเข้าบ้าน
“ไอ้กรณ์ อยู่ไหนวะมึงบอกจะไปเรียกกูไม่ใช่เหรอวะแล้วหนีไปก่อนเนี่ยนะ” วุฒิศักดิ์โทรศัพท์หาปกรณ์พอเพื่อนรับสายเขาต่อว่าทันที ปกรณ์ยิ้ม
“รีบไปหน่อยว่ะ เอาไว้คราวหน้ากูจะชวนมาด้วย”
เขาตอบเพื่อนแต่สายตาอยู่ที่กล่องพลาสติกในถุงกระดาษ เขาทำไข่เจียวแต่เช้า ก่อนพ่อแม่จะตื่น ตักข้าวร้อน ๆ ใส่กล่องพลาสติก ตักไข่เจียวหอมกรุ่นวางบนข้าวแล้วปิดฝาล็อคอย่างดีกันกลิ่นออกมารบกวนคนรอบข้าง
“แล้วนี่ไปทำอะไรที่ไหนวะ ธุระสำคัญอะไรวะถึงออกจากบ้านแต่เช้า”
“เออน่ะ กลับไปจะเล่าให้ฟังแค่นี้ก่อนกูกำลังจะลงรถ”
เขากดวางสายหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเป้ ก้าวลงจากรถเมล์ที่เขาขึ้นโดยไม่รู้ตัวและทำไมถึงลงป้ายนี้ก็ไม่รู้อีกเช่นกัน รู้สึกเหมือนถูกใครดันหลังให้ลงจากรถ
“ที่นี่ ที่ไหนวะเนี่ย” เขามองฝั่งตรงข้ามเป็นป้ายรถเมล์ มองสะพานลอยห่างออกไปหันกลับมามองฝั่งที่ตัวเองยืนอยู่ มองไปทางซ้ายมือเลยสะพานลอยมีรถมอเตอร์ไซค์ รถโดยสารสองแถวแล่นเข้าไปในซอย หันมองทางขวามือเห็นกำแพงรั้วปูนสลับกับช่องซี่เหล็ก มีเถาไม้เลื้อยเกาะกำแพงแทบมองไม่เห็นสีขาวของปูน กำแพงยาวประมาณ 200 เมตร เขาก้าวเท้าตามรั้วกำแพงไปเรื่อย ๆ เหมือนมีคนกระซิบให้เดินและเขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“บ้านใครวะ น่าอยู่ชะมัด ต้นไม้ร่มรื่นตั้งแต่ประตูรั้วถึงตัวบ้านเลย แล้วเรามาที่นี่ทำไม เฮียแกจะให้มาเยี่ยมลูกชายแก ที่นี่เหรอวะ”
“เออ. พูกมากอยู่ร่าย กกกริ่งสิ”
เฮียที่ปกรณ์พูดถึงยืนอยู่ด้านในประตูรั้วเหล็ก ชี้มือมาที่ปกรณ์แต่เขาไม่เห็นและไม่ได้ยิน เขามองลอดผ่านช่องประตู ไม่เห็นใครเดินอยู่แถวนั้นสักคนจึงยื่นมือไปที่ปุ่มติดเสาประตูรั้วจะกดแต่ไม่กด
“ถ้ามีคนมาเปิดประตูแล้วเราจะบอกเขายังไงวะ มาหาใครมาพบใคร โอ้ย.กลับดีกว่า”
เขาหมุนตัวจะเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ รถเก๋งสีดำก็แล่นเข้ามาจอดข้างตัวเขา กระจกรถด้านผู้โดยสารข้างคนขับเลื่อนลง
“มาหาใครคะ”
เสียงถามดังมาจากคนขับ ปกรณ์ก้มตัวลงมองคนถาม หล่อนสวมแว่นกันแดดสีชากำลังจ้องมองเขา หล่อนคงเห็นเขาจะกดกริ่งแต่ไม่กดและถอยห่างออกมา
“ว่าไงคะมาหาใครหรือว่าเป็นพวกโรคจิตอยากจะกดกริ่งบ้านใครก็กด อยากจะทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำ ใช่มั้ย”
หล่อนถามและพูดยาวแต่เป็นการพูดดูถูกคนที่หล่อนถามโดยไม่รอฟังคำตอบจากเขาแม้วินาทีเดียว ปกรณ์กะพริบตาเร็ว ๆ
“นี่คุณ ผมไม่ใช่คนอย่างที่คุณว่านะ ผมมาที่นี่จะมาเยี่ยม...เอ่อ..เยี่ยมใครวะ”
เขาเงยหน้าเหนือหลังคารถ ถามตัวเองเพราะไม่รู้จะตอบหญิงสาวอย่างไร เขาจะมาเยี่ยมใคร เฮียขอร้องให้มาเยี่ยมลูกชายแต่ไม่บอกชื่อไว้ เวรของเขาแล้วสินะ
“เยี่ยมใคร คุณจะมาเยี่ยมใคร เยี่ยมปู่ฉันเหรอ รู้จักปู่ฉันได้ยังไง เป็นพนักงานในโรงงานรึเปล่า”
หญิงสาวถามออกมาอีก คราวนี้พูดเสียงดังกว่าเดิมและเปิดประตูรถก้าวลงมายืนจ้องหน้าชายหนุ่มหน้าตาดี หล่อนเพิ่งสังเกตว่าเขาแต่งชุดนักศึกษา เขาไม่ใช่พนักงานโรงงานของปู่ ถ้าอย่างนั้นเขารู้จักปู่ของหล่อนเมื่อไหร่ สนิทสนมมากแค่ไหนจึงมาขอเยี่ยมแต่เช้าอย่างนี้